สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 393 ใจเต้น (1)
บทที่ 393 ใจเต้น (1)
กู้เจียวเองก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากว่าทำไมเซียวลิ่วหลังถึงขยับเข้ามาใกล้
ด้วยความที่กู้เจียวไม่ใช่คนคิดอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว อีกทั้งสำหรับกู้เจียวแล้ว เซียวลิ่วหลังไม่ใช่พวกมือปลาหมึก
ฤดูร้อนปีนี้ค่อนข้างยาวนาน ขนาดเข้าเดือนเจ็ดแล้วอากาศยังคงร้อนอยู่ ขนาดว่าทั้งคู่สามารถรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่แผ่ซ่านออกมาผ่านทางผ้าเนื้อบางที่พวกเขาสวมใส่
ด้วยความที่ต้องอุ้มเจ้าตัวเล็กไปด้วย เซียวลิ่วหลังพยายามควบคุมตัวเองและไม่ทำอะไรผิดสังเกต
ทันใดนั้น ดูเหมือนล้อรถกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง ทำให้ร่างของทั้งคู่โยกไปมา
เซียวหลิวหลังยื่นมือออกมาโอบไหล่กู้เจียว “เจ้าเป็นอะไรไหม”
หลิวเฉวียนรีบตะโกนถามพวกเขา “โอ้ พวกเจ้าเป็นอะไรไหม ดูเหมือนเมื่อครู่ รถจะชนก้อนหิน เป็นความผิดของข้าเอง ข้ามองทางไม่ดีเอง”
“พวกข้าไม่เป็นอะไร” กู้เจียวตอบ
หลิวเฉวียนวางใจไปหนึ่งเปราะ
เซียวลิ่วหลังจ้องเขม็งไปที่กู้เจียวด้วยแววตาสุขุมนิ่งลึกราวกับบ่อน้ำใต้แสงจันทร์
กู้เจียวถูกต้องมนตร์ราวกับตัวเองกำลังตกลงไปในบ่ออน้ำนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เซียวลิ่วหลังกระแอมหนึ่งที ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและแววตาให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางม่านรถ “ไม่เป็นไรก็ดี”
เขานิ่งไปพักนึง ก่อนจะถามต่อ “เจ้าง่วงแล้วหรือยัง”
“หืม” กู้เจียกระพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่เข้าใจ พลางตอบในใจ ก็ไม่ง่วงนะ! ยังตื่นอยู่เลยนี่เห็นไหม!
“ก็วันนี้ตื่นแต่เช้า ข้าเลยคิดว่าเจ้าน่าจะง่วงแล้ว เลยว่าจะ…” จู่ๆ เซียวลิ่วหลังหยุดพูดกลางคัน ก่อนจะเผลอมองไปทางหัวไหล่ของพวกเขาที่สีกันอย่างไม่ตั้งใจ
กู้เจียวมองตามสายตาเขาไป
เมื่อกี้เขาพูดว่าจะอะไรนะ
จะให้ยืมไหล่มาซบอย่างนั้นสินะ
“โอ๊ย จู่ๆ ก็เกิดง่วงขึ้นมา!” กู้เจียวเอ่ยพลางค่อยๆ เอนหัวลงบนไหล่อีกฝ่าย หลับตาลง “ง่วงมากเลย!”
มุมปากเซียวลิ่วลังกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ และปล่อยให้มืออีกข้างที่โอบร่างของนางอยู่ไว้อย่างนั้น
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าตรอก เซียวลิ่วหลังผู้ซึ่งเป็นหมอนให้คนร่างใหญ่และร่างเล็กก็หันไปเขย่าร่างของจิ้งคงเพื่อปลุกให้เขาตื่น เพื่อที่จะได้ให้จิ้งคงเดินลงจากรถเอง ส่วนเขาจะเป็นคนอุ้มกู้เจียวลงจากรถเอง
แต่ไม่ว่าจะเขย่าอย่างไร ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะไม่ยอมตื่นง่ายๆ
กลับกัน คนที่ตื่นก่อนดันเป็นกู้เจียวเสียอย่างนั้น
กู้เจียวเอามือขยี้ตา “ถึงแล้วรึ”
“อือ ถึงแล้ว” เซียวลิ่วหลังจึงทำได้แค่ตอบไปตามนั้น
กู้เจียวอุ้มร่างของเจ้าตัวเล็กลงจากรถ
กู้เจียวมองดูแผ่นหลังของนางด้วยแววตานิ่งลึก
เขาอยากบอกกับนางว่า เขาอุ้มไหว แต่ดูเหมือนนางจะไม่อยากให้เขาลำบาก
เซียวลิ่วหลังมองดูขาตัวเองตัวความโมโห พลางนึก ทำไมขาของเขาต้องมาเป็นแบบนี้ด้วยนะ
จนกระทั่งพวกเขาสองคนเข้าไปในเรือน พวกเขาจึงรู้ว่ามีแขกอยู่ในนั้น อีกทั้งเป็นแขกที่พวกเขาเองก็คาดไม่ถึง นั่นก็คือ กู้จิ่นอวี้และสองแม่ลูก
สองแม่ลูกที่ว่าก็คือแม่นางเฮ่อกับเหยาซิน
ส่วนเซียวลิ่วหลังยังไม่เคยเจอพวกเขามาก่อน พวกเขานั่งลงใกล้ๆ กับกู้จิ่นอวี้และแม่นางเหยา ราวกับว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องบางอย่างที่ยากจะพูดออกมา
สายตาของแม่นางเหยาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน นับตั้งแต่ที่นางพาเจียวเจียว กู้เหยี่ยนและจิ้งคงกลับไปที่เรือนของนางเมื่อต้นปี นางแทบจะตัดขาดการติดต่อกับพวกเขา
นางเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเขาจะตามมาหาถึงที่เรือน
และก็ไม่รู้ด้วยว่าเจียวเจียวกับลูกเขยจะโกรธหรือไม่
“ท่านพี่ ท่านพี่เขย ข้าต้องขออภัยด้วย…ข้าเป็นคนพาพวกเขามาที่นี่เอง” กู้จิ่นอวี้ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“เอ่อ…นั่น นั่นลูกเขยของเจ้ารึ” แม่นางเฮ่อเอ่ยด้วยความตะลึง
พลางนึก ไม่เห็นจะมีใครมาบอกเลยว่าหล่อขนาดนี้!
