CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 390 ผยอง

  1. Home
  2. สามีข้าคือขุนนางใหญ่
  3. บทที่ 390 ผยอง
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

บทที่ 390 ผยอง

เซียวลิ่วหลังไม่สนใจอันจวิ้นอ๋องที่หน้าเขียวคล้ำ เขาหันหลังเดินเข้าสำนักฮั่นหลินไปเลย

เขาลาหยุดมาสองวันแล้ว บนโต๊ะมีงานกองพะเนินเพิ่มขึ้นมา เขาพลิกดู ไม่นับว่ามากมายอะไร น่าจะทำเสร็จได้ในช่วงเช้านี้

ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเขาต้องกลับไปสอนไท่จื่อต่อ และต้องออกโจทย์ให้ไท่จื่อ แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาเยอะแยะอะไร

สรุปก็คือสามารถเลิกงานตรงเวลาได้

เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ เขาเพิ่งจัดการงานเสร็จได้ไม่ทันไร ก็ถูกบัณฑิตหยางยัดเยียดงานใหม่มาให้อีก

เป็นคำสดุดีสำหรับฮ่องเต้พระองค์ก่อน ซึ่งจะใช้ในการบวงสรวง

นี่เป็นงานที่บัณฑิตสำนักฮั่นหลินอย่างใต้เท้าหันมอบให้บัณฑิตหยางทำ แต่บัณฑิตหยางคร้านจะทำ จึงไปหาเซียวลิ่วหลัง

จะว่าไปแล้วบัณฑิตหยางไม่ได้มารังแกเซียวลิ่วหลังสักพักแล้ว ประการแรกคือเพิ่งจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัสจึงไม่มีเรี่ยวแรง ประการที่สองเซียวลิ่วหลังเคยลับฝีปากชนะราชครูจวงอยู่ครั้งหนึ่งตรงหน้าสำนักฮั่นหลิน ประการที่สามได้ยินมาว่าเซวียนผิงโหวไปรับเซียวลิ่วหลังที่ชนบทด้วยตัวเองเลย

เมื่อรวมทั้งสามประการนี้เข้าด้วยกันแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ไปยุแหย่เซียวลิ่วหลังกันอีก ทว่าคนบางคนก็ร้ายกาจฝังเข้ากระดูก โบราณเรียกว่าพอแผลหายก็ลืมแล้วซึ่งความเจ็บปวด

และบัณฑิตหยางเป็นคนประเภทนั้นพอดี

เขาตะคอก “มัวนิ่งอยู่ไย! รีบไปสิ! เจ้าไม่เคยเขียนหรือว่าไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะ หากทำไม่เป็นก็ไปเปิดตำราดูเอาเอง! ในห้องเก็บตำรามีคำสดุดีของปีก่อนๆ อยู่เยอะแยะ!”

เซียวลิ่วหลังมองบัณฑิตหยางด้วยแววตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง

แต่แววตาที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้ กลับทำให้บัณฑิตหยางใจกระตุกวูบ

ตาฝาดรึ

เหตุใดจึงเหมือนโดนงูพิษจ้องเข้าอย่างไรอย่างนั้นเลยเล่า

เมื่อบัณฑิตหยางมองไปยังเซียวลิ่วหลังอีกหน เซียวลิ่วหลังก็กลับเป็นสงบนิ่งดังเดิมแล้ว

เซียวลิ่วหลังรู้ดีว่าบทสดุดีฉบับนี้หากไม่เขียนถึงยี่สิบสามสิบหนบัณฑิตหยางไม่มีทางพอใจแน่ อีกฝ่ายคงจะไม่แม้แต่มองเลยด้วยซ้ำ แล้วก็ให้ตนกลับมาเขียนใหม่คราแล้วคราเล่า

หากเป็นเมื่อก่อนตนคงไม่ถือสาหรอก

คนอย่างเซียวลิ่วหลังนั้น คนที่ควรตายไปในกองเพลิงตั้งนานแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาใส่ใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องพบเจอ

ทว่ายามนี้…

หากเขาเจอสิ่งไม่ดีเข้า ก็จะมีคนเป็นห่วง

เซียวลิ่วหลังหันหลังเดินกลับไปห้องทำงานตัวเอง

บัณฑิตหยางหัวเราะเสียงเย็น “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้หนูอย่างเจ้าน่ะก็แค่โชคดีเท่านั้น ไอ้เป๋จากชนบทคนหนึ่ง คิดจริงๆ รึว่าเบื้องบนจะมีชนชั้นสูงถูกใจเจ้า”

