สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 384 สองสามีภรรยาลงมือโหด (2)
บทที่ 384 สองสามีภรรยาลงมือโหด (2)
กู้เจียวไปหาเซียวลิ่วหลังที่สำนักจัดสอบสองครั้ง เซียวลิ่วหลังเองก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้จากคำบอกเล่าของกู้เจียว เขาตั้งใจว่าเข้าวังหลวงสักหน่อย
“ฝ่าบาท เซียวซิวจ้วนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้องทรงอักษร เว่ยกงกงเอ่ยรายงานเสียงแผ่วเบา
มือของฮ่องเต้ที่แก้ฎีกาอยู่นั้นชะงักไป เขานวลคลึงขมับที่เริ่มเหนื่อยล้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เขาไม่ได้มาหลายวันแล้วนี่”
เว่ยกงกงรีบตอบในทันใด “เซียวซิวจ้วนไปคุมสอบที่สำนักจัดสอบมาสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
“อ๋อ การสอบของหกกรมสินะ” ฮ่องเต้เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท กรมทั้งหกจะมีการสอบประจำปีหนึ่งหน ปกติแล้วจะจัดในช่วงเดือนหก แต่ปีนี้เป็นเพราะมีทูตจากแคว้นเหลียงมาเยือน การสอบหน้าพระพักตร์หรือเตี้ยนซื่อจึงเลื่อนออกไปหนึ่งเดือน การสอบของกรมทั้งหกจึงไม่ต้องพูดถึง
การสอบนี้มิใช่ว่าขุนนางทุกคนต้องเข้าสอบ แต่เป็นการสุ่มสอบ โดยมีสำนักฮั่นหลินเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็เข้มงวดมากเช่นเดียวกัน
“ให้เขาเข้ามาสิ” ฮ่องเต้เอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเดินไปหน้าประตูเพื่อรับเขาเข้ามา
เซียวลิ่วหลังยกมือประสานคำนับ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หยิบฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เหตุใดวันนี้ถึงว่างมาหาเราได้ล่ะ”
เซียวลิ่วหลังประสานมือขึ้นพลางเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องร้องเรียนพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอันใดรึ” ฮ่องเต้ถาม
เซียวลิ่วหลังเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “วันแรกที่กระหม่อมไปคุมสอบที่สำนักจัดสอบ มีคนลอบวางยาเบื่อในอาหารค่ำของกระหม่อมพ่ะค่ะย่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
“เดิมทีกระหม่อมเก็บหลักฐานไว้แล้ว แต่ก็จนปัญญาเพราะอากาศร้อนนัก หลักฐานจึงได้เน่าเสียไปแล้ว” ถึงจึงพูดเช่นนั้น เซียวลิ่วหลังก็ยังหยิบขวดดินเผาใบน้อยออกมาจากแขนเสื้ออยู่ดี
เว่ยกงกงเดินเข้ามารับขวดดินเผาใบน้อยนั้นไว้ เมื่อเปิดฝาจุกออก กลิ่นฉุนของต้นหอมก็กระแทกเข้าจมูกในทันใด เว่ยกงกงรีบอุดจมูก
เน่าเหม็นขนาดนี้ หากนำไปให้ฮ่องเต้เห็นคงเสียสายตา
ฮ่องเต้เอ่ยถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นยาเบื่อ”
แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังไม่มีทางบอกออกไปว่ากู้เจียวมาหาเขาที่สำนักจัดสอบ เพราะลักลอบเข้าสำนักจัดสอบนั้นมีโทษถึงประหารชีวิต ต่อให้ฝ่าบาทไม่ลงโทษกู้เจียวอยู่แล้วก็เถอะ แต่จะทำให้กู้เจียวเสื่อมเสียในสายตาฝ่าบาทไปทำไม
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือว่ากระหม่อมเป็นสามีของเจียวเจียว ใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบทมานาน ซ้ำเจียวเจียวยังเคยใช้ยาเบื่อทำยาเบื่อหนู กระหม่อมยังเคยเป็นลูกมือให้กับนางด้วย”
