สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 383 เปิดโปง
บทที่ 383 เปิดโปง
ตอนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนชิ้นพระชนม์ เขายังไม่เกิด เพียงแต่ว่าเขาเคยไปเยี่ยมสำนักชีพร้อมกับฮ่องเต้
ตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นคืออะไร จนกระทั่งโตขึ้นแล้วถึงได้รู้ว่านั่นคือราชโองการ ยิ่งไปกว่านั้นจากเนื้อความแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นราชโองการที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งไว้
เรื่องนี้เขายังไม่เคยบอกกับใคร
ตอนเด็กไม่พูดถึงเพราะว่าไม่รู้ความ พอเติบใหญ่ไม่พูดถึงเพราะคิดว่าเรื่องนี่ใหญ่หลวงยิ่งหนัก เกรงว่าจะนำภัยมาสู่จวนโหว
หลังจากเขาบังเอิญเห็นราชโองการนั้นได้ไม่นาน ก็ถูกวางยาพิษในละแวกตำหนักเหรินโซ่ว
เขาไม่เคยปะติดปะต่อสองเรื่องนี้เข้าด้วยกันมาก่อน ต่อให้โตมาแล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่าทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่สงสัยว่าจิ้งไท่เฟยเจตนาขโมยราชโองการ เพราะหากเป็นเขา เขาเองก็ทำแบบนี้เช่นกัน
แต่พอคิดดูแล้ว ลึกลงไปในใจของเขาคงมีปมบางอย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ห้ามให้กู้เจียวไปรักษาจิ้งไท่เฟยที่สำนักชี
หรือว่าจิ้งไท่เฟยรู้ว่าเขาเคยเห็นราชโองการมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถึงได้ลอบวางยาเขา
ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการใส่ร้ายจวงไทเฮา แต่เพราะต้องการฆ่าปิดปากมากกว่า
หลังจากเขารอดชีวิตมาได้ เซวียนผิงโหวกับองค์หญิงซิ่นหยางก็ยิ่งคุ้มกันเขาหนาแน่นยิ่งกว่าเดิม จิ้งไท่เฟยก็ไม่สามารถลงมือได้อีกต่อไป จนกระทั่ง…
“อ้าว เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้เงียบไปเล่า ไม่ใช่ว่าเสียขวัญจนฟั่นเฟือนไปหรอกนะ” กู้เฉิงเฟิงโบกมือไปมาตรงหน้าเขา “เมื่อครู่พูดถึงไหนแล้วนะ”
เซียวลิ่วหลังได้สติกลับมา “เปล่า แค่นึกถึงเรื่องที่เจ้าพูดเมื่อครู่”
วันนั้นเขาไปหาท่านอาจารย์ที่ข้างบ้าน ได้ยินท่านอาจารย์กับกู้ฉังชิงพูดถึงองค์หญิงซิ่นหยาง อาจารย์บอกว่ามีเรื่องอยากถามองค์หญิงซิ่นหยาง แต่เขาได้ยินเพียงไม่กี่คำ คิดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเรื่องราชโองการด้วย
เขานึกว่าจะถามเรื่องจิ้งไท่เฟยเสียอีก
กู้เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองตกใจเพราะเรื่องที่เขานึกถึงราชโองการ หรือเรื่องที่อีกฝ่ายกับตัวเองถูกจิ้งไท่เฟยวางยาเหมือนฝ่าบาท “รู้ว่านางนั้นร้ายกาจ แต่ไม่นึกเลยว่านางจะทำกับฝ่าบาทได้ลงคอ แม้แต่สัตว์ร้ายก็ไม่กินลูกของตัวเอง แต่นางนั้น…”
ชั่วขณะนั้นกู้เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาอธิบายยายเฒ่าปีศาจนางนี้ เขาเม้มปากแน่นก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “หลายปีมานี้ไทเฮาช่างน่าสงสารนัก เดิมทีฝ่าบาทกับนางไม่ควรแตกหักกันถึงขั้นนั้น…ว่าก็ว่าเถอะ ได้ยินมาว่ายาของฝ่าบาทใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว เพราะอย่างนั้นยายเฒ่าปีศาจนั่นถึงได้หาซื้อยาเพิ่ม ไม่รู้ว่าช่วงนี้นางยังวางยาฮ่องเต้อีกหรือไม่…”
กู้เจียวเป็นคนที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดแห่งเบาะแส กู้เฉิงเฟิงตามติดเป็นอันดับสอง ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่ายาที่จิ้งไท่เฟยใช้วางยาฮ่องเต้นั้นสลับกัน
แต่บางทีอีกไม่นานเขาคงเสียตำแหน่งอันดับสองเสียแล้ว
เซียวลิ่วหลังชะงักไป ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะเขียนจดหมายให้กู้เจียวฉบับหนึ่ง”
กู้เฉิงเฟิงหน้าบึ้งตึง
แค่ฝากของกินมาให้เจ้านิดหน่อย เจ้าถึงกับต้องเขียนจดหมายตอบนางเชียวหรือ!