อาจเพราะแววตาก่อนหน้านี้ทำให้บัณฑิตหยางไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก เขาจึงได้กลั่นแกล้งเซียวลิ่วหลังตลอดช่วงเช้า ให้เซียวลิ่วหลังกลับไปเขียนใหม่ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ สุดท้ายเห็นว่าควรส่งได้แล้วจึงได้หยิบคำสรรเสริญฉบับแรกที่เขาเขียนขึ้นมา “ข้าว่าฉบับแรกดีที่สุด”

เซียวลิ่วหลังเดินออกไปโดยไม่เอ่ยคำใดเลย

บัณฑิตหยางหัวเราะเยาะอย่างไม่แยแส จากนั้นก็หยิบคำสดุดีที่เขียนอย่างประณีตไปที่ห้องทำงานใต้เท้าหัน

พอใต้เท้าหันเห็นลายมืองดงามเจริญตาก็เผยความพอใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มัน…ลายมือเซียวลิ่วหลังกระมัง”

ทั่วทั้งสำนักฮั่นหลินนั้นลายมือของเซียวลิ่วหลังสวยงามที่สุด แม้แต่อันจวิ้นอ๋องยังด้อยกว่า

บัณฑิตหยางยิ้มเอ่ยประจบ “ลายมือข้าไม่สวย จึงให้เขาคัดลอกให้ขอรับ”

การคัดลอกนั้นไม่นับว่าเป็นความดีความชอบ การแต่งคำสดุดีได้ซึ้งตรึงใจต่างหากที่จะเรียกว่ามีความสามารถจริงๆ

“อืม ประโยคพวกนี้แต่งได้ไม่เลวเลย” ใต้เท้าหันเอ่ยปากชมไม่หยุด

บัณฑิตหยางปรีดายิ่ง

ทว่าเขากลับปรีดาได้ไม่นานนัก รอยยิ้มของใต้เท้าหันพลันแข็งทื่ออยู่บนสีหน้า “เจ้าเป็นคนแต่งจริงๆ รึ”

บัณฑิตหยางกำลังจมอยู่ในคำชื่นชมที่คิดจินตานาการขึ้นมาเอง ไม่ได้สังเกตสีหน้าของใต้เท้าหันเลยสักนิด “ข้าน้อยแต่งเองขอรับ” ใต้เท้าหันโยนคำสดุดีลงโครมบนโต๊ะ!

บัณฑิตหยางตกใจจนนิ่งไป “ตะ…ใต้เท้าหัน”

ใต้เท้าหันตวาดอย่างเดือดดาล “บัณฑิตหยางเจ้าไม่กลัวตายหรือไร! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหยามหมิ่นพระนามของฮ่องเต้พระองค์ก่อน!”

“พะ…พระนามของฮ่องเต้พระองค์ก่อน” บัณฑิตหยางมึนงง รีบหยิบคำสดุดีนั้นมาดู

ในคำสดุดีนั้นได้เอ่ยถึงพระนามของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่จริงๆ แต่ไม่ใช่พระนามเต็ม แต่เป็นพระนามลำลอง ปรากฏอยู่ในบรรทัดที่เหน็บแนมก่อนแล้วต่อด้วยคำชื่นชม บังเอิญเป็นส่วนที่เหน็บแนมพอดี ด้วยเหตุนี้หากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว กลับสามารถพูดได้ว่ากำลังหยามหมิ่นฮ่องเต้พระองค์ก่อนอยู่

บัณฑิตหยางหน้าถอดสีทันที เขาเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ใต้เท้าหัน! ข้าไม่ได้ทำนะขอรับ! ปะ…เป็นเซียวลิ่วหลัง! เขาเป็นคนทำขอรับ!”

เขาเกือบจะเผลอบอกความจริงไปว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนแต่ง แต่คำพูดอยู่ปลายลิ้นก็กลับคำ “เขาคัดลอกผิดแน่ๆ!”

