สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 382 ราชโองการ (2)
บทที่ 382 ราชโองการ (2)
กู้เจียวไปรับเสี่ยวจิ้งคงมาจากกั๋วจื่อเจียนแล้ว เสี่ยวจิ้งคงกำลังเล่นชู่จวีกับพวกเพื่อนๆ ในตรอกที่เรือนท้าย ส่วนกู้เจียวตากยาอยู่เรือนหน้า
กู้เฉิงเฟิงเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นของแม่ชีน้อยกับกู้ฉังชิงให้กู้เจียวฟัง “จากอัตราความก้าวหน้าเท่านี้ พวกเราคงจะมีพี่สะใภ้ใหญ่เร็วๆ แล้วล่ะ!”
พวกเราอย่างนั้นรึ
เป็นครั้งแรกเลยที่เขาใช้คำนี้
อันที่จริงเขารู้มาโดยตลอดเลยว่ากู้เจียวตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่กู้เจียวเหนียงตัวจริง ดังนั้นจึงรู้สึกเหนือความคาดหมายกับถ้อยคำที่ตัวเองโพล่งออกไปไม่น้อย
โชคดีที่กู้เจียวเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่าถ้อยคำเขาแปลกๆ กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา แล้วพลิกยาในตะแกรง “เหมาะกันทีเดียว”
กู้เฉิงเฟิงลอบถอนหายใจ โล่งอกกับการกระทำที่กู้เจียวไม่ได้ถามเขาว่า ‘เหตุใดเจ้าจึงใช้คำว่าพวกเราล่ะ’ ‘เจ้าอยากจะเป็นพี่ชายข้าจนตัวสั่นใช่หรือไม่’
“ต้องเหมาะกันอยู่แล้วสิ!” เขากลัวว่ากู้เจียวจะนึกได้ จึงรีบเบี่ยงประเด็นไปที่สองคนนี้ “คนหนึ่งเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนโหว อีกคนเป็นคุณหนูตระกูลหยวน ไหนเลยจะเหมือน…”
เดิมทีเขาคิดจะบอกว่าไหนเลยจะเหมือนเจ้ากับเซียวลิ่วหลัง คนหนึ่งเป็นคุณหนูจวนโหว อีกคนเป็นไอ้หนุ่มยากจนชนบท
คำพูดมาถึงปลายลิ้นแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
เด็กนางนี้ไม่ใช่คุณหนูจวนโหว
ใครจะรู้ว่านางมาจากไหน ในสถานที่อันไกลโพ้นนั้นนางมีฐานะอย่างไร มีพ่อแม่แบบไหน
เด็กคนนี้…เหมือนจะน่าสงสารอยู่นะ…
กู้เจียวไม่รู้ว่าในหัวเขาคิดอะไรมากมายพวกนี้ นางยังคงตากยาต่อ
“จริงสิ ยาของน้องชายข้าล่ะ” กู้เฉิงเฟิง
กู้เจียวหยิบออกมาใส่ไว้ในกระเป๋าตั้งนานแล้ว นางจึงหยิบออกมาส่งให้เขา
กู้เฉิงเฟิงยื่นมือไปรับ แต่จู่ๆ กู้เจียวกลับชักมือกลับ “เงินมา”
กู้เฉิงเฟิงเข็ดฟัน “คราก่อนเจ้าเพิ่งเก็บข้าไปพันตำลึงนะ!”
กู้เจียวแบมือ “นั่นมันค่ายาขวดที่แล้ว”
กู้เฉิงเฟิงกระทืบเท้าอย่างโมโห “เจ้าไปถามดูเลยว่ามีร้านยาร้านไหนเขาคิดเงินแพงอย่างเจ้าบ้าง!”
