สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 396 ฮ่องเต้กริ้ว
บทที่ 396 ฮ่องเต้กริ้ว
แม้ความเป็นไปได้จะไม่มานัก แต่ฮ่องเต้ก็ทรงตัดสินใจไปที่ตรอกปี้สุ่ย ไม่เพียงเพื่อต้องการถามไถ่เรื่องไทเฮา แต่ยังเพื่อไปเตือนพวกเขาให้ระมัดระวังตัวไว้
หากคู่ปรับของจิ้งไท่เฟยคือไทเฮา เช่นนั้นกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังจะต้องตกเป็นเหยื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่เซียวลิ่วหลังกลับมาจากสำนักฮั่นหลิน ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น
กู้เจียวกำลังตากสมุนไพรที่สวนหน้าบ้าน ในขณะที่เด็กๆ อีกสามคนกำลังเล่นอยู่ที่สวนหลังเรือน ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
เขาละสายตาออกจากพวกเขา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฮ่องเต้ “ท่านย่าไม่ได้มาที่นี่… พวกเราจะระวังตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ขออย่ามีเรื่องอีกเลย”
“ฝ่าบาททรงจะทำอย่างไรต่อพ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามด้วยสีหน้าแน่วแน่
“ข้าจะตามหาเสด็จแม่จนเจอ”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ไทเฮาหายตัวไป ครั้งแรกคือตอนที่ส่งนางไปยังเขาหม่าเฟิง
ครั้งนี้ เขาจะต้องพานางกลับมาให้ได้
รู้ตัวอีกที ก็เข้าสู่ช่วงค่ำแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นรึ” กู้เจียวเดินมาทางนี้
เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เซียวลิ่วหลังไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว “ท่านย่ากับจิ้งไท่เฟยหายตัวไป ฝ่าบาททรงสงสัยว่าจิ้งไท่เฟยลักพาตัวท่านย่าไป”
“เมื่อกี้เจ้าบอว่า…ใครโดนลักพาตัวไปนะ”
เสียงของจี้จิ่วอาวุโสดังขึ้นจากข้างหลัง
ทั้งคู่หันหน้ามามองเขา ก็เจอกับจี้จิ่วอาวุโสที่กำลังถือชามข้าวเหนียวโรยด้วยงาขาวทอดใหม่ๆ
มือของจี้จิ่วอาวุโสเริ่มสั่นจนน้ำเชื่อมของข้าวเหนียวเริ่มไหลหยดออกมา
“เดี๋ยวข้าช่วยถือเอง” กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วย
“เอ่อ” เสียงของเขาเริ่มสั่นเช่นเดียวกับมือและแขนของเขา “เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าใครถูกพาตัวไป”
“ท่านย่าน่ะ” กู้เจียวตอบตามตรง
จี้จิ่วอาวุโสเริ่มมีอาการตัวสั่น
กู้เจียวเข้าไปพยุงร่างของเขา ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยถือชามข้าวเหนียวไว้
ชามนั้นร้อนมาก เซียวลิ่วหลังจึงรีบเอาชามมาวางบนโต๊ะหินข้างๆ เขาพูดกับจี้จิ่วอาวุโสว่า “จิ้งไท่เฟยคงยังจะไม่ลงมือในตอนนี้ ถ้านางต้องการกำจัดไทเฮาจริงๆ ป่านนี้คงทำไปตั้งนานแล้ว นางน่าจะมีจุดประสงค์อื่นที่ลักพาตัวท่านย่าออกมา”
กู้เจียวหันไปเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “ข้าจะไปตามหาท่านย่า เจ้ากับจี้จิ่วอาวุโสรอข่าวอยู่ที่เรือนเถิด”
เซียวลิ่วหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้า
“ข้า ข้าก็จะออกตามหาเช่นกัน” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยเสียงสั่น
เซียวลิ่วหลังไม่คัดค้าน เมื่อเห็นย่างก้าวที่ไม่มั่นคงของเขา ตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย “เดี๋ยวข้าไปกับท่านอาจารย์เอง”
“ดี…ดีเลย” จี้จิ่วอาวุโสรีบพยักหน้าตอบรับ
ทั้งสามคนจึงเดินทางออกจากตรอกปี้สุ่ย
เมืองหลวงถูกปิดกั้น และประตูเมืองใหญ่ทั้งสี่แห่งได้รับอนุญาตให้เข้าได้เท่านั้น ห้ามออก
บนเส้นทางที่คดเคี้ยว รถม้าสองตู้เคลื่อนไปข้างหน้าทีละคัน โดยมีทหารยามสี่คนคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้าและด้านหลังของรถม้า