ใต้เท้าหันเอ่ยเสียงเย็น “เขาเป็นจอหงวนคนใหม่ จะทำเรื่องผิดพลาดที่น่าขันเช่นนี้รึ ยิ่งไปกว่านั้น หากประโยคนี้ไม่ใส่พระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อนลงไปก็จะอ่านไม่คล้องจองแล้ว!”

นั่นน่ะสิ ประโยคนี้เขียนได้ยอดเยี่ยมแท้ๆ รื่นไหลไร้ช่องโหว่เลยด้วย หากไม่ใช่พระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็จะไม่ใช่กลอนที่สมบูรณ์แบบแล้ว

ไม่ใช่สิ โชคดีที่เป็นพระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อน

ไม่ใช่สิ!

เซียวลิ่วหลังกำเริบเสิบสานนัก นึกไม่ถึงว่าจะใช้พระนามของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาแต่งกลอน!

ขะขะขะ…เขาต้องจงใจแน่ๆ!

ไอ้เซียวลิ่วหลัง!

บัณฑิตหยางโมโหเสียจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก็ไม่มีเวลามาสนใจว่าเรื่องที่ให้คนอื่นแต่งให้จะแตกหรือไม่ เขาประสานมือเอ่ย “ใต้เท้าหัน ขอพูดตรงๆ เลยว่าคำสดุดีฉบับนี้เซียวลิ่วหลังเป็นคนแต่งขอรับ! ขะเขาแต่งไว้เยอะมาก! อยู่บนโต๊ะข้าทั้งหมดเลย! หากท่านไม่เชื่อข้าจะไปเอามาให้ดูเดี๋ยวนี้!”

เขาเอ่ยจบก็วางคำสดุดีไว้แล้ววิ่งแจ้นไปทันที

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังก็คือคำสดุดีที่เดิมทีวางไว้เต็มโต๊ะเขากลับหายเกลี้ยงเลย!

เขาพลันตะหนกขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้น คำสดุดีที่เซียวลิ่วหลังแต่งเล่า คำสดุดีปึกหนาพวกนั้นเล่า ไปไหนแล้ว ไปไหนแล้ว ไปไหนแล้ว…”

ขณะนั้นเองผู้ติดตามของใต้เท้าหันก็เดินมาหา “บัณฑิตหยาง ใต้เท้าหันให้เจ้าไปหาเขาพร้อมกับเซียวลิ่วหลัง”

“เซียวลิ่วหลัง…เซียวลิ่วหลัง!” บัณฑิตหยางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปห้องทำงานของใต้เท้าหัน พอเข้าห้องไปก็โผไปหาเซียวลิ่วหลังทันที “เจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่! เจ้าทำใช่หรือไม่!”

เซียวลิ่วหลังจะผิดหรือไม่นั้นยังไม่ต้องพูดถึง แต่ท่าทางเหมือนหมาบ้าพร้อมกัดคนของบัณฑิตหยางนั้นเสียกิริยาของขุนนางสำนักฮั่นหลินยิ่งนัก

ใต้เท้าหันขมวดคิ้ว

สีหน้าเซียวลิ่วหลังสงบนิ่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ขาเป๋ในบรรดาสองคนนี้ แต่เขากลับยื่นนิ่งตัวตรงดุจพู่กัน ราวกับต้นสนเขียวชอุ่ม ท่าทางงามสง่า

ยิ่งทำให้บัณฑิตหยางอเนจอนาถมากขึ้นกว่าเดิม

บัณฑิตหยางเป็นขุนนางเก่าแก่ของสำนักฮั่นหลินแล้ว เมื่อเขาครบวาระก็เคยสอบกฎหมาย ซึ่งผลสอบไม่เลวทีเดียว มิฉะนั้นคงไม่ได้รั้งอยู่ที่สำนักฮั่นหลินต่อ

เขารู้แจ้งแก่ใจว่าดูหมิ่นพระนามของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีโทษใหญ่หลวงเช่นไร

เขามองไปยังใต้เท้าหันอย่างหวาดกลัว “ใต้เท้าหัน! เชื่อข้านะขอรับ! เขาเป็นคนเล่นไม่ซื่อ! เขาต่างหาก! เขาทำร้ายข้า!”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างสบายๆ “เหตุใดข้าน้อยฟังแล้วจึงไม่ค่อยจะเข้าใจประโยคนี้ของบัณฑิตหยางเลยเล่า ข้ากับบัณฑิตหยางไร้ความแค้นเคืองต่อกัน แล้วเหตุใดต้องไปทำร้ายบัณฑิตหยางด้วยเล่า”