กู้เจียวเก็บยาใส่กระเป๋าคืน ตบกระเป๋าปุๆ ก่อนเอ่ย “เช่นนั้น…ร้านไหนขายถูกเจ้าก็ไปซื้อร้านนั้นไป”
กู้เฉิงเฟิงโมโหโกรธาถึงขีดสุด
แน่นอนว่าเขาเคยลองไปร้านยาร้านอื่นมาแล้ว แต่ไร้ผลไม่พอ ยังทำเอาผมที่กู้เฉิงหลินกว่าจะเลี้ยงให้ยาวออกมาได้หายเกลี้ยงหมดหัวเลย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่กล้าลองยาข้างนอกมั่วซั่วอีกเลย
กู้เฉิงหลินไปเรียนต้องสวมหมวกทุกวัน อากาศร้อนตับแลบเช่นนี้ พูดตรงๆ ว่าทรมานนัก
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างคับแค้นใจ “วันนี้ข้าไม่ได้พกเงินมาเยอะ” เขาล้วงถุงเงินตัวเองออกมาเทเศษเงินและแผ่นทองแดงด้านในใส่มือ “เจ้าดูสิ รวมกันแล้วยังไม่ถึงสองตำลึงเลย หมู่นี้ข้าจนนัก”
กู้เจียวเงียบไป
กู้เฉิงเฟิงทำตัวน่าสงสารต่อ “ซ้ำข้าก็ไม่เหมือนเจ้าที่ทุกวันใช้อาชีพนิดหน่อยก็ได้แล้ว ตอนกลางวันข้าต้องเรียน ตอนกลางคืนจึงจะไปรับงานมาทำได้ แต่หมู่นี้งานน้อยนัก”
กู้เจียวพยักหน้า “แบบนั้นก็น่าสงสารทีเดียว”
“ใช่หรือไม่ล่ะ” กู้เฉิงเฟิงร้องห่มร้องไห้พลางหรี่ตาลอบมองนาง
“เอาอย่างนี้ เจ้าช่วยเป็นธุระให้ข้าอย่างหนึ่ง ข้าจะลดค่ายาให้เจ้าสิบเปอร์เซ็นต์ ก็คือลดให้เจ้าหนึ่งส่วนของค่ายานั่นแหละ!”
กู้เฉิงเฟิงหน้าอึมครึมทันที
โดยปกติแล้วมันควรจะเป็น ‘เจ้าช่วยเป็นธุระให้ข้าอย่างหนึ่ง ยาขวดนี้ข้ายกให้เจ้า’ มิใช่หรือไร เหตุใดจึงลดให้แค่ส่วนเดียวเล่า
…
ณ สำนักจัดสอบ
เซียวลิ่วหลังคุมสอบทั้งวันเสร็จสิ้น และกลับไปที่หอจิงอี้ด้วยกันกับขุนนางคุมสอบทุกคน
นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาพักกันในครานี้ ขอบเขตการเคลื่อนไหวของพวกเขาคือจากหอจิงอี้ไปจนถึงสนามสอบ สถานที่อื่นพวกเขาจะเดินเพ่นพ่านไม่ได้
หอจิงอี้มีองครักษ์แน่นหนาเฝ้าอยู่ ประการแรกเพื่อป้องกันคนดึงขุนนางคุมสอบเป็นพวกแล้วทุจริตการสอบ ประการที่สองเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยของขุนนางคุมสอบ
เขาแค่คุมสอบ ไม่ได้ตรวจข้อสอบ แค่เหนื่อยกาย ไม่เหนื่อยใจ
อาหารการกินมีคนนำมาส่งให้ในห้องขุนนางคุมสอบโดยเฉพาะ เขาเพิ่งกลับมาถึงห้องปีกข้างได้ไม่นาน องครักษ์ก็เอาอาหารมาส่งแล้ว
เซียวลิ่วหลังดึงประตูเปิดออก เดินไปหน้าประตู ก่อนยื่นมือไปรับกล่องอาหาร “ขอบคุณ”
ขณะที่รับกล่องอาหารมานั้น เขามององครักษ์คนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง
องครักษ์ชักมือกลับ หันหลังไปตรวจตรา
เซียวลิ่วหลังกลับขมวดคิ้วฉงน นี่ไม่ใช่องครักษ์ที่ส่งข้าวมื้อเช้ากับมื้อกลางวันให้เขา เปลี่ยนคนมื้อเย็นอย่างนั้นรึ