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง และแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกดินก็จางหายไป แผ่นฟ้าเริ่มเป็นสีเทาและสีน้ำเงิน
ณ รถม้าคันหนึ่งที่ดูเคลี่ยนตัวไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ส่วนคนในรถม้าก็ดูสงบ
“หงเอ๋อร์คงนึกไม่ถึงสินะว่าพวกเราออกจากเมืองมานานแล้ว”
หากฮ่องเต้อยู่ที่นี่ เขาจะได้ยินอย่างแน่นอนว่าเจ้าของเสียงนี้คือจิ้งไท่เฟยที่เขาตามหาอย่างหนัก
จิ้งไท่เฟยเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านพร้อมกับมวยผมขึ้น
แม้คนรุ่นนี้จะไม่ได้รักสวยรักงามอะไรเท่าไหร่นัก แต่ด้วยความที่เป็นสตรีที่มาจากในวัง ทำให้นางดูแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป
จวงไทเฮาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เช่นกัน นางสวมชุดที่ทำจากผ้ากระสอบเนื้อหยาบ แทบไม่เหลือความเป็นพระพันปีหลวงผู้ยิ่งใหญ่
หากแต่ลองมองอย่างใกล้ชิด ความสง่างามระหว่างคิ้วและดวงตาของจวงไทเฮาเรียกได้ว่าจิ้งไท่เฟยนั้นเทียบไม่ติดฝุ่น
จวงไทเฮาหลับตาและทำสมาธิ ไม่ตอบสนองต่อจิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยหัวเราะ “อย่าแสร้งทำเป็นหลับ ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่หลับ เจ้าจะหลับได้อย่างไร”
“ก็เจ้าเสียงดัง” จวงไทเฮาตอบ
จิ้งไท่เฟยมองยิ้มเยาะเย้ยอีกครั้ง “จ้วงจิ่นเซ่อ เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ”
จวงไทเฮายังคงหลับตา ยืนกรานชัดว่าจะไม่ให้ความสนใจกับสตรีผู้ส่งเสียงดังคนนี้
จิ้งไท่เฟยไม่แสดงท่าทีขุ่นเคือง แต่กลับมองลงและหยิบเศษผมสีเงินที่ติดอยู่ที่ชายเสื้อผ้าของนางขึ้นมา และพูดด้วยรอยยิ้ม “เราทุกคนแก่ในพริบตา และวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ยังจำครั้งแรกที่ข้ากับเจ้าพบกันได้ไหม ในสวนหลวง เจ้าสวมชุดพระชายาเต็มยศ ข้าไม่อาจเป็นเช่นเจ้าได้ ข้าเป็นเพียงนางสนมชั้นหก ข้าไม่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นข้าจึงได้แต่คำนับเจ้า อยู่ห่างๆ ภายใต้การแนะนำของข้าราชบริพาร เจ้าไม่แม้แต่จะมองมาทางข้า ในตอนนั้น อย่างมากข้าก็ได้แค่กำไลหยกเป็นของกำนัล ซึ่งก็คือกำไลเส้นนี้”
ขณะที่พูด จิ้งไท่เฟยเหยียดข้อมือซ้ายออกและดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นสร้อยข้อมือหยกคุณภาพสูง
“เจ้าเป็นถึงบุตรสาวทายาทตระกูลจวงผู้สูงศักดิ์ และเป็นพระชายาแห่งแคว้นเจา ใช้แต่ของที่ดีที่สุด กำไลนี้สำหรับเจ้ามันคงเป็นแค่เศษเงิน รู้ไหมว่าตอนนั้นข้าคิดอะไรอยู่ ข้าคิดว่าจะมีคนที่โชคดีแบบนี้ในโลกได้อย่างไร ด้วยภูมิหลังตระกูลที่โดดเด่น ฐานะที่น่านับถือ ใบหน้างดงาม ไร้เทียมทาน ประกอบกับเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้… แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่กล้าที่จะรู้สึกอิจฉาเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
“ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าคนต่ำต้อยอย่างข้าเกิดต้องตาเจ้าขึ้นมา”
“คนเรามันก็ต้องเคยมีช่วงที่หน้ามืดตามัวบ้างเป็นธรรมดา” จวงไทเฮาเอ่ยเรียบๆ
จิ้งไท่เฟยหัวเราะเบาๆ “เจ้านี่เป็นคนตลกจริงๆ อันที่จริงข้ารู้สึกขอบคุณเจ้า และมองเจ้าเป็นพี่สาวที่ดีกับข้าไปตลอดชีวิต แต่ใครกันที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนไปเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ สุดท้ายเจ้าก็แค่เอาข้ามาเป็นบันไดเพื่อไต่ขึ้นไปก็เท่านั้น!”