“ก็เพราะ…” บัณฑิตหยางเกือบจะโพล่งออกไปว่าเพราะเจ้าไม่พอใจที่ข้ากลั่นแกล้งน่ะสิ เขากัดฟันกรอด “เรื่องครานี้ผิดที่ข้าเองที่ไม่ได้อธิบายเจ้าให้ชัดเจน เดิมทีข้าคิดว่าคำสดุดีฉบับแรกที่เจ้าแต่งมานั้นไม่รู้ว่าจะถูกใจใต้เท้าหันหรือไม่ หากไม่ถูกใจ เช่นนั้นคำตำหนิครานี้ข้าจะรับไว้แทนเจ้าเอง หากใต้เท้าหันชอบ ข้าก็จะบอกเขาว่าเจ้าเป็นคนแต่ง”

นับว่าเป็นการอธิบายให้ใต้เท้าหันฟังว่าตอนแรกทำไมเขาถึงบอกว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนคัดลอก

น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่ประเด็น

ใต้เท้าหันสนใจแต่ว่าคำสดุดีฉบับนี้ใครเป็นคนแต่งกันแน่!

เซียวลิ่วหลังอธิบายต้นสายปลายเหตุไปแล้ว เขาตอบ “ข้าไม่ทราบพระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อน”

ใต้เท้าหันพลันกระจ่างทันที

นั่นน่ะสิ พระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ใช่ชื่อรัชศกอะไรเสียหน่อย คนทั่วไปจะรู้กันได้อย่างไร ที่บัณฑิตหยางรู้ก็เพราะว่าตอนหมดวาระเขาได้สอบประวัติศาสตร์ของแคว้นเจา ในนั้นรวมถึงพระราชพงศาวดารด้วย

ทว่าเซียวลิ่วหลังเพิ่งจะเข้าสำนักฮั่นหลินมาไม่กี่เดือนเอง ยังเรียนไม่ถึงตรงนี้เลย

เขาเป็นจอหงวนยากจนที่มาจากชนบท ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ไม่มีทางที่จะทราบพระนามเล่นของฮ่องเต้องค์ก่อนโดยไม่ต้องศึกษาประวัติของราชวงศ์แน่

ดังนั้นแล้ว ความสงสัยที่มีต่อเซียวลิ่วหลังจึงมลายหายไปสิ้น

แต่ใต้เท้าหันไม่ได้คิดว่าบัณฑิตหยางจะตั้งใจดูหมิ่นฮ่องเต้พระองค์ก่อนเช่นกัน เป็นไปได้มากว่าตัวเขาเองจะลืมเลือนไป ไม่ทันระวังไปใช้พระนามเล่นของฮ่องเต้พระองค์ก่อนเข้า

“เรื่องนี้…” ใต้เท้าหันมองไปยังเซียวลิ่วหลัง

เซียวลิ่วหลังประสานมือ “ขอใต้เท้าจัดการอย่างเป็นธรรมด้วย”

ใต้เท้าหันหลับตาลง เฮ้อ ไม่ใช่คนที่พูดจาด้วยได้ง่ายๆ เลย

พูดตรงๆ ว่าบัณฑิตหยางทำผิดครั้งแรก ขอแค่พวกเขาสามคนไม่พูด ใต้เท้าหันก็จะลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นบทเรียนแล้วเรื่องนี้ก็แล้วกันไป ทว่าเจตนาของเซียวลิ่วหลังเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ยินดีจะช่วยบัณฑิตหยางปิดบังเรื่องนี้

หากเรื่องนี้แพร่ออกไป แม้แต่เขาเองก็คงโดนครหาไปด้วยว่าจัดการเรื่องราวไม่เป็นธรรมและไม่เคร่งครัด

ใต้เท้าหันถอนหายใจ “ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนไป”

คงจะรักษาตำแหน่งของบัณฑิตหยางไว้ไม่ได้แล้ว

ใต้เท้าหันเขียนฎีกาส่งไปให้เน่ยเก๋อ ขุนนางระดับนี้โดยปกติแล้วจะมีเน่ยเก๋อเป็นคนปลดและแต่งตั้ง