เซียวลิ่วหลังถือกล่องอาหารเข้ามาในห้อง
มีกับข้าวสองอย่าง แกงอีกหนึ่งอย่างเหมือนกันกับมื้อกลางวัน จานหนึ่งเป็นหมูย่างหัวไชเท้า อีกจานเป็นยำเต้าหู้ แล้วก็น้ำแกงผักใส่ไข่ชามหนึ่ง และซาลาเปาหนานุ่มอีกสองลูก
เซียวลิ่วหลังหยิบอาหารออกมาทีละอย่าง เมื่อยกชามน้ำแกงไข่ชามนั้นขึ้นมา แววตาเขาพลันชะงัก
ตอนกลางวันในเดือนเจ็ดนั้นไม่ได้ยาวนาน ยามนี้ดวงตะวันลาลับขอบฟ้าหมดแล้ว ฟากฟ้ามืดมิดสนิท แสงไฟภายในห้องก็มืดสลัว แต่ก็ยังพอกินข้าวได้ โดยปกติแล้วไม่มีใครจุดไฟ
เซียวลิ่วหลังมองน้ำแกงไข่ชามนั้นพลางขมวดคิ้ว เขาจุดตะเกียงน้ำมันขึ้น ปรับไส้ตะเกียงให้สว่างที่สุด เห็นผงแปลกๆ เปื้อนบนต้นหอมสองสามต้นจางๆ
ผงชนิดนี้ดูคล้ายผงชูรส แต่เซียวลิ่วหลังเคยทำอาหาร ทำไม่อร่อยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขารู้จักเครื่องปรุงรสทุกชนิด
เซียวลิ่วหลังคีบต้นหอมพวกนั้นออกมา กลิ่นต้นหอมเข้มมาก กลบกลิ่นผงนั่นไปหมด แต่ตัวของผงเองก็น่าสงสัยพออยู่แล้ว
หากเซียวลิ่วหลังไม่ได้ตาดี และหากเซียวลิ่วหลังไม่ได้คุ้นเคยกับเครื่องปรุงรสละก็ เขาคงได้ดื่มน้ำแกงไข่ที่คิดว่ามันธรรมดาๆ ชามนี้ไปแล้วแน่
เซียวลิ่วหลังไม่เพียงแต่ไม่ดื่มน้ำแกงไข่เท่านั้น ยังไม่แตะอาหารของเขาด้วย
กู้เจียวห่อผลไม้กับเนื้อแห้งมาให้เขาอยู่จำนวนหนึ่ง เขาเพิ่งหยิบออกมา เงาร่างหนึ่งก็ทะยานเข้ามาจากหน้าต่าง
“ใครน่ะ” เซียวลิ่วหลังถามอย่างระแวดระวัง
“ข้าเอง!” กู้เฉิงเฟิงในชุดยามวิกาลตลอดร่างปลดหน้ากากลง
อันที่จริงเขาไม่อยากเผยตัวตนของตัวเองเลย แต่หากไม่เผยตัวตนแล้วจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อได้อย่างไร
เซียวลิ่วหลังมีความประหลาดใจวาบผ่านแววตา แต่ไม่ถือว่าประหลาดใจมากนัก
ในเมื่อกู้เจียวออกไปตอนดึกดื่นกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายคงไม่มีทางเป็นแค่บัณฑิตอ่อนแอธรรมดาๆ แน่
“เอาไป!” กู้เฉิงเฟิงโยนห่อผ้าให้เซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเปิดออกดู เป็นกล่องขนมประณีตน่าทาน ซ้ำยังอุ่นๆ อยู่เลย แค่มองก็รู้ว่าเพิ่งทำใหม่ๆ
กู้เฉิงเฟิงหลุดอุทานขึ้นมา เหม็นความรักจะตายแล้ว เขาจะไม่ได้กลับไปสองสามวันเองมิใช่หรือ มันคุ้มหรือไรที่ให้เขาแอบเข้าสำนักจัดสอบเพื่อเอาขนมมาให้อีกฝ่ายดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้น่ะ
เซียวลิ่วหลังมองขนมรูปทรงแสดงอารมณ์เป็นสีหน้าต่างๆ ที่อยู่ในกล่อง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
กู้เฉิงเฟิงกลอกตาเหม็นความรัก!