ก็ไหนเคยได้ยินมาว่าเป็นเด็กบ้านนอกขาพิการไม่ใช่รึ
ตอนที่เซียวลิ่วหลังเดินเข้ามา แม่นางเฮ่อก็เห็นแล้วว่าเขาพิการ แต่ใบหน้าของเขาหล่อเหลาจนทำให้แม่นางเฮ่อเกิดความสับสน
ขนาดแม่นางเหยาซินที่อยู่ข้างๆ ยังหน้าแดงผ่าวเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นชายหนุ่มที่ดูดีราวกับเทวดา แม้เขาจะดูละอ่อนนักแต่ก็ให้กลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่อยู่พอตัว
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยเรียกแม่นางเหยาว่าท่านป้า และไม่ได้เอ่ยเรียกเหยาซินว่าลูกพี่ลูกน้องเช่นกัน
ยิ่งเซียวลิ่วหลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นี่แตกต่างจากสถานการณ์ที่ตอนแรกกู้เจียวยังไม่ยอมเรียกแม่นางเหยาว่าแม่ แม้กู้เจียวจะยอมรับแม่นางเหยาได้แล้วก็จริง แต่ชื่อนั้นดูแปลกไปหน่อยสำหรับนาง
สายตาของกู้เจียวที่กำลังมองแม่นางเฮ่อและเหยาซินเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายแม่นางเหยา “เหนียง ข้ากลับมาแล้ว”
คำว่าเหนียงเมื่อครู่จากเซียวลิ่วหลังทำให้แม่นางเหยาตั้งสติได้ ก่อนจะยิ้มอออกมาแล้วตอบกลับไป “กลับมาก็ดีแล้ว ร้อนแย่เลย รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ”
“ดีเลย” เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวเดินเข้าไปในห้อง กู้เจียววางร่างของเจ้าตัวเล็กลงบนเตียง ก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเออง
แม่นางเฮ่อเอ่ยทัก “ลูกเขยของเจ้าหน้าตาดีนัก แต่น่าเสียดาย เป็นคนพิการ เจียวเจียวเป็นถึงบุตรสาวของติ้งอันโหว ทำไมเจ้าถึงให้นางแต่งกับคนพิการล่ะ”
แม่นางเหยาไม่ได้ชอบขี้หน้าแม่ลูกคู่นี้เป็นเดิมทุน พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ก็ถึงกับเบือนหน้าลง
กู้จิ่นอวี้เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบพูดแทรก “ท่านป้าก็ แต่พี่เขยเขาเป็นคนเก่งมากเลยนะ เป็นถึงจ้วงหยวนเชียวล่ะ”
แม่นางเฮ่อถึงกับเบ้ปาก “ขนาดคนพิการสามารถสอบได้อย่างนั้นรึ เดี๋ยวนี้การสอบมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าเช่นนั้นเจ้าเฟิงเกอร์ก็สอบเป็นจ้วงหยวนได้ด้วยสิ!”