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก
ของอันตรายเช่นนั้น กู้เจียวไม่มีทางยอมให้เซียวลิ่วหลังแตะต้องแน่นอน
แต่เซียวลิ่วหลังนั้นซึมซับวิชาศาสตร์มืดในราชสำนักมาจากจี้จิ่วอาวุโสแล้ว จึงสามารถพูดโกหกหน้าตายได้อย่างแนบเนียน
เซียวลิ่วหลังพูดต่อ “คนผู้นั้นแต่งตัวเป็นองครักษ์มาส่งอาหารให้กระหม่อม แต่กระหม่อมเห็นใบหน้าของเขา พอเห็นว่าไม่ใช่องครักษ์คนเมื่อเช้ากับตอนเที่ยงในใจก็เริ่มสงสัย จากนั้นถึงได้พบว่ามีคนวางยาในอาหารของกระหม่อม”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ผู้ใดกล้าดีถึงขั้นลงมือกับเจ้ายามอยู่ในสำนักจัดสอบ”
สำนักจัดสอบมีองครักษ์คุ้มกันหนาแน่น มือสังหารทั่วไปไม่มีทางลอบเข้าไปได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะวางยาในอาหารของเซียวลิ่วหลังได้อย่างไร
ฮ่องเต้จ้องนิ่งไปที่เซียวลิ่วหลัง “เราไม่เห็นได้ยินข่าวจากสำนักจัดสอบเลย”
เซียวลิ่วหลังไม่สะทกสะท้านกับสายตาทีจ้องมองจับผิดเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “กระหม่อมไม่ได้ร้องเรียนเรื่องนี้ กระหม่อมไม่รู้ว่าคนร้ายคือผู้ใด จึงไม่กล้าทำให้เรื่องใหญ่โต เกรงว่าคนร้ายจะไหวตัวทัน”
ฮ่องเต้มาคิดดูแล้วก็ฟังดูมีเหตุผล เขาหันไปมองเซียวลิ่วหลังพลางเอ่ย “เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้เราจะสืบสวนให้ถึงที่สุด”
เซียวลิ่วหลังยกมือคำนับ “กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เพื่อความรอบคอบ หลังจากเซียวลิ่วหลังกลับไปแล้ว ฮ่องเต้จึงเรียกหมอหลวงมาให้ตรวจสอบต้นหอมพวกนั้น
ต้นหอมนั้นถูกคีบออกมาจากน้ำแกงไข่น้ำ เน่าเสียมาตั้งนานแล้ว แต่หมอหลวงก็ยังสามารถตรวจพบยาเบื่อในนั้นได้
“ทูลฝ่าบาท เป็นยาเบื่อจริงอย่างที่ว่าพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงตอบ
แววตาของฮ่องเต้เย็นยะเยือก “เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
คืนนั้นฮ่องเต้ก็เรียกตัวองครักษ์ของสำนักจัดสอบมา ถามพวกเขาว่าพบเจอบุคคลน่าสงสัยหรือไม่
หัวหน้าองครักษ์เอ่ย “วันแรกของการสอบเหมือนจะมีคนลอบเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ ทำร้ายองครักษ์จนหมดสติไปนายหนึ่ง ทั้งยังขโมยเครื่องแบบขององครักษ์ผู้นั้น โชคร้ายที่กระหม่อมนั้นไร้ความสามารถนัก ไม่อาจจับตัวคนร้ายได้”
ตรงกับที่เซียวลิ่วหลังบอกเล่าไม่มีผิดเพี้ยน
ฮ่องเต้รับสั่งให้สืบสวนเรื่องนี้
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คดีวางยาในสำนักจัดสอบยังไม่ทันคลี่คลาย วันถัดมาก็เกิดเรื่องขึ้นกับเซียวลิ่วหลังอีก
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! แม่นางกู้กับเซียวซิวจ้วนได้รับบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงบุกเข้ามาในห้องทรงอักษรอย่างร้อนรน
ฮ่องเต้โยนฎีกาในมือทิ้ง “พวกเขาอยู่ที่ใด”
เว่ยกงกงเอ่ยเสียงกังวล “อยู่ที่โรงหมอ…เมี่ยวโส่วถัง…เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นฉินกงกงรีบร้อนออกจากวังไป จึงถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ฉินกงกงถึงได้บอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางกู้และเซียวซิวจ้วนพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวลิ่วหลังคือขุนนางคนโปรดของฮ่องเต้ ส่วนแม่นางกู้นั้นไม่ต้องพูดถึง ในสายตาของฝ่าบาทนางเหมือนดั่งลูกในไส้มิปาน
