สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 400 ความจริงเปิดเผย
บทที่ 400 ความจริงเปิดเผย
แม้ที่นี่จะเป็นถนนหลวงเส้นเดียวกับที่ศาลาพักม้าตั้งอยู่ แต่ก็ห่างจากศาลาพักม้าถึงสองลี้
เซียวลิ่วหลังมาพร้อมกับฮ่องเต้ ทั้งสองรอฟังความเคลื่อนไหวของจวงไทเฮาและจิ้งไท่เฟยอยู่ที่ศาลาพักม้าก่อนจะแยกย้ายกันทำภารกิจ
ขณะที่เซียวลิ่วหลังหาตัวกู้เจียวพบแล้วนั้น ฮ่องเต้เองก็พบกู้เฉิงเฟิงกับจวงไทเฮาแล้วเช่นกัน
ฮ่องเต้มาพร้อมกับทหารรักษาพระองค์นับพันนาย แทบจะล้อมทั้งป่าเลยก็ว่าได้ จิ้งไท่เฟยและมือสังหารของนางก็ถูกจับกุมตัวได้ทั้งหมด
ทว่ามือสังหารของจิ้งไท่เฟยนั้นยังคงร้ายกาจเช่นเคย แต่หากต้องต่อสู้กบทหารทั้งกองทัพแล้ว อย่างไรก็คงสู้ไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทั้งท่านเหล่าโหวและองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้อีกต่างหาก จากรูปการณ์ก็เห็นได้ชัดว่าฝั่งใดได้เปรียบ
มือสังหารของจิ้งไท่เฟยถูกปราบจบราบครบ จิ้งไท่เฟยเองก็ถูกจับกุมตัว
จิ้งไท่เฟยมองบุรุษที่นั่งอยู่บนหลังรถม้า ใช้ทวนยาวชี้มาที่ตน นางเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้น “ปล่อยข้าไปเถิด…”
ท่านเหล่าโหวกำทวนในมือแน่น
ทหารรักษาพระองค์พาตัวมือสังหารของจิ้งไท่เฟยไปวิสามัญอีกฟากหนึ่ง ที่นี่จึงเหลือเพียงเขาคนเดียว
หากเขาต้องการจะปล่อยนางให้หนีไปก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย ไม่มีผู้ใดจับได้แน่นอน
จิ้งไท่เฟยน้ำตาเอ่อล้น “ที่ข้าพูดกับฝ่าบาทวันนั้นไม่ใช่ความจริง ในใจของข้า…”
ทวนยาวของท่านเหล่าโหวพุ่งปักลงจมดินโคลนริมเท้านาง นางตกใจจนต้องถอยหลัง มองชายที่เฝ้าคิดถึงนางมาตลอดหลายสิบปีอย่างไม่เชื่อสายตา
ความรักของบุรุษนั้นล้ำลึกดั่งมหาสมุทร ยามสิ้นรักแล้วก็เหมือนดั่งมหาสมุทรเช่นกัน แต่เหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่เย็นยะเยือกไร้ความปรานี
ท่านเหล่าโหวพาตัวจิ้งไท่เฟยกลับมาที่โรงเตี๊ยม
เมื่อเห็นว่ากู้เฉาเป็นคนจับตัวจิ้งไท่เฟยกลับมาด้วยตนเอง สีหน้าของฮ่องเต้ก็ชะงักไปเล็กน้อย
ท่านเหล่าโหวไม่เอ่ยใด เพียงแค่ยกมือคำนับฮ่องเต้แล้วก็ออกไปเก็บกวาดที่เกิดเหตุในป่า
ฮ่องเต้นั่งในเรือนรับรองของศาลาพักม้า แม้จะเรียกว่าเรือนรับรอง แต่ความจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับกระท่อมมุงจากเลย
จิ้งไท่เฟยถูกมัดมือมัดเท้า นั่งนิ่งอยู่ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ องครักษ์หลงอิ่งยืนอยู่ข้างกายเขา