หากวันไหนเขาตายไป คงเป็นเพราะอิจฉาสองคนนี้แน่นอน
เซียวลิ่วหลังเขียนจดหมายแล้วยื่นให้กู้เฉิงเฟิง พับอย่างดีแล้วใส่ลงไปในกระเป๋าสตางค์ผ้ากู้เจียวให้เขาเอาไว้
เขาไม่ได้ปกปิดอะไรเป็นความลับ ประการแรกเพราะเขานั้นเชื่อในสายตาของกู้เจียว กู้เจียวปล่อยให้กู้เฉิงเฟิงมาถึงขนาดนี้ นั่นก็บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่ากู้เฉิงเฟิงเป็นพรรคพวกเดียวกัน ประการที่สอง กู้เฉิงเฟิงสามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ที่สำนักจัดสอบที่มีองครักษ์หลงอิ่งประจำการอยู่เช่นนี้ได้ หากไม่มีฝีมือก็ไม่สามารถทำได้ ต่อให้เขาจะปิดซองหนาแน่นเพียงใด หากกู้เฉิงเฟิงอยากอ่านก็ย่อมอ่านได้อยู่ดี
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอวิ่งงานก่อนสักรอบ เดิมที่ตั้งใจว่าส่งข้าวนางให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับจวน” กู้เฉิงเฟิงรับกระเป๋าผ้ามา เมื่อเอ่ยถึงอาหาร สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังอาหารว่างบนโต๊ะ นางเด็กนั่นเกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่กลับทำขนมออกมาได้อย่างประณีตบรรจง
“ขอบคุณยิ่งนัก” เซียวลิ่วหลังยกมือประสานเป็นกำปั้นแล้วเอ่ยขอบคุณ
“หากเจ้าขอบคุณข้าจากใจจริง ก็ให้ขนมข้าสักชิ้นสิ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
“ไม่ให้” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย
กู้เฉิงเฟิง “…”
กู้เฉิงเฟิงใช้วิชาตัวเบาเพื่อออกมาจากสำนักจัดสอบด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม เขาไปตรอกปี้สุ่ยโดยไม่ปรากฏตัว เพียงแค่โยนกระเป๋าผ้าที่เซียวลิ่วหลังฝากมาไว้ที่ริมหน้าต่างห้องกู้เจียว
กู้เจียวไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นกู้เฉิงเฟิงที่นำมาให้
กู้เจียวโยนขวดยาไปกลางอากาศ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด กู้เฉิงเฟิงเผยตัวออกมาคว้ายาปลูกผมไว้อย่างรวดเร็ว
เขาทะยานตัวลงที่นอกหน้าต่างของกู้เจียว หอบหายใจพลางเอ่ย “โยนมั่วซั่วเช่นนั้นได้อย่างไร! ไม่กลัวว่าจะผิดคนเลยหรือ! เหอะ!”
พูดจบก็ซ่อนยาของกู้เฉิงหลินไว้ในเสื้อก่อนจะออกตะเวนปล้นยามราตรี
กู้เจียวหยิบม้วนกระดาษในกระเป๋าผ้าออกมา…’รู้เนื้อความในราชโองการแล้ว อย่าเพิ่งลงมือโดยพลการ รอข้ากลับมา’
ตอนที่อ่านสองประโยคแรก กู้เจียวไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไหร่ ทว่ายามอ่านประโยคสุดท้าย ริมฝีปากของนางกลับยกสูงขึ้นหลายองศา
“รอข้ากลับมา…” กู้เจียวอ่านประโยคสี่พยางค์สุดท้าย ข้อศอกเท้ากับขอบหน้าต่าง ฝ่ามือค้ำแก้มนวล สายตาทอดมองไกลออกไป
ทำไมถึงมีความสุขกันนะ
มุมปากของกู้เจียวที่ยกยิ้มขึ้น หุบอย่างไรก็หุบไม่ลง
“นี่!”
จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงก็วกกลับมา คล้องตะขอทองไว้กับคาของหลังคา ห้อยหัวลงมานอกหน้าต่างของกู้เจียว แทบจะประจันหน้ากับกู้เจียวก็ว่าได้
แต่ที่ต่างออกไปก็คือ ใบหน้าของกู้เจียวมองตรง ส่วนใบหน้าของเขานั้นหันข้าง
กู้เจียวมองแขกไม่ได้รับเชิญที่มาทำลายบรรยากาศ “มีอะไร”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “มีเรื่องหนึ่งลืมบอกเจ้าไป สามีเจ้าถูกคนวางยาที่สำนักจัดสอบ”
สีหน้าของกู้เจียวถมึงทึงในทันใด
“โชคดีที่ข้าไปถึงเร็ว…ได้ทันเวลา”
กู้เฉิงเฟิงยังไม่ทันพูดจบ กู้เจียวก็ใช้มือข้างเดียวยันขอบหน้าต่างแล้วกระโดดออกไป
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากค้าง “นี่…อะไรกัน ข้ายังไม่พูดไม่จบประโยคเลย”
ด้วยฝีมือของกู้เจียวในตอนนี้ การลอบเข้าไปในสำนักจัดสอบไม่ใช่ปัญหา แม้สำนักจัดสอบจะกว้างใหญ่ แต่ขุนนางผู้คุมสอบทุกคนล้วนแต่พักอยู่ที่หอจิงอี้
เซียวลิ่วหลังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สวมเพียงแค่ชุดตัวในผืนบาง เขาดับตะเกียงบนหัวเตียงเตรียมตัวเข้านอน ทว่ากลับมีเสียงเคาะประตูห้องเขาดังขึ้น
“ผู้ใดกัน” เซียวลิ่วหลังยืนมาหยุดอยู่หลังประตู ปลดกลอนประตูออก ก่อนจะเปิดประตูห้องอย่างเบามือ
ด้านนอกประตูกลับไม่ใช่เพื่อนขุนนาง แต่เป็นเงาร่างเล็กอรชรในชุดสีดำ สวมหน้ากากลวดลายประหลาดตา
ดวงตาคู่นั้นที่อยู่ด้านหลังหน้ากาก เปล่งประกายระยับดั่งทางช้างเผือก ส่องแสงสว่างไปถึงพื้นที่ที่มืดมนที่สุดในหัวใจเขา
เขานิ่งงันมองนาง จ้องมองดวงตาของนางที่มองมาที่เขาโดยไม่ไหวติง ลืมสิ้นหมดทุกสิ่งไปชั่วขณะ
“พวกเจ้าสองคน ดูนั่นสิ”
เสียงขององครักษ์ดังขึ้นไม่ไกลนัก
เซียวลิ่วหลังรีบยื่นมือออกไปแล้วคว้าตัวคนเข้ามาในห้อง ศีรษะน้อยปะทะเข้ากับอ้อมกอดของเขา เขาใช้มือข้างหนึ่งโอบนางไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็เอื้อมไปปิดประตูโดยพลัน
วินาทีที่เขาสอดกลอนประตู องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็มาถึงพอดี
“พวกเจ้าสองคน ไปดูทางนู้น ส่วนพวกเจ้าสองคนตามหาในสวน ส่วนเจ้าตามข้ามา”
“ขอรับ!”
กู้เจียวถูกเซียวลิ่วหลังกอดแน่นไว้ในอ้อมอก นางไม่ขยับไหว ดวงตากลมตาเป็นประกายนั้นช้อนมองเขาตาปริบๆ
เซียวลิ่วหลังยกนิ้วชี้ขึ้นมา ก่อนจะแนบลงริมฝีปากตังเองเบาๆ
กู้เจียวเข้าใจความหมาย
ห้ามพูด นางเข้าใจแล้ว!
“ฮัดเช่ย…”
แต่จามมันห้ามกันได้เสียที่ไหนเล่า!
หน้ากากเอียงกะเท่เรไปหมดแล้ว!
