สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 388 ติดหนึบ (1)
บทที่ 388 ติดหนึบ (1)
อีกทางด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ผ่านพ้นค่ำคืนอันสับสับอย่างหาใดเทียมไม่ได้ เว่ยกงกงก็ไม่กล้าเร่งพระองค์ จวบจนใกล้รุ่ง เว่ยกงกงจึงได้หอบความกล้าเดินเข้าห้องทรงอักษรมาก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท จะถึงเวลาประชุมเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ฮ่องเต้ขานรับเสียงทุ้มต่ำ
เว่ยกงกงไม่อาจจินตนาการเลยว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาพระองค์จะสับสนเพียงใด จึงทำเพียงเดินตามหลังฮ่องเต้สายตาแน่วแน่ไม่ล่อกแล่ก ปรนนิบัติฮ่องเต้สรงน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมมังกร
เนื่องจากไม่ได้บรรทมทั้งคืน ใต้ตาของฮ่องเต้จึงคล้ำดำเป็นวงใหญ่ทั้งสองข้าง ถึงขนาดที่ว่าพวกขุนนางแถวแรกที่อยู่ไกลลิบ ยังสังเกตเห็นได้
เจ้ากรมพระคลังถือแผ่นไม้ฮู่ป่านเหลือบมองราชครูจวงแวบหนึ่ง ก่อนจะกดเสียงกระซิบแผ่วเบา “ฝ่าบาทเป็นอะไรรึ”
ราชครูจวงกระซิบเอ่ย “คงจะราชกิจรัดตัว”
“เพราะเรื่องชายแดนหรือไม่” เจ้ากรมพระคลังถาม
หนิงอ๋องกับถังเย่ว์ซานไปปราบโจร และพบว่าชายแดนแคว้นเฉินกำลังเคลื่อนไหวที่จะก่อการร้าย กษัตริย์แคว้นเฉินประกาศกับภายนอกว่าจะแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่ เรียกความสนใจจากแคว้นอื่นๆ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าแคว้นเฉินจะไม่ลอบเดินทัพมายังแคว้นเจา
เจ้ากรมพระคลังไม่รอให้ราชครูจวงได้ตอบก็จุ๊ๆ ปากเอ่ย “เชลยแคว้นเฉินยังอยู่ที่แคว้นเจาอยู่เลย พวกเขาก็อดรนทนไม่ไหวจะออกศึกแล้ว นี่ไม่สนใจความเป็นความตายของเชลยแคว้นเฉินเลยหรือไร”
ราชครูจวงคิดในใจว่า ตอนที่เซวียนผิงโหวนำทัพไปโจมตีแคว้นเฉินนั้น อันจวิ้นอ๋องก็เป็นเชลยอยู่ที่แคว้นเฉินมิใช่หรือไร
พอคิดเช่นนี้ ตอนนั้นฝ่าบาทกับเซวียนผิงโหวก็ไม่สนใจความเป็นความตายของอันจวิ้นอ๋องเลยเช่นกัน
ทว่าเซวียนผิงโหวทำศึกครานั้นได้งดงามยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะส่งคนไปคุ้มกันอันจวิ้นอ๋องเอาไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เขาตกสู่เงื้อมมือแคว้นเฉินกลายเป็นเชลยศึกเท่านั้น ยังเป็นยุทธวิธีที่ทำให้ตื่นตระหนกและตกใจกลัวด้วย แทบจะพลิกวังหลวงของแคว้นเฉินเลยทีเดียว
แต่ไม่รู้ว่าแคว้นเฉินจะมีแม่ทัพที่ทั้งชาญฉลาดและกล้าหาญเช่นนี้อยู่หรือไม่
การประชุมเช้าวันนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ นอกจากผู้ตรวจการบางคนที่มีเชื้อสายของราชครูจวงยื่นมติไม่ไว้วางใจขุนนางใหญ่คนสนิทของฮ่องเต้คนหนึ่ง เหตุผลคืออีกฝ่ายเข้าออกหอนางโลม ทำให้เสื่อมเสียตำแหน่งราชการ
พูดกันตามตรง โทษอย่างการเที่ยวหอนางโลมนั้นยากที่จะโค่นล้มลงได้ และมีแค่พวกผู้ตรวจการที่มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมดที่จะทำเช่นนี้ ทุกคนต่างคิดว่าฮ่องเต้คงไม่ประทับตรารับพิจารณาหรอก
ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จะโบกพระหัตถ์ ให้หัวหน้าศาลต้าหลี่จัดการบุคคลนี้อย่างเคร่งครัด
พวกขุนนางต่างมึนงงกันทันที
บะ…แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ
“ฝ่าบาท!” เจ้ากรมโยธาเดินขึ้นหน้ามา แม้แต่เขาที่เป็นคนนอกยังทนมองไม่ได้ มีใครเคยใช้โทษเที่ยวหอนางโลมมายื่นมติไม่ไว้วางใจกันบ้าง หากจะว่าเช่นนี้ เซวียนผิงโหวก็ควรโดนปลดหมวกขุนนางทิ้งไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วสิ
“คนผู้นี้เคยดูหมิ่นไทเฮา ต่อหน้าเราก็ยังกล้าตำหนิไทเฮา ขุนนางกังฉินเช่นนี้ ต้องลงโทษอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีการผ่อนผัน เราตัดสินใจแล้ว ขุนนางทุกท่านไม่ต้องหารือกันอีก” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปมองจวงไทเฮาที่นั่งอยู่หลังม่านแวบหนึ่ง แววตาค่อนข้างตื่นเต้น ราวกับกำลังพูดว่า ‘รีบชมเราสิ รีบชมเราสิ!’
