สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 389 เจ้าข้าวเจ้าของ (1)
บทที่ 389 เจ้าข้าวเจ้าของ (1)
ขณะเดียวกัน ปฏิกิริยาของจวงไทเฮาที่อยู่บนรถม้านั้นไม่ได้ต่างไปจากกู้เจียว เซียวลิ่วหลังและจี้จิ่วอาวุโสสักเท่าใดนัก โดยเฉพาะตอนที่นางเพิ่งนั่งลงยังไม่ทันดี นางก็ตกใจจนเกือบจะตกจากรถม้า!
เจ้าลูกชายซื่อบื่อคนนี้คิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีกแล้วล่ะ
จิ้งไท่เฟยเปิดเผยธาตุแท้แล้วมิใช่รึ ยังจะมาเล่นละครอะไรต่ออีก!
หรือว่าเขากินยาผิดเข้า หรือไม่อย่างนั้นก็คงหัวโดนประตูหนีบเข้าให้แล้วแน่ๆ!
จวงไทเฮานั่งลงให้เรียบร้อยใหม่ นางขนลุกขนพองไปหมดแล้ว ไม่ต้องเหยียบก็ดังเอี๊ยดหมด
“ออกรถสิ! มัวนิ่งอยู่ไย!”
นางเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
หากจะเป็นบ้าก็เป็นไปคนเดียวโน่น นางไม่เป็นบ้าด้วยกันกับเขาหรอกนะ!
คนขับรถได้รับคำสั่งก็กำลังจะโบกแส้ในมือ ทว่าฮ่องเต้กลับสาวเท้าก้าวยาวๆ มาขวางหน้าคนขับรถเอาไว้อย่างไม่กลัวตาย
ต่อให้คนขับรถเชื่อฟังคำสั่งของไทเฮาอย่างไรก็ไม่กล้าขับรถม้าทับร่างฮ่องเต้อยู่ดี คนขับรถนิ่งงันไปแล้ว ยามนี้ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ฮ่องเต้กลับไม่ได้ให้เขาลำบากใจนาน ทรงเดินขึ้นรถม้าไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วทันที
การเคลื่อนไหวของพระองค์รวดเร็วและรุนแรงยิ่งนัก ฉินกงกงอยากจะห้ามไว้ก็ห้ามไม่ทัน
จวงไทเฮามองฮ่องเต้ที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา นึกไม่ถึงว่าปฏิกิริยาแรกของนางจะเป็นการปกป้องโหลผลไม้เชื่อมในอ้อมอกเอาไว้ นางเพิ่งจะได้ผลไม้เชื่อมมาตั้งหลายลูก เจ้าลูกชายซื่อบื่อนี่คงไม่ได้ขึ้นมาแย่งผลไม้เชื่อมไปจากนางหรอกกระมัง
นางขมวดคิ้วทันที “เจ้าจะทำอะไร”
คำถามนี้ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย นั่นสิ พระองค์ทำอะไรกัน พระองค์เป็นใคร พระองค์อยู่ที่ไหน
เข้าใจแล้ว เป็นเพราะฤทธิ์ยาต่างหากล่ะ!
พระองค์กินยาแก้ไปตั้งสามเม็ด ยาออกฤทธิ์มากเกินไป แม้ว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นก็ยังต้านทานผลร้ายอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ไว้ไม่ได้ จบเห่แล้ว พระองค์ขายหน้าแย่แล้ว!
พระองค์ต้องลงรถเดี๋ยวนี้! พระองค์ต้องทวงศักดิ์ศรีคืนมา!
“ลงไป” จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่!” ฮ่องเต้หย่อนก้นลงนั่งทันที!
จวงไทเฮาก็ไม่อาจเตะพระองค์ลงไปได้เช่นกัน ประเด็นคือเตะไปแล้วเจ็บขา จวงไทเฮาคร้านจะสนใจพระองค์ อย่างไรเสียก็ไม่ได้มาแย่งผลไม้เชื่อมกับนาง ทำหลับตาข้างหนึ่งไปก็จบแล้ว
เว่ยกงกงก็ขึ้นไปนั่งตรงนอกรถเช่นกัน
ขันทีที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลวงสองคนพากันมองหน้ากันตาปริบๆ แววตาฉายความฉงนวาบผ่าน
ระหว่างทางกลับวัง จวงไทเฮาหลับตาพักสายตา ฮ่องเต้จึงไม่กล้าเสียงดังทำนางตื่น
จนกระทั่งเข้าวังมา ทั่งคู่ลงจากรถม้า เกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮาเข้ามารับ ในที่สุดฮ่องเต้จึงได้เรียกกำลังใจแล้วเอ่ยขึ้น “เราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เราน่ะ…”
จวงไทเฮาเอ่ยขัดพระองค์อย่างไม่สบอารมณ์ “เราน่ะอะไรของเจ้า กินยาผิดขวดรึ หรือว่ากินเยอะไปจนจุก”
ฮ่องเต้สีหน้ามึนงง สมกับที่เป็นเสด็จแม่ของพระองค์นัก แม้แต่เรื่องนี้ยังเดาถูก!