เขาไม่ได้กินแม้แต่มื้อค่ำก็วิ่งมาส่งขนมให้เซียวลิ่วหลังแล้ว เขาเห็นว่าบนโต๊ะมีของกิน จึงถลกแขนเสื้อขึ้นหยิบซาลาเปามาลูกหนึ่ง
เซียวลิ่วหลังรีบเอ่ยทันที “ช้าก่อน! กินไม่ได้!”
กู้เฉิงเฟิงกัดฟัน “ข้าอุตส่าห์วิ่งเอาขนมมาส่งให้เจ้าเชียวนะ จะกินซาลาเปาสักลูกไม่ได้เลยรึ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ไม่ใช่ อาจมียาพิษอยู่ต่างหาก”
กู้เฉิงเฟิงรีบคายซาลาเปาในปากออกมาทันที “ถุย ถุย ถุย! สำนักจัดสอบก็ยังมีคนวางยาหรือนี่”
นั่นน่ะสิ จะมีคนวางยาที่สำนักจัดสอบได้อย่างไร
คนธรรมดาไม่มีทางสอดมือเข้ามาถึงสำนักจัดสอบได้อยู่แล้ว หากจะยื่นมือเข้ามาก็เพราะยักยอกเงินเท่านั้น มีใครวางยาขุนนางคุมสอบบ้างล่ะ
ในขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังครุ่นคิดอยู่ จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงก็เอ่ยขึ้น “คงไม่ใช่ยาสายขาวกระมัง ยายปีศาจเฒ่านั่นเป็นคนทำใช่หรือไม่! หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นยาสายดำ… ไม่สิ… วางยาขาวยาดำให้เจ้าไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดีนี่…”
เซียวลิ่วหลังถามด้วยความฉงน “ยาวขาวยาดำอะไรรึ”
กู้เฉิงเฟิงปิดปากตัวเองทันที
แย่แล้ว เผลอหลุดปาก!
เซียวลิ่วหลังจ้องเขาเขม็ง แววตาไม่ได้เย็นชา และไม่น่ากลัว แต่ให้ความรู้สึกเฉียบคมชนิดที่ซ่อนไม่มิด
กู้เฉิงเฟิงทึ้งหัว “ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไหนๆ ก็พูดแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้ากลับไปถามยัยหนูคนนั้นนางก็คงรู้อยู่ดีว่าข้าพลั้งปากหลุดพูด!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เซียวลิ่วหลังถาม
กู้เฉิงเฟิงทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่กู้เจียวแอบไปขโมยยาขาวยาดำมาจากสำนักชี แล้วเล่าอาการที่ฮ่องเต้โดนยาขาวยาดำให้ฟังอีกยก ภายใต้ทักษะการพูดอันชุ่มฉ่ำไร้ซุ่มเสียงของเซียวลิ่วหลัง
สุดท้ายสืบสาวผู้กระทำผิดอื่นตามมาได้จากผู้กระทำผิดเป็นทอดๆ ราชโองการก็ออกมาแล้วด้วย
เซียวลิ่วหลัง “ราชโองการอย่างนั้นรึ”
แต่ละคนสนใจประเด็นสำคัญไม่เหมือนกัน สำหรับกู้เฉิงเฟิงนั้นเรื่องที่ฮ่องเต้โดนวางยาน่าตกใจที่สุด ทว่าสิ่งที่โจมตีเซียวลิ่วหลังที่สุดกลับเป็นราชโองการในมือจิ้งไท่เฟย
เพราะเขาเคยเห็นราชโองการฉบับนั้นมาก่อน