ฮ่องเต้ไม่มีกะจิตกะใจจะแก้ฎีกาอีกต่อไป เขาเปลี่ยนเป็นชุดสามัญชน ก่อนรีบมุ่งหน้าไปยังโรงหมอพร้อมกับเว่ยกงกง
ภายในห้องของเรือนเล็ก กู้เจียวนอนหมดสติอยู่บนเตียง ส่วนเซียวลิ่วหลังนั้นนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง มือซ้ายของเขาพันผ้าพันแผลขึ้นมาถึงลำคอ มุมปากมีแต่รอยฟกช้ำดำม่วง
ที่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้เห็นทั้งสองคนบาดเจ็บสาหัส เขาเหม่อลอยแข็งทื่อไปทั้งร่าง “…เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”
“ฝ่าบาท” เซียวลิ่วหลังลุกยืนขึ้น หมายจะยกมือขึ้นถวายบังคม แค่ก็เป็นอันต้องชะงักไปเมื่อเห็นผ้าพันแผลบนท่อนแขนของตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโค้งคำนับแทน
“มิต้องมากพิธีหรอก” ฮ่องเต้ยกมือขึ้นปรามแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าเตียง เขามองกู้เจียวที่หลับตาไม่รับรู้เรื่องราวอันใด ก่อนจะกวาดสายตาไปเห็นกองเสื้อผ้าอาบเลือดในตะกร้า ลมหายใจของเขาติดขัด “หมอเทวดาน้อยเป็นอะไรไป”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างเศร้าโศก “หมอซ่งมาตรวจอาการแล้ว บอกว่านางเสียเลือดมากเกินไป…”
แววตาของฮ่องเต้มืดมนในทันใด สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ท่อนแขนของเซียวลิ่วหลัง “แล้วเจ้าเล่าเป็นอะไร”
เซียวลิ่วหลังหลบตาลงมองต่ำพลางเอ่ย “กระหม่อมไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ แค่กระดูกข้อต่อแขนหลุดออกจากเบ้า ตอนนี้ต่อกลับคืนเข้าที่แล้ว”
แค่กระดูกข้อต่อหลุดออกจากเบ้าอย่างนั้นหรือ บัณฑิตร่างกายอ่อนแอจะทนความเจ็บปวดขนาดนั้นได้อย่างไร
สีหน้าของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ พวกเจ้าไปที่ใดถึงได้โดนทำร้ายเช่นนี้”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าปวดใจ “ละแวกถนนฉังอานพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเลิกงานที่สำนักฮั่นหลิน ระหว่างกลับบ้านก็พบกับมือสังหารเข้า ประจวบเหมาะกู้เจียวก็มารับข้าที่สำนักฮั่นหลินพอดีจึงปะทะกับมือสังการ เจียวเจียวสู้เขาไม่ไหวจึงบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็เจียวก็ใช้อาวุธลับทำลายหน้ากากของมือสังหาร มือสังหาถึงได้หนีไป ”
ฮ่องเต้ถาม “แล้วเห็นใบหน้าของคนร้ายชัดเจนหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ตอนนั้นโกลาหลยิ่งนัก กระหม่อมเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่จำได้ว่าบนใบหน้าของเขามีรอยสัก…”
ฮ่องเต้รีบถามต่อ “รอยสักอะไร…”
“เหมือนจะ…เหมือนจะเป็น…” เซียวลิ่วหลังนึกย้อนความทรงจำก่อนเอ่ย “ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอาจมองผิดไปก็ได้”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เจ้าพูดมาก็ไม่เสียหาย”
เซียวลิ่วหลังนิ่งไปครู่หนึ่งพลางเอ่ย “เหมือนเต่า แต่ก็เหมือนงู”
ตัวเป็นเตาแต่หางเป็นงู
เทพเจ้าเสวียนอู่
รอยสักขององครักษ์หลงอิ่ง