ฮ่องเต้รู้เรื่องราวกบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อนจากปากของจวงไทเฮา เขายกมือส่งสัญญาณบอกกับเว่ยกงกง
เว่ยกงกงรู้งาน เดินเข้าไปถลกแขนเสื้อของจิ้งไท่เฟย เผยให้เห็นรอยสักสีแดงลายลูกไฟศักดิ์สิทธิ์
ฮ่องเต้คิดว่าตนเองจะตกตะลึงยิ่งกว่านี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจิตใจของเขานั้นรู้สึกสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่เขายังหัวเราะออกมา “…เราต้องผิดหวังกับเสด็จแม่มากเพียงใด ถึงได้ไม่ตกใจสักนิดที่รู้ว่าท่านแม่เป็นกบฏที่รอดชีวิตจากราชวงศ์ก่อน”
จิ้งไท่เฟยรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ใช่หงเอ๋อร์ที่จะเชื่อฟังนางทุกคำเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแสร้งตีหน้าเศร้าต่อหน้าเขา
ฮ่องเต้เห็นสีหน้าเย็นชาของนาง ก็แค่นหัวเราะออกมา “เหตุใดเสด็จแม่ถึงไม่ร้องไห้เล่า เหตุใดไม่บอกกับเราว่า เราเข้าใจเสด็จแม่ผิดไป ท่านสามารถอธิบายเรื่องรอยสักนี้ได้”
จิ้งไท่เฟยหัวเราะเย้ยหยัน “หากข้าอธิบาย ท่านจะเชื่ออย่างนั้นหรือ”
“เพราะอย่างนั้นเสด็จแม่จึงไม่แม้แต่จะเสียเวลาพูดสินะ” ฮ่องเต้ไม่ปวดใจเพราะนางอีกต่อไป เขารู้สึกถึงเพียงความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เขาจะทำทุกอย่างเพื่อความสงบสุขของตนเองและเสด็จแม่ไทเฮาท่านั้น
จิ้งไท่เฟยแค่นเสียงหัวเราะ
ฮ่องเต้อดกลั้นความเจ็บปวดและความเดือดดาลภายในใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ตอนนั้นที่หนิงอันแต่งงานออกเรือนไปไกลถึงชายแดน…เป็นแผนการของเสด็จแม่ใช่หรือไม่ น้องเขยก็เป็นคนที่เสด็จแม่จัดหามาให้ใช่หรือไม่”
จิ้งไท่เฟยไม่ตอบคำถาม
ฮ่องเต้กัดฟันกรอด เอ่ยถามต่อ “เสด็จแม่ส่งองรักษ์หลงอิ่งไปยังค่ายชายแดน เพื่อจะฆ่าหนิงอันหรือรวมกองกำลังก่อกบฏกันแน่”
“ข้าขอพบจวงจิ่นเซ่อ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงเย็นชา
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเกรี้ยวกราด “ท่านยังจะคิดจะทำร้ายเสด็จแม่ไทเฮาอีกหรือ”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก ให้องครักษ์หลงอิ่งคอยเฝ้าไว้ก็ได้ คำถามที่ท่านถาม ข้าไม่มีอะไรจะตอบ แต่หากนางถามข้าละก็ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเต็มใจตอบก็เป็นได้”
ฮ่องเต้กำหมัดแน่น สูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “เสด็จแม่ช่างเกลี้ยกล่อมเราเก่งยิ่งนัก เอาล่ะ เราจะให้ท่านเจอกับเสด็จแม่ไทเฮาเป็นครั้งสุดท้าย!”