“เหอะ!”
จวงไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูกพลางขึ้นเกี้ยวหงส์ไป
จากนั้นฮ่องเต้ก็ตามขึ้นเกี้ยวหงส์ไปโดยไม่อาย
จวงไทเฮามองพระองค์อย่างแปลกใจ พระองค์กระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ย “…เราเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเดิน”
จวงไทเฮามองเกี้ยวกษัตริย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลที่รีบหลบเข้าหลังภูเขาจำลองอย่างรวดเร็ว “…เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ เจ้ามีแผนการใดใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างฉงน “เราจะไปมีแผนการใดได้”
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างเย็นชา “ฮ่องเต้คิดจะเลื่อนตำแหน่งให้ขุนนางคนใดอีกเล่า หรือว่าจะปลดตำแหน่งใครรึ พูดมาตรงๆ ดีกว่า ไม่ต้องบิดพริ้วพิรี้พิไร เสแสร้งแกล้งทำอะไรที่นี่”
“เราเป็นคนเช่นนั้นรึ เราก็แค่…” พระองค์อยากบอกว่ากตัญญูต่อเสด็จแม่เฉยๆ แต่คำพูดติดอยู่ปลายลิ้นก็รู้สึกว่าประโยคนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก อย่าว่าแต่จวงไทเฮาไม่เชื่อเลย พระองค์เองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
สุดท้ายพระองค์จึงตัดสินใจโพล่งออกไปว่า “พูดตรงๆ เลยแล้วกัน เราใช้ยาแก้เกินขนาด การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะฤทธิ์ยาทั้งสิ้น”
จวงไทเฮา “…”
ฤทธิ์ยารุนแรงเกินไปแล้ว รุนแรงยิ่งกว่าเซียวลิ่วหลังอีก อย่างน้อยๆ ฮ่องเต้ก็คิดเช่นนี้ แม้ว่าตัวคนจะกลับตำหนักฮว๋าชิงแล้ว แต่ใจกลับยังลอยไปที่ตำหนักเหรินโซ่วอยู่เลย
แม้ว่าจะเสวยมื้อค่ำที่ตรอกปี้สุ่ยไปแล้ว แต่เหมือนว่าเสด็จแม่จะกินไปไม่เยอะ ไม่รู้เหมือนกันว่ายามนี้นางจะหิวหรือไม่
“ฝ่าบาท มื้อดึกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงยกบะหมี่เป็ดร้อนๆ มาให้
ฮ่องเต้มองบะหมี่เป็ดหอมฉุย ก่อนที่จู่ๆ จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยหิวนัก “เราไม่อยากกิน”
เว่ยกงกงรีบเอ่ย “ฝ่าบาทเสวยมื้อค่ำไปไม่กี่คำเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
ประเด็นคือพอได้ยินว่าตัวเองกลืนยาแก้ไปสามเม็ด ก็ตกอกตกใจจนอยู่ไม่สุข ไหนเลยจะไปมีอารมณ์กินอะไรอีก
ยามนี้ได้กลิ่นหอมๆ ของน้ำแกงเป็ดกับต้นหอมอันที่จริงก็ท้องร้องอยู่บ้าง แต่พระองค์ไม่อยากกินชามตรงหน้านี้
“บะหมี่เป็ดของตำหนักหวาชิงไม่อร่อย” พระองค์บ่น
เอ่อ…ประโยคนี้หมายความว่ามื้อดึกอย่างอื่นของตำหนักหวาชิงทำอร่อย หรือว่าบะหมี่เป็ดของตำหนักอื่นอร่อยกันเล่า
เว่ยกงกงพิจารณาอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเลือกข้อหลังด้วยสัญชาตญาณ “เช่นนั้น…ฝ่าบาทอยากเสวยบะหมี่เป็ดของตำหนักใดเล่า”
“เราจะไปรู้ได้อย่างไร” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
มาถูกทางแล้ว เว่ยกงกงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “บ่าวได้ยินมาว่าตำหนักหย่งโซ่วมีพ่อครัวมาใหม่ ทรงไปลองบะหมี่เป็ดที่นั่นดูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตำหนักหย่งโซ่วเป็นที่พักของจวงกุ้ยเฟย