“เสียงอะไรน่ะ”
องครักษ์คนหนึ่งเดินไปทางห้องของเซียวลิ่วหลัง
“ข้าเอง” เซียวลิ่วหลังน้ำเสียงเรียบเฉย
“ดึกดื่นป่านนี้ ใต้เท้าเซียวยังไม่นอนอีกหรือ” องครักษ์ถามจากนอกประตู
เซียวลิ่วหลังกอดกู้เจียวไว้ ไม่กล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว “หลับแล้ว แต่ตื่นขึ้นมาเพราะพวกเจ้าส่งเสียงดังน่ะสิ”
“ขออภัยขอรับ” องครักษ์นอกประตูยกมือขึ้นคำนับ “สหายของพวกข้าพบองครักษ์หมดสติอยู่ใกล้กับโรงครัว ดูเหมือนจะสลบไปนานพอสมควร ไม่รู้ว่าจะมีโจรลอบเข้ามาหรือไม่ พวกข้ากำลังลาดตระเวรรอบสำนักจัดสอบ ขอใต้เท้าเซียวโปรดเข้าใจด้วยขอรับ”
กู้เจียวปลดหน้ากากที่กำลังจะหลุดออกจากใบหน้า ถูกเขากอดแน่นแบบนี้ จะผละออกก็ไม่ได้อยู่ดี นางจึงถือโอกาสมุดหน้าเข้าหาอ้อมกอดของเขาเสียเลย
เซียวลิ่วหลังหัวใจเต้นตึกตัก ลมหายใจเริ่มหอบหนัก เขาพยายามตั้งสติ “ข้าไม่ได้ยินอะไรจากทางนี้เลย พวกเจ้ารีบไปดูฝั่งใต้เท้าท่านอื่นสิ”
“ขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นขานรับ
“พี่ใหญ่ ทางนี้ก็ไม่พบ”
“ทางนี้ก็ไม่มีขอรับ”
“ลุยต่อ!”
เหล่าองครักษ์พากันออกไปจากหอจิงอี้ เซียวลิ่วหลังเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของพวกเขา เมื่อมั่นใจแล้วว่าองครักษ์คนสุดท้ายเดินออกไปไกลแล้ว รอบทิศกลายเป็นเงียบสงัดในทันใด
ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับยังนิ่ง กู้เจียวเองก็เช่นกัน
ภายในห้องไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงจันทร์รำไรรอดผ่านเข้ากระดาษบางที่บุหน้าต่าง แทบจะไร้แสงสว่าง
ราตรีเงียบสงัด
เขากอดนางไว้ ข้างหูคือเสียงลมหายใจของกันและกันกับเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัว
“ทหารที่สลบไปผู้นั้นไม่ใช่ฝีมือข้านะ ข้าไม่ได้ทำร้ายใคร”
กู้เจียวเอ่ย
“อืม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงพึมพำ ก่อนจะค่อยๆ คลายวงแขนที่โอบนางไว้ เงาราตรีบดบังความงามของดวงแก้ม “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เจ้ามาทำไมหรือ”
“กู้เฉิงเฟิงบอกว่าเจ้าโดนวางยา” ยามที่กู้เจียวเอ่ย ปลายนิ้วก็ทาบลงบนชีพจร
“ข้าไม่ได้กิน” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “องครักษ์ที่สลบไปคนนั้นคงเป็นคนที่มาส่งอาหารค่ำให้ข้า”
“ชีพจรไม่มีปัญหา” กู้เจียวถาม “อาหารที่มียายังอยู่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังคลำไปตามโต๊ะเบื้องหน้าท่ามกลางความมืด ก่อนจะคว้าไม้ขีดมาจุดตะเกียงน้ำมัน “ถูกเก็บไปแล้ว ข้าเก็บต้นหอมที่มียาไว้นิดหน่อย”
เขาเอ่ยพลางหยิบขวดกระเบื้องใบน้อยออกมาจากถุงผ้า
กู้เจียวเทต้นหอมออกมาจากข้างใน หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วสีหน้าก็ถมึงทึงขึ้นมา “นี่คือยาเบื่อหนู”
มีคนกล้าวางยาเบื่อสามีข้าจริงๆ เสียด้วย!
กำปั้นของนางคันยุบยิบขึ้นมาแล้ว!