ตอนแรกไทเฮานั้นหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็ถูกคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาจึงอารมณ์เสียยิ่งนัก
นางเดินไปยังห้องที่อยู่ข้างกันด้วยความหงุดหงิดหลังตื่นนอน ภายในห้องนั้นมีเพียงจิ้งไท่เฟยและองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้
จวงไทเฮาหาเก้าอี้แล้วนั่งลง อ้าปากหาววอด เอ่ยอย่างรำคาญใจ “คราวนี้เรื่องอันใดอีกเล่า ไม่ต้องมาพูดเรื่องราวชั่วร้ายสมัยก่อนของเจ้าให้ข้าฟังหรอกนะ ข้าคร้านจะฟังแล้ว”
จิ้งไท่เฟย “มิใช่เรื่องในอดีต แต่เป็นเพียงเรื่องที่ไม่เคยบอกกับท่านพี่”
จวงไทเฮา “เรื่องของเจ้า ข้าไม่อยากรู้”
จิ้งไท่เฟย “เป็นเรื่องของท่านพี่”
จวงไทเฮา “ต่อให้เป็นเรื่องของข้า ข้าก็ไม่อยากรู้”
จิ้งไท่เฟยยิ้ม “ถึงจะไม่อยากรู้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง เกรงว่าผ่านคืนนี้ไปแล้ว จะไม่มีโอกาสได้พบท่านพี่อีก”
จวงไทเฮาเริ่มหงุดหงิด “มีเรื่องอะไรก็รีบว่ามา”
จิ้งไท่เฟยกลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด เพราะเรื่องที่นางจะพูดออกไปหลังจากนี้ จะทำให้หญิงตรงหน้าทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงรู้หรือไม่ว่าท่านพี่ประพฤติตัวเช่นนี้ หากรู้ คงหมดรักท่านพี่มาตั้งนานแล้วกระมัง ท่านพี่ช่างเล่นละครเก่งดีแท้”
จวงไทเฮาลุกยืนขึ้นตั้งท่าเดินออกไป
นางไม่มีความอดทนมากพอที่จะฟังหญิงแพศยาผู้นี้พูดพล่าม
จิ้งไท่เฟยเอ่ยปาก “ลูกคนนั้นของท่านพี่”
ฝีเท้าของจวงไทเฮาชะงักลง
จิ้งไท่เฟยมองจวงไทเฮาอย่างลำพองใจ “ท่านพี่อยากรู้หรือไม่ว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน”
จวงไทเฮาเหลียวไปมองนางพลางขมวดคิ้ว “เด็กคนนั้นอะไรอีก”
จิ้งไท่เฟยหัวเราะร่า “ก็เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพี่อย่างไรเล่า ท่านพี่คงไม่คิดว่าตัวเองคลอดลูกออกมาแล้วตายจริงๆ หรอกกระมัง”
จวงไทเฮามองนางอย่างสงสัย
จิ้งไท่เฟยหัวเราะราวกับคนเสียสติ หัวเราะจนไหล่ไหว “ข้าเดาไว้ไม่มีผิดว่าท่านพี่จะต้องตกใจ! ท่านพี่คงคิดว่าตนเองฉลาดล้ำกว่าใครมาตลอดสินะ…แต่ท่านพี่กลับไม่รู้ว่าตัวเองถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนปิดบังมาโดยตลอด ท่านพี่อยากรู้หรือไม่ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอยู่ที่ใด”
“ฮ่องเต้พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับเจ้าหรือ”
“ทำไมหรือ ท่านพี่ไม่เชื่ออย่างไรนั้นหรือ แต่ก็นะ ถูกปิดบังมาตั้งนานหลายปีเช่นนี้ เป็นใครก็ย่อมรับความจริงไม่ไหว ข้าตั้งใจจะเล่าให้ท่านพี่ฟังตั้งแต่ยามอยู่บนรถม้าแล้ว แต่น่าเสียดายที่ท่านพี่ไม่ยอมให้ข้าพูด คืนนี้เหมือนดั่งโศกนาฏกรรมของชีวิตข้า ข้าจะบอกกับท่านพี่เพียงแค่ครั้งเดียวว่าลูกของท่านพี่…ยังไม่ตาย”