ตกบ่าย บัณฑิตหยางก็โดนลดขั้นไปสองขั้น กลายเป็นเปียนซิวขั้นเจ็ดของสำนักฮั่นหลิน

ส่วนตำแหน่งของเซียวลิ่วหลังคือซิวจ้วนขั้นหก

หลังเลิกงานแล้ว เซียวลิ่วหลังกำลังคุยกับหนิงจื้อหย่วนเรื่องที่จะไปเป็นแขกบ้านเขาในวันหยุดหน้า หยางโจวก็เดินดุ่มๆ เข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว

หนิงจื้อหย่วนเห็นความผิดปกติจึงดึงตัวเขาไว้ “จะทำอะไรน่ะ”

แม้ว่าหนิงจื้อหย่วนจะเป็นขุนนางด้านอักษร แต่ก็ไม่ได้หน่อมแน้ม ซ้ำยังลำบากมาตั้งแต่เด็กจนโต เทียบกับขุนนางในเมืองหลวงพวกนี้แล้ว เขามีเรี่ยวแรงมากกว่าไม่น้อย หยางโจวจึงะผลักเขาไม่ออก!

“ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาเข้ามาเถอะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“เจ้าแน่ใจรึ” หนิงจื้อหย่วนหันมามอง เห็นเซียวลิ่วหลังท่าทางเหมือนไม่ได้ฝืนใจ จึงปล่อยมือที่จับหยางโจวไว้

หยางโจวมาหยุดตรงหน้าเซียวลิ่วหลัง เดิมทีเขาคิดไว้แล้วว่าจะชกหน้าเซียวลิ่วหลังสักเปรี้ยง แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับเซียวลิ่วหลังจริงๆ แล้วจึงได้ระแวดระวังขึ้นมา ไอ้หนุ่มนี่มันสูงกว่าเขามากโขเลยนี่!

แววตาเซียวลิ่วหลังเย็นชามาก ทำให้เขานึกถึงความรู้สึกที่โดนงูพิษจดจ้องขึ้นมาอีกครั้ง

เขากำหมัดแน่น ข่มความหวาดกลัวไว้ในใจ แล้วมองเซียวลิ่วหลังอย่างเดือดดาล “เจ้ามันต่ำทรามนัก!”

เซียวลิ่วหลังหยักยกมุมปากนิ่งๆ “ชมเกินไปแล้ว”

“เจ้า!”

ไร้ยางอาย!

กว่าหยางโจวจะปีนขึ้นมาตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาทนอยู่ที่สำนักฮั่นหลินมาหลายปีมากแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีฐานะและมีคนหนุนหลังเหมือนอย่างอันจวิ้นอ๋องและตู้รั่วหัน ตอนแรกเขาเป็นเพียงบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการธรรมดาๆ ไร้ตัวตนเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่เขาทำก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ!

ก่อนที่เขาจะมาประจำที่สำนักฮั่นหลินก็เพราะโดนคนกลั่นแกล้งมาเหมือนกัน!

เหตุใดสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกับเขาได้ เขาจึงทำกับเซียวลิ่วหลังไม่ได้!

หยางโจวโมโหจนพูดติดๆ ขัดๆ “จะ…เจ้าทำเช่นนี้ไปเพื่อการใดกันแน่…”

เซียวลิ่วหลังแววตานิ่งเรียบ “เห็นเจ้าแล้วขวางหูขวางตา”

หยางโจวแทบกระอักเลือดออกมา เขายกกำปั้นขึ้น

“ฮะ” หนิงจื้อหย่วนร้องเสียงดัง

เซียวลิ่วหลังไม่ได้หันไปมองแม้แต่น้อย เขามองหยางโจวด้วยแววตานิ่งเรียบยิ่ง “เจ้า เปียนซิวขั้นเจ็ด ไม่มีสิทธิ์มาทำกับข้าเช่นนี้”

หยางโจวที่โมโหอยู่พลันอ่อนลง

เซียวลิ่วหลังรวบแขนเสื้อกว้าง ฝ่ามือจับดอกไม้ที่เขาเด็ดไว้ให้นาง เขาไม่อยากทำพัง “ครั้งต่อไปอย่าลืมคำนับก่อนด้วยล่ะ”

เขาเอ่ยจบก็เดินชนไหล่หยางโจวออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