เซียวลิ่วหลังมองสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของนาง แต่ก็อดไม่ได้จนเผลอยิ้มออกมา
เขายกมือขึ้นลูบลงบนเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นไร คราวนี้ข้าไม่หลงกล อีกฝ่ายคงรู้ตัวแล้วว่าพลาดท่า ช่วงนี้คงยังไม่ลงมือหรอก”
อย่างน้อยก็ไม่ลงมือในสำนักจัดสอบ
“เจ้าถ่อมาถึงที่นี่กลางดึกกลางดื่นเพราะเรื่องนี้หรือ”
สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กขี้ปะติ๋ว ตั้งแต่วินาทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็พอคาดการณ์ได้แล้วว่ามีกับดักมากมายรออยู่เบื้องหน้า
“ข้าจะหาตัวคนร้ายให้พบจนได้” กู้เจียวเอ่ยเสียงหนักแน่น
“เอาสิ” เซียวลิ่วหลังยิ้มบาง ลูบเส้นผมยุ่งเหยิงเพราะโดนลมพัดให้เข้าที่
แปลกนัก เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน
พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา เหมือนกับแขกที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเสียมากกว่า พวกเขามีพื้นที่ของตัวเองที่ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าล่วง
แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เส้นแบ่งระหว่างพวกเขาทั้งสองก็เริ่มเลือนลาง แผนการในวันหน้าของพวกเขาก็เริ่มมีอีกฝ่ายอยู่ภายในนั้น
เซียวลิ่วหลังก้มหน้าหัวเราะ
“เจ้าหัวเราะอะไรหรือ” กู้เจียวถาม
“เปล่า” เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า
อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ
ส่วนหัวเราะเรื่องอะไรน่ะหรือ เขาเหมือนจะรู้ แต่ก็เหมือนจะไม่รู้
“ว่าแต่ ราชโองการของจิ้งไท่เฟยเขียนว่าอะไรหรือ” กู้เจียวข้ามคำถามที่ว่าเหตุใดเจ้าถึงล่วงรู้เนื้อความในราชโองการได้
ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็รู้แล้วว่าตัวเองหัวเราะเรื่องอะไร เขากำลังมีความสุข
ตั้งแต่อยู่กับนาง นางแทบไม่เคยถามคำถามที่ทำให้เขาลำบากใจ และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่มีทางสืบถามเรื่องที่นางไม่ต้องการให้รู้
เท่านี้ก็พอเพียงแล้วไม่ใช่หรือที่จะเข้าใจกัน ปรับตัวเข้าหากันและกัน ราวกับเกิดมาคู่กัน
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “เป็นราชโอการที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งไว้ เขียนเรื่องสำคัญเอาไว้”
เรียกว่าสำคัญดูจะเบาไป เรียกได้ว่าสะเทือนไปทั้งราชสำนักต่างหาก
กู้เจียวถาม “เกี่ยวข้องกับท่านย่าหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “เกี่ยว”
จะว่าไปแล้วก็ต้องเกี่ยวข้องกับท่านย่าแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางจะกลายเป็นเป้าหมายที่จิ้งไท่เฟยลอบสังหารมานานหลายปีหรือ
กู้เจียวเดาต่อ “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเห็นชอบให้ท่านย่าว่าราชการหลังม่านหรือ”
หากฮ่องเต้พระองค์ก่อนเห็นชอบ เช่นนั้นแล้วท่านย่าก็ไม่ต้องทนแบกรับคำครหามากมายเพียงนี้ การที่จิ้งไท่เฟยเก็บราชโองการนั้นไว้กับตัวนั้นเป็นการนำพาอุปสรรคมาสู่เส้นทางการเมืองของท่านย่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ไม่ใช่”
กู้เจียวลองเดาไปอีกทาง “เช่นนั้นก็ห้ามไม่ให้ท่านย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก”
“ก็ไม่ใช่อีกเช่นกัน” เซียวลิ่วหลังส่ายหน้าอีกครั้ง
กู้เจียวร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “คงไม่ใช่ราชโองการที่สั่งให้ฝังท่านย่าไปพร้อมกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรอกนะ”
เซียวลิ่วหลังนิ่งเงียบ
กู้เจียวเห็นท่าทางนั้นของเขา ในใจก็รู้คำตอบแล้ว
ราชโองการที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งไว้ก่อนสิ้นพระชนม์สั่งให้ฝังท่านย่าไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ!
หากเป็นเช่นนั้น กู้เจียวก็ยิ่งสงสัย “แต่ว่าแล้วเหตุใดจิ้งไท่เฟยถึงได้เก็บราชโองการที่สั่งให้ฝังท่านย่าไว้กับตัวเอง นางไม่ถูกกับท่านย่าขนาดนั้น ยิ่งกำจัดท่านย่าออกไปให้พ้นทางได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดนางถึงต้องซ่อนราชโองการนั่นไว้ด้วย”
แววตาของเซียวลิ่วหลังแปรเปลี่ยนเป็นล้ำลึก “เพราะในราชโอการนั้น…นอกจากจะรับสั่งให้ฝังฮองเฮาแล้ว ยังมีจิ้งไท่เฟยอีกหนึ่งคน”