ฮ่องเต้แค่นเสียง “ห้องเครื่องของตำหนักหย่งโซ่วทำอาหารไม่อร่อยสักนิด เรากินไปครั้งเดียวก็ไม่อยากกินครั้งที่สองแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น…ตำหนักฉังชุนเล่า” ฝ่าบาทไม่ได้ไปหาซูเฟยมาสักพักแล้ว
ฮ่องเต้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “อาหารตำหนักฉังชุนจืดยิ่งนัก”
เว่ยกงกงเอ่ย “ตำหนักคุนหนิงเล่า ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมองค์ชายเจ็ดด้วยเลย”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเจ็ดหมู่นี้ดื้อรั้นนัก เราไม่มีแรงไปรับมือกับเขา”
เว่ยกงกงร่ายรายชื่อนางสนมที่นับได้ว่ายังได้รับความโปรดปรานอยู่ออกมาภายในรวดเร็ว มีเสด็จแม่ขององค์ชายสามอย่างอวี๋เฟย และองค์ชายที่มีหน้ามีตาในหมู่นี้ แต่โดนฮ่องเต้ปฏิเสธทั้งหมดเลย
เว่ยกงกงรับใช้ฮ่องเต้มานานเพียงนี้ได้หาใช่เพราะดวงตาไร้แววไม่ ยามนี้ฮ่องเต้นั่นก็ไม่ไปนี่ก็ไม่ไป เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจสาวงามสามพันนางในวังหลังเลยสักนิด
เขาดวงตาเป็นประกายพลันเอ่ย “บ่าวได้ยินหมอเทวดาน้อยบอกว่าห้องเครื่องตำหนักเหรินโซ่วทำอาหารไม่เลว บะหมี่เป็ดก็ทำได้ยอดเยี่ยมยิ่ง”
เป็นไปดังคาด ฮ่องเต้ลุกนั่งหลังตรงทันที “หมอเทวดาน้อยบอกมาเช่นนั้นรึ”
แน่นอนว่าไม่ได้บอกอยู่แล้ว หมอเทวดาน้อยจะไปคุยเรื่องนี้กับเขาได้อย่างไรกันล่ะ
ทว่ามีความจริงอย่างหนึ่งที่เรียกว่าความจริงที่ฮ่องเต้ต้องการ เว่ยกงกงแย้มยิ้มก่อนเอ่ย “ใช่น่ะสิพ่ะย่ะค่ะ หมอเทวดาน้อยบอกมาเช่นนี้เลย บ่าวจำไม่ผิดแน่นอน!”
ฮ่องเต้กระแอมในลำคอ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไปตำหนักเสด็จแม่ก็แล้วกัน”
ดังนั้น จวงไทเฮาที่ใกล้จะเข้านอนก็ได้เห็นลูกชายซื่อบื่อคนนี้อีกครา
“ได้ยินว่าบะหมี่เป็ดตำหนักเสด็จแม่อร่อยนัก” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่รู้จักกระดากอาย
อย่างไรเสียก็เป็นเพราะฤทธิ์ยาอยู่แล้ว ไม่ใช่เจตนาของพระองค์เสียหน่อย พระองค์คิดตกแล้ว จะต้องอายไปทำไมอีก
จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “วันนี้ตำหนักเหรินโซ่วไม่มีเนื้อเป็ด”
ฮ่องเต้รีบเอ่ย “ตำหนักฮว๋าชิงมี! เว่ยกงกง ไปเอาเป็ดมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยกงกงเรียกขันทีน้อยที่ท่าทางดูคล่องแคล่วว่องไวให้ไปจับเป็ดเป็นๆ มาตัวหนึ่ง วัตถุดิบมีพร้อมสรรพแล้ว ห้องเครื่องตำหนักเหรินโซ่วจึงต้องกัดฟันทำ
บะหมี่เป็ดชามหนึ่งลงท้องไป ฮ่องเต้ลูบท้องป่องๆ ด้วยความพอใจ หมอเทวดาน้อยจริงใจไม่หลอกลวงจริงๆ ด้วย บะหมี่ตำหนักเหรินโซ่วอร่อยยิ่งนัก!
จากนั้นพระองค์ก็ยังไม่กลับ
สีหน้าจวงไทเฮาทะมึนไปทั้งหน้าแล้ว “อะไรอีก เจ้ายังโอ้เอ้จะพักค้างที่ตำหนักเหรินโซ่วอีกรึ”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “เสด็จแม่ได้หาห้องว่างไว้ให้เสี่ยวหงหรือไม่”
โอ๊ย! ฆ่านางเสียเถอะ!
จวงไทเฮาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว!
นางไล่ตะเพิดคนออกจากตำหนักเหรินโซ่วทันที!
ฮ่องเต้โซเซล้มลงตรงธรณีประตู เกือบจะหัวฟาด พระองค์ยืนให้มั่น แล้วหันกลับไปเอ่ยกับจวงไทเฮา “คือว่า…”
ปัง!
ประตูใหญ่ปิดลงต่อหน้าต่อตาพระองค์อย่างไร้เยื่อใย!