องครักษ์หลงอิ่งคือทหารพลีชีพ แต่ก็ใช่ว่าทหารพลีชีพทุกนายจะมีคุณสมบัติเป็นองครักษ์หลงอิ่งได้ ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนซื้อทหารพลีชีพมาหนึ่งกองกำลังใหญ่มาจากแคว้นเยียน ตอนที่ซื้อมาก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว ทว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังไม่พอใจในความสามารถของพวกเขา
จึงได้เชิญยอดฝีมือมาผึกซ้อมต่อยอดให้เหล่าทหารพลีชีพ จากทหารพลีชีพกว่าร้อยชีวิตสุดท้ายแล้วกลายเป็นองครักษ์หลงอิ่งเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น
มีองครักษ์หลงอิ่งบางนายที่ตายในภารกิจ คนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งไว้ให้เขานั้นคือองครักษ์หลงอิ่งที่อายุน้อยที่สุด
ตอนที่เขาเห็นพวกเขาครั้งแรกก็ต้องตกใจกับรอยสักเสวียนอู่บนใบหน้าของพวกเขา ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ต้องการแยกองครักษ์หลงอิ่งออกจากทหารพลีชีพทั่วไปจึงสั่งให้สักบนใบหน้า
บนผืนแผ่นดินนี้ ไม่มีผู้ใดมีรอยสักเช่นนี้อีกแล้ว
ฮ่องเต้สับสนขึ้นมาในทันใด “เจ้ามั่นใจหรือว่าไม่ได้ตาฝาด”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิด “กระหม่อม…ไม่มั่นใจ ตอนนั้นกระหม่อมเห็นเพียงครู่ อาจตาฝาดก็เป็นได้”
ฮ่องเต้หลับตาลง
คงตาฝาดกระมัง
ตอนนี้องครักษ์หลงอิ่งอยู่ในการควบคุมของเสด็จแม่จิ้งทั้งหมด นางจะส่งคนไปลอบสังหารเซียวลิ่วหลังได้อย่างไร
ต่อให้นางไม่โปรดที่เขาสนิทสนมกับคนของจวงไทเฮา แต่หากว่ากันตามตรง เซียวลิ่วหลังก็ไม่ใช่คนของจวงไทเฮาเสียทีเดียว เซียวลิ่วหลังเป็นขุนนางที่เขาแต่งตั้งด้วยตัวเอง เป็นบัณฑิตในโอสรแห่งสวรรค์ เป็นคนของเขา!
เสด็จแม่จิ้งไม่มีเหตุผลใดจะทำร้ายเซียวลิ่วหลัง
ฮ่องเต้นั่งรออยู่ในห้องอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นหมอซ่งก็เข้ามาทำแผลให้กับกู้เจียว กู้เจียวยังคงไม่ได้สติ
ฮ่องเต้มองอ่างน้ำสีเลือดที่ถูกยกออกมาจากหลังม่านครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งทนเห็นต่อไปไม่ไหว
ระหว่างทางกลับวัง เขาไม่พูดแม้สักคำ
“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงเอ่ยเตือนเข้าว่าถึงวังหลวงแล้ว
ทว่าฮ่องเต้กลับทอดถอนใจ “เสด็จแม่จิ้งไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอก ใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ” เว่ยกงกงชะงักไป
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หรือว่าฮ่องเต้จะสงสัยว่าจิ้งไท่เฟยเป็นผู้ส่งคนมาลอบสังหารเซียวลิ่วหลัง
ปกติแล้วองครักษ์หลงอิ่งมักจะสวมหน้ากากปกปิด เว่ยกงกงไม่รู้เรื่องที่พวกเขามีรอยสักบนใบหน้า
“ต้องไม่ใช่พวกเขาแน่นอน” ไม่รู้ว่าฮ่องเต้พูดกับเขาหรือว่าพูดกับตัวเอง
เว่ยกงกงมีหรือจะกล้าตอบ
นั่นเป็นเรื่องระหว่างสองแม่ลูกของพวกท่าน ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยว
เขานึกถึงตอนนั้นที่ฮ่องเต้กับไทเฮาก็ดูเหมือนจะห่างเหินกันเรื่อยๆ แบบนี้เช่นกัน คล้ายว่าเพียงชั่วข้ามคืนฮ่องเต้ก็หมางเมินไทเฮา ต่อมาฝ่าบาทก็เริ่มมีปากเสียงกับไทเฮา เรื่องเล็กขี้ประติ๋วก็โทษไทเฮาไปเสียหมด
บางครั้งเขาถึงขั้นกล่าวหาไทเฮาด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าฟ้าเปลี่ยนสีหรืออย่างไร ตอนนี้ถึงกลายเป็นคราวของจิ้งไท่เฟยไปเสียได้
ฝ่าบาทเป็นโรคที่ว่าไม่ขัดใจแม่จะขาดใจตายอย่างหรืออย่างไร
“เฮือก!”