ในที่สุด จวงไทเฮาก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “จิ้งเฟย สรุปเจ้าตาบอดหรือข้าตาบอดกันแน่”
ใช้ใครเป็นบันไดเพื่อไต่ขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
คนอย่างนางเนี่ยนะจะมาเป็นบันได สำคัญตัวเองผิดชัดๆ
จิ้งไท่เฟยเย้ยหยัน “เจ้ารู้ว่าคนที่ฝ่าบาทต้องการก็คือเจ้า แต่เจ้ามักจะผลักให้ข้าต้องไปรับใช้ฝ่าบาทในห้องบรรทม ให้ข้าทำหน้าที่แทนมากน้อยถึงเพียงใด แต่ข้าก็เข้าใจว่าเจ้ากำลังเล่นตัว ที่ฝ่าบาทยอมไปหาที่ตำหนักของข้าเพียงเพราะทรงต้องการทราบข่าวเกี่ยวกับเจ้าจากข้า ช่างคิดจริงๆ และฉันก็อยู่ไกลเกินเอื้อมในการหลอกลวงผู้คนแบบนี้”
จวงไทเฮาขี้เกียจจะเสวนากับคนแบบนี้ อยากจะพูดอยากจะคิดอะไรก็ตามใจ
จิ้งไท่เฟยไม่สนใจว่าจวงจิ่นเซ่อจะตอบนางหรือไม่ และยังคงทำท่าหัวเราะเยาะเย้ย “ที่นี่มีนางสนมนับไม่ถ้วนในวังหลัง ฝ่าบาทจะทรงไปหาใครก็ได้ แต่กลับไม่เลือกไปหาเจ้า แต่ใครๆ ก็รู้ว่าพระองค์ทรงผูกพระทัยไว้กับตำหนักคุนหนิงแล้ว”
“เฮอะ” จวงไทเฮาแสยะยิ้ม
“ทำไม ข้าพูดผิดตรงไหน” จิ้งไท่เฟยทำหน้าสงสัย
“จิ้งเฟย เจ้านี่มันช่างน่าสมเพชเสียจริง” จวงไทเฮาแสดงอาการเวทนาใส่จิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยเริ่มหน้าเสีย แต่สุดท้ายก็รวบรวมสติแล้วกลับมาวางมาดเหมือนเดิม “พอได้ยินจวงไทเฮาเอ่ยเรียกข้าเช่นนี้ ทำให้ข้านึกถึงวันในอดีตเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ”
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างเฉยเมย “อย่าเอ่ยถึงวันเก่าๆ หากเจ้าต้องการระลึกถึงวันเก่าๆ เจ้าไปหาแม่นมไช่เถอะ ข้าอยากอยู่เงียบๆ ”
จิ้งไท่เฟยคว้าเศษผมเมื่อครู่นี้แล้วปล่องลงบนพื้นพลางเอ่ย “ไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไม ข้าถึงต้องยุแยงตะแคงรั่วระหว่างเจ้ากับหงเอ๋อร์”
“คนเรามันจะทำชั่วอะไรสักอย่างต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” จวงไทเฮาสวนกลับ
รอยยิ้มของจิ้งไท่เฟยเริ่มเจื่อน “เจ้านี่พูดจาไม่ไว้หน้ากันเลยนะ”
จวงไทเฮายังคงหลับตานิ่ง
ไม่นานจิ้งไท่เฟยคงรู้สึกเบื่อ จึงไม่พูดต่อ นางเปิดม่านและมองออกไป ทันใดนั้นก็พูดอย่างเศร้าสร้อย “ข้าอยากไปที่ชายแดนเพื่อเยี่ยมหนิงอัน ถ้านางได้เจอเจ้านางคงมีความสุขน่าดู”
ไทเฮาริ่มกระตุกหัวคิ้ว กระนั้นก็ยังคงหลับตาดังเดิม
สรุปแล้ว ที่ลงทุนไปทั้งหมดก็เพื่อไปเยี่ยมหนิงอันเยี่ยนะ เหตุผลบ้าบออะไรกัน
จิ้งไท่เฟยพึมพำ “เราทุกคนจะไปหาหนิงอันเป็นครั้งสุดท้าย”
เริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ไทเฮาเริ่มจับสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ท้ายที่สุด พวกเราก็แก่แล้ว ไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว” จิ้งไท่เฟยมองออกไปนอกหน้าต่างรถ
พูดวกไปวนมาอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมา นางก็หัวเราะอีกครั้ง “หรือว่าหลังจากพบกับหนิงอันแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าเลยดีไหม”
แผ่นฟ้าเริ่มมืดลง
ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกล้อมไว้หมด
ฮ่องเต้ทรงยืนอยู่ใต้ประตูเมืองอันโอ่อ่า เฝ้าดูยามที่ประจำอยู่ที่ประตูเมืองทำการตรวจค้นคัดกรองผู้คนที่เข้าไปในเมืองทีละคนด้วยท่าทางที่สง่างามอย่างยิ่ง
เว่ยกงกงมองดูริมฝีปากที่แตกเป็นริ้วของจักรพรรดิ แล้วพูดอย่างทุกข์ใจ “ฝ่าบาท ทรงวิ่งไปมาทั้งวัน ทรงพักเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคอยเฝ้าให้เอง”
นัยน์ตาของฮ่องเต้ดูแข็งกร้าวและเย็นเยือกราวลมพัดในฤดูหนาว “เสด็จแม่ยังคงอยู่ในเงื้อมมือของสตรีผู้นั้น… ข้าไม่เหนื่อย และข้าจะไม่พักผ่อนหากยังไม่พบเสด็จแม่”
ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมเสียเสด็จแม่ไปอีก