อันจวิ้นอ๋องที่อยู่ไม่ไกลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้

เขาพอจะได้ยินเรื่องของบัณฑิตหยางมาบ้างแล้ว เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ท่าทางของเซียวลิ่วหลังเมื่อครู่นี้มันอวดดีเกินไปหรือไม่

ไม่ใช่อวดดีแบบใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบนั้น แต่เป็นความเหยียดหยามดูถูกและเย็นชาจากที่สูง ราวกับเผยความสูงส่งออกมาจากเนื้อในของเขา

นี่ยังเป็นเซียวลิ่วหลังที่ทนการกลั่นแกล้งโดยไม่ขัดขืนคนนั้นอยู่หรือไม่

เหตุใดจึงเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้วเล่า

หรือว่า…จะเป็นเพราะมีท่านย่ากับเซวียนผิงโหวคอยหนุนหลังให้เขากัน

เมื่อเซียวลิ่วหลังเดินออกจากสำนักฮั่นหลิน ทางสำนักศึกษาฮั่นหลินก็เลิกเรียนแล้ว พวกบัณฑิตที่ทดลองปฏิบัติราชการพากันกรูไปหาเซียวลิ่วหลังให้เขาช่วยสอน

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “วันนี้ข้ามีธุระ พวกเจ้าค่อยมาหาข้าตอนเที่ยงพรุ่งนี้”

“เอ่อ แม้จะรู้ว่าไม่เหมาะ แต่ก็อยากจะถามอยู่ดีว่าเป็นธุระด่วนหรือไม่”

“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้าน้อยๆ พลางมองร่างเล็กที่ยืนอยู่หน้าตรอก สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป เขาหันกลับมามองพวกเขาพลางเอ่ย “ด่วนมาก ดังนั้นขอโทษด้วย พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยมาใหม่นะ”

ทุกคนพากันขานรับ

“ข้าตาฝาดไปกระมัง เมื่อครู่ใต้เท้าเซียวยิ้มใช่หรือไม่”

“ข้าก็เหมือนจะเห็นเหมือนกันนะ”

“ที่แท้ใต้เท้าเซียวก็เป็นคนอ่อนโยนหรือนี่”

แม้ว่าเซียวลิ่วหลังจะไม่ได้มีใบหน้าน้ำแข็งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็เย็นชาและเหินห่างกับคนอื่นมาก หากมิใช่เพราะเฝิงหลินกับหลินเฉิงเยี่ยเป็นคนพาไปขอคำชี้แนะจากเขาละก็ เกรงว่าพวกเขาก็คงไม่กล้าหน้าด้านไปหาเขาหรอก

พวกเขาต่างพากันสงสัยในใจจึงอดมองตามเซียวลิ่วหลังไม่ได้

พวกเขาเห็นเซียวลิ่วหลังเดินไปหยุดอยู่หน้าตรอกแรก และเริ่มพูดคุยกับแม่นางคนหนึ่ง

หน้าตาเขาอ่อนโยนขึ้นอย่างหาได้ยาก เค้าโครงใบหน้าด้านข้างต่างอบอุ่นขึ้น

“ให้เจ้า” เขายื่นดอกไห่ถังสี่ฤดูที่เด็ดมาหมาดๆ ให้แก่นาง

กู้เจียวรับดอกไห่ถังมาดมดู แล้วก็ถือไว้ไม่ยอมปล่อย “หอมเสียจริง วันนี้ราบรื่นหรือไม่”

เซียวลิ่วหลังมองนางนิ่ง “อืม ราบรื่น ข้าใกล้จะได้เลื่อนขั้นแล้ว”

แม้ว่าจะยังไม่ได้เลื่อน แต่ตำแหน่งบัณฑิตหยางว่างแล้ว

คนที่มีสิทธิ์ไปแทนที่มีมากมาย

แต่หากเจ้าชอบ ข้าก็ไปแย่งมาให้ได้

“จริงรึ” ดวงตากู้เจียวเป็นประกาย

ในแววตานางเต็มไปด้วยความปรีดา เซียวลิ่วหลังดวงใจละลายอย่างช้าๆ และห้ามไม่อยู่ “อืม จริงสิ”

กู้เจียวแหงนหน้ามองเขา แววตานางเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาที่ไม่เคยสั่นคลอน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าสามีข้าเก่งกาจ!”

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "บทที่ 390 ผยอง"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์