จวงไทเฮาไม่สนใจพระองค์
หลังประชุมเช้า ฮ่องเต้ก็ไล่ตามเกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮา
จวงไทเฮากำลังมีชีวิตชีวาการเสียสละผลไม้เชื่อมห้าลูก นางข่มใจออกจากเกี้ยวหงส์มามองพระองค์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ฮ่องเต้มาหาข้ามีธุระอะไรรึ”
ฮ่องเต้ตรัส “ข้ามีเรื่องอยากคุยส่วนตัวกับเสด็จแม่”
คำเรียกแทนตัวสมัยก่อนของพระองค์ไม่ใช่ ‘เรา’ แต่เป็น ‘ลูก’ แฝงไว้ด้วยความถากถาง จนใจที่จวงไทเฮาสนใจแต่ผลไม้เชื่อมห้าลูกของนาง ไม่ได้สนใจความนัยที่พระองค์เรียกแทนตัวเองเลยสักนิด
จวงไทเฮาไล่คนรับใช้ออกไป ฮ่องเต้ก็ไล่เว่ยกงกงและคนอื่นๆ ไปเช่นกัน บนถนนสายเล็กๆ อันทอดยาวจึงเหลือเพียงสองคนแม่ลูก
ฮ่องเต้ว้าวุ่นมาทั้งคืนเพิ่งจะตัดสินใจได้ว่าจะเล่าทุกอย่างให้จวงไทเฮาฟัง นางเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำของเรื่องนี้ นางมีสิทธิ์จะได้รู้ความจริง
เพียงแต่อารมณ์ของพระองค์ยังคงว้าวุ่นอยู่มาก ด้วยเหตุนี้การพูดการจาจึงค่อนข้างไม่ต่อเนื่องเท่าใดนัก โชคดีที่จวงไทเฮาเข้าใจ อีกทั้งยังมองออกว่าลูกชายทึ่มๆ คนนี้ให้บัวลอยงาดำกับเซียวลิ่วหลังไปแล้ว
ทว่าความจริงก็คือความจริง เซียวลิ่วหลังไม่ได้บิดเบือนความจริง
“…ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเสด็จแม่จิ้งจะทำเช่นนั้น…แต่เสด็จแม่วางใจได้เลย ข้าทำลายราชโองการไปแล้ว…”
พระองค์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองแสดงออกชัดพอหรือไม่ การแสดงออกของไทเฮาจึงได้สงบนิ่งนัก พระองค์จึงสงสัยว่านางคงยังไม่เข้าใจ
พระองค์เอ่ยต่อ “แล้วก็ความสัมพันธ์กับเสด็จแม่ในหลายปีมานี้…อันที่จริงเป็นการเข้าใจผิด…หลายปีมานี้ข้าโดน…”
“ดังนั้นจึงไม่ต้องเล่นละครต่อแล้ว”
จวงไทเฮาเอ่ยขัดฮ่องเต้ขึ้นมา
ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย
เอ่อ…ประเด็นคือ…เรื่องนี้รึ
ไม่เล่นละครต่อก็หมายความว่าจะไม่มีผลไม้เชื่อมห้าลูกอีกแล้ว
ฮ่องเต้ที่ไม่มีผลไม้เชื่อมก็พลันหมดแรงดึงดูดไปทันที รอยยิ้มจวงไทเฮาพลันหุบลง ก่อนจะหันหลังไปอย่างรังเกียจ “ข้าไปล่ะ!”
ฮ่องเต้ “…”
พระองค์พูดออกไปแต่ได้เพียงความหว่าเว้กลับมาอย่างนั้นหรือ!