เว่นกงกงรีบอุดปากตัวเองก่อนจะหลุดคำพูดเหล่านั้นออกไป
ฮ่องเต้ลงจากรถม้า
ความคิดในหัวของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ภายในหัวมีสองเสียง เสียงหนึ่งบอกเขาว่าเซียวลิ่วหลังไม่มีทางโกหกเขา อีกเสียงหนึ่งบอกเขาว่าเสด็จแม่จิ้งไม่มีทางหักหลังเขา
“ผู้ใดน่ะ” เว่ยกงกงโพล่งออกมา
“มีอะไรรึ” ฮ่องเต้ถาม
เว่ยกงกงชี้ไปที่ท้ายสวนดอกไม้หลวง “เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่ตรงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นไม่ใช่ทางไปห้องสุขาหรอกหรือ
อาจจะเป็นคนที่รีบไปเข้าห้องน้ำก็ได้
ฮ่องเต้คงไม่อยากไปดูบ่าวไพร่ปลดทุกข์หรอกกระมัง ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของเขาถึงได้รู้สึกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก เขาเพิ่งก้าวไปข้างหน้าก็เป็นต้องหันหลังกลับ เดินทางมุ่งหน้าไปทางห้องสุขา
เพราะเป็นห้องสุขา ฮ่องเต้จึงไม่เข้าไป แต่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วทอดสายตามองออกไป
ใครจะไปคาดคิดว่าเขานั้นจะได้ยินเสียงที่แสนคุ้นหู
“ว่าอย่างไรนะ เจ้า…เจ้าพลาดอีกแล้วหรือ เสียแรงที่เป็นถึงองครักษ์หลงอิ่ง เหตุใดแค่บัณฑิตผอมแห้งแรงน้อยเพียงคนเดียวเจ้ากลับฆ่าไม่สำเร็จ!”
นั่นคือ…เสียงของเสด็จแม่จิ้ง
เสด็จแม่จิ้งพูดว่า…พลาดอีกแล้ว
เสด็จแม่จิ้งยังพูดอีกว่า บัณฑิตผอมแห้งแรงน้อย…
เขาต้องหูฝาดเป็นแน่
เสียงนั้นยังดังขึ้นต่อไม่หยุด
“ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่าเจ้ามันไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ตอนนั้นฝ่าบาทมอบพวกเจ้าให้ข้า ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาเสวยสุขรอวันตายหรอกนะ! แค่ฆ่าไอ้เป๋คนหนึ่ง ไม่ใช่จอมยุทธ์ยอดฝีมือเสียหน่อย! องครักษ์หลงอิ่งอย่างพวกเจ้ามีฝีมือแค่นี้เองหรือ!”
“หากรู้แต่แรก สู้ข้าซื้อตัวนักฆ่ามาจากเจียงหูไม่ดีกว่าหรือ! ได้เรื่องกว่าพวกเจ้าเป็นไหนๆ !”
ฮ่องเต้หลอกตัวเองไม่ได้อีกต่อไปว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของเสด็จแม่จิ้งของตน
เขารู้สึกถึงความเย็นวาบที่แล่นริ้วขึ้นมาจากฝ่าเท้า ก่อนจะพุ่งขึ้นกลางกระหม่อม!