เหยาเฟิงอี้ เป็นบุตรของแม่นางเฮ่อและเหยาหย่วน อายุมากกว่ากู้เจียวและกู้เหยี่ยนสองปี
แม่นางเหยาเลิกคาดหวังคำพูดคำจาดีๆ จากพี่สะใภ้คนนี้มานานแล้ว แม่นางเฮ่อนั้นเป็นคนโง่เขลาและไม่ฟังใคร หากไม่ใช่เพราะกู้จิ่นอวี้พาพวกเขามาแล้วละก็ รับรองแม่นางเหยาไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามาเหยียบในเรือนอย่างเด็ดขาด
แม่นางเฮ่อยังคงพูดจาอย่างเมินเฉย “แต่ลูกเขยของเจ้าไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยรึ เห็นญาติๆ มาเยี่ยมนั่งหัวโด่อยู่ในเรือนไม่คิดจะเข้ามาต้อนรับขับสู้บ้างเลยหรือไร! เขาคิดว่าเขาดีมากหลังจากได้เป็นจ้วงหยวนและดูถูกเจียวเจียวอย่างนั้นรึ แต่ก็นะ เพราะคนอย่างเจียวเจียวยังคงต้องหาทางปกปิดใบหน้านั้น ไม่เป็นไร ถึงนางจะดูอัปลักษณ์ไปหน่อย เอามาจับแต่งตัวให้ดีๆ เดี๋ยวก็…”
“พี่สะใภ้!” แม่นางเหยาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง ระงับความโกรธของตัวเองไว้ และพูดเบาๆ ว่า “ชาก็ดื่มไปแล้ว พูดก็พูดจบไปแล้ว โปรดกลับไปเถิดถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้พวกเรายุ่งมาก!”
“นี่น้องสะใภ้หมายความว่ายังไง จะไล่ข้าออกทั้งๆ ที่ข้าเพิ่งมาเนี่ยนะ! ที่ข้าเพิ่งพูดไป ก็ความจริงทั้งนั้นไม่ใช่หรือ” แม่นางเฮ่อบ่นพลางมองไปที่กู้จินอวี้ “จินอวี้ เจ้าเห็นใช่หรือไม่ว่าพี่เขยของเจ้าไม่ได้ทักทายพวกเราเลยสักนิด”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยเสียงค่อย “พี่เขยไม่ได้ตั้งใจหรอก ก็เขาไม่รู้จักพวกท่านเลยนี่นา”
แม่นางเฮ่อไม่พอใจ “แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักเจ้ามิใช่รึ แต่ดูสิ เขาแทบไม่มองเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
และแล้วกู้จิ่นอวี้ก็เงียบไป
พอเห็นว่าบรรยากาศเริ่มออึมครึม แม่นางเฮ่อก็รีบหัวเราะแห้ง “เอาละ เอาละ เป็นความผิดของข้าเอง ข้าปากไม่ดีเอง เจ้าอย่าเก็บไปคิดมากเลยนะ!”
ที่วันนี้แม่นางเฮ่อมาที่นี่นั้นมีอยู่สองเหตุผล เหตุผลแรกคือเรื่องที่จะให้เหยาเฟิงอี้เรียนหนังสือ นางอยากจะใช้เส้นสายเพื่อให้เข้าไปเรียนในกั๋วจื่อเจียน ส่วนอีกเหตุผลก็คือเรื่องของเหยาซิน
“เหยาเอ่อร์ เจ้าก็ตอบตกลงข้ามาเถอะน่า” แม่นางเฮ่อคะยั้นคะยออย่างไร้ยางอาย
แม่นางเหยาเริ่มเสียงแข็ง “จะให้ข้าตกลงอะไร กั๋วจื่อเจียนใช่สถานที่ที่บอกว่าอยากอยู่ก็เข้าไปอยู่ได้เลยหรือไง”
แม่นางเฮ่อยังคงไม่ยอมแพ้ “เจ้า…แต่เจ้าเป็นถึงฮูหยินของจวนโหวเลยมิใช่หรือ แถมข้าได้ยินมาว่าท่านเหล่าโหวกลับมาแล้ว เจ้าไปช่วยพูดให้ข้าที!”
“นี่พี่สะใภ้ให้ข้าไปรบกวนพ่อตาของข้าเชียวรึ!” แม่นางเหยาโต้กลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองว่าเพิ่งได้ยินอะไรมา
ในขณะนั้นเอง ดวงตาของแม่นางเฮ่อเริ่มเป็นประกาย “อูฐตัวผอมร่างใหญ่กว่าม้า ต่อให้ร่างของมันเป็นศพก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าม้า แม้ว่าพ่อตาของเจ้าจะถูกปลดจากกองทัพ แต่เขาก็ยังต้องมีสายสัมพันธ์บางอย่างในเมืองหลวงมิใช่หรือ ไม่อย่างนั้นตระกูลจะอยู่มาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร”
จะว่าไปแล้วที่พูดมาก็เป็นจริง ต่อให้ติ้งอันโหวไร้ซึ่งอำนาจแล้วแต่พวกเขาก็ยังมีเงินอยู่ดี
“เฟิงเกอร์เป็นหลานชายของเจ้านะ! ถ้าเจ้าไม่ช่วยเขาแล้วใครล่ะจะช่วย ลูกเขยพิการของเจ้าเองก็ถูกยัดเข้าไปในกั๋วจื่อเจียนโดยเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วกับเฟิงเกอร์ทำไมเจ้าจะทำให้ไม่ได้ล่ะ!”