ปฏิกิริยาเย็นชาของจวงไทเฮาโจมตีฮ่องเต้เข้าอย่างจัง ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางนึกไปถึงตนเองไม่มีค่าพอที่จะนำไปต่อรองกับผลไม้เชื่อมห้าผลเป็นแน่ พระองค์ดื้อดึงที่จะคิดว่าจวงไทเฮากำลังโกรธพระองค์ โกรธที่พระองค์ทำร้ายนางมาหลายปีเพียงนี้
เรื่องบางเรื่องพอคิดตกแล้วก็เป็นเวลาชั่ววูบเท่านั้น
ทว่าหุบเหวบางที่กลับพังทลายมายี่สิบกว่าปีแล้ว
ฮ่องเต้เสด็จไปตรอกปี้สุ่ยอีกแล้ว
เซียวลิ่วหลังเดาไว้แล้วว่าไม่กี่วันนี้ฮ่องเต้จะไปมาที่ตรอกปี้สุ่ยบ่อยๆ แน่ จึงลาหยุดกับสำนักฮั่นหลินโดยเฉพาะ เพื่ออยู่บ้าน ‘ดูแล’ กู้เจียว
กู้เจียวนั่งอยู่บนเตียง กินดีอยู่ดีอีกทั้งยังได้ชื่นชมดวงหน้าหล่อเหลาของสามีตัวเองอีกด้วย
เซียวลิ่วหลังนั่งลงบนม้านั่งข้างเตียงพลางปอกส้มให้นาง
เขามีกระดูกข้อต่อชัดเจน นิ้วเรียวยาว และเขาก็ทำงานหนักเช่นกันแต่เกิดมาหน้าตาดี รูปงามดุจหยก
เดี๋ยวกู้เจียวมองใบหน้าเขา เดี๋ยวก็มองมือเขา
แม้ว่าเซียวลิ่วหลังจะชินชาแล้วกับการพินิจมองโต้งๆ ของนางเช่นนี้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้
น่ามอง…จริงๆ น่ะรึ
เขาเป็นคนพิการ อาจจะเป๋ไปตลอดชั่วชีวิตเลยก็ได้ ต้องลากร่างเป๋ๆ พิการๆ ไปตลอดชีวิต นางอยู่กับเขาก็จะโดนคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ตลอดไป
“กู้เจียว ข้าเป็นคนพิการนะ”
เขาไม่ทันระวังจึงโพล่งความในใจออกมา
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “ข้ารู้อยู่แล้ว”
เซียวลิ่วหลังปอกส้มในมือต่อ “เจ้าไม่ถือสาจริงๆ น่ะรึ ข้าอาจจะ…ไม่หายเลยก็ได้ เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าพยายามฟื้นฟูร่างกายมาก ไม่ขาดตกแม้แต่วันเดียว แต่ข้าก็เดินไม่ได้แล้ว…เดินเหมือนอย่างพวกเจ้าไม่ได้แล้ว”
นางคงจะเกิดความหวังและเฝ้าคอยอยู่ในใจกระมัง รอคอยให้มีสักวันที่เขาจะเดินได้เหมือนอย่างคนปกติ
ทว่าเขากลัวว่าจะทำไม่ได้จริงๆ
เมื่อความอดทนของนางหมดลง นางยังจะมองเขาเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่
ความรู้เป็นสิ่งที่ล้ำลึก ใส่ใจมากเท่าใดก็ไร้ความมั่นใจมากเท่านั้น
เมื่อก่อนเขาก็รู้สึกว่าขาเป๋ไปข้างหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างไรเสียชีวิตก็มืดมิดไปหมดแล้ว ไม่มีใครเห็น เขาเองก็มองไม่เห็น ที่มองเห็นได้เขาก็ทำเป็นว่าพวกเขามองไม่เห็น
ทว่าจู่ๆ ก็มีวันหนึ่งที่นางจุดตะเกียงให้สว่างขึ้น จุดหนทางใต้ฝ่าเท้าเขาให้สว่างขึ้น และส่องร่างกายน่าสมเพชของเขาให้สว่าง
กู้เจียวมองเขาอย่างแปลกใจ เขาไม่สนใจขาตัวเองไม่ใช่หรือ ตอนนั้นที่ผ่าตัดให้เขาเฝิงหลินยังตกใจเกือบตาย แต่เขากลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด
เหตุใดยามนี้จึงคิดสนใจขึ้นมากันเล่า
กู้เจียวพลันเดาใจเขาไม่ออก นางครุ่นคิด ก่อนจะชี้ไปที่ตำหนิบนหน้าตัวเองพลางเอ่ย “แล้วเจ้าถือสาที่ข้าหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้หรือไม่”
นางไม่รู้ว่าบนหน้านางน่ะคือจุดแดงพรหมจรรย์ นึกว่ามันจะติดตัวไปตลอดชีวิต
เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบ
เด็กโง่
เขาจะไปถือสาได้อย่างไรกันล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นของพรรค์นี้มันหายไปได้
พอเจ้ากลายเป็นคนสมบูรณ์แบบแล้ว ยังจะรู้สึกว่าร่างพิการๆ อย่างข้าคู่ควรกับเจ้าหรือไม่