จวงไทเฮาได้ยินดังนั้น แม้อยากจะพูดออกไปก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ท่านพี่จะไม่ถามข้าหรือว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน”
จวงไทเฮาอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออกเป็นครั้งที่สอง
บนใบหน้าของจิ้งไท่เฟยแทบไม่มองไม่เห็นความเศร้าเสียใจ แต่ตัวจวงไทเฮาเองก็เช่นกัน หญิงผู้นี้แข็งแกร่งยามอยู่ต่อหน้าผู้คนมาโดยตลอด ไม่เคยเผยความอ่อนให้ผู้ใดเห็นแม้สักนิด
จิ้งไท่เฟยจ้องมองมาที่นาง หัวเราะเย้ยหยันพลางเอ่ย “ฝ่าบาทอย่างไรเล่า! เด็กคนนั้นคือฝ่าบาท! ฝ่าบาทคือเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพี่! ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเห็นความทะเยอทะยานในตัวท่านพี่ จึงพยายามไม่ใช่ท่านพี่ตั้งครรภ์ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าท่านพี่นั้นเก่งกาจนัก สุดท้ายก็ท้องจนได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือก ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้นำตัวลูกของท่านพี่หลบซ่อนไว้ จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก มีนางกำนัลนางหนึ่งตั้งครรภ์ช่วงเดียวกับท่านพี่พอดี ฮ่องเต้จึงคิดแผนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เพียงแค่ท่านพี่คลอดก่อนนางสามวัน แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่คลอดเสียที ฮ่องเต้จึงให้ประกาศว่าโอรสที่ท่านพี่คลอดออกมานั้นไม่มีชีวิตรอด”
จวงไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “สนมจิ้งหนอสนมจิ้ง เจ้าคิดว่าที่ตนเองพูดพล่ามออกมาคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ หากลูกที่ข้าคลอดออกมายังไม่ตาย แต่ถูกส่งให้นางกำนัลคนหนึ่งแล้ว แล้วลูกของนางกำนัลผู้นั้นอยู่ที่ใด”
จิ้งไท่เฟยยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทส่งเสียเลี้ยงดูให้สามัญชนเลี้ยงน่ะสิเจ้าคะ”
“เหอะ~” จวงไทเฮาหัวเราะออกมา “สนมจิ้งหนอสนมจิ้ง เจ้านี่มันช่างสมเพช คำพูดไร้สาระเช่นนั้นเจ้าก็เชื่อหรือ หากชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นสตรีเจ้าคงเชื่อสินะ!”
จิ้งไท่เฟยเดือดดาลในทันใด “จวงจิ่นเซ่อ!”
จวงไทเฮาหัวเราะขบขันจนส่ายหน้าไปมา “เจ้าช่างเชื่อใจฮ่องเต้พระองค์ก่อนเหลือเกินสินะ ข้าด่าเจ้าจนปากฉีกถึงรูหูเจ้าก็ยังไม่รู้สึกตัว ข้าค่อนแคะฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพียงแค่ประโยคเดียว เจ้าก็ดิ้นพล่านราวกับถูกฟ้าผ่า ถ้าจะให้ข้าเดาละก็ ตั้งแต่เจ้าเข้าวังหลวงมาก็คงวางแผนให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนล้มเลิกแผนการฟื้นฟูอาณาจักรสินะ แต่น่าเสียดายที่พระองค์ไม่เคยมีใจให้เจ้าเลย แม้ยามใกล้จะสิ้นพระชนม์ก็ยังลากเจ้าลงหลุมไปด้วย อ๋อ ข้าลืมบอกไป ต่อให้เจ้าจะถูกฝังไปด้วย แต่ก็ได้ลงแค่หลุมศพของพระสนมเพียงเท่านั้น ในชีวิตหลังความตาย เขาต้องการจะจับมือข้าข้ามสะพานแห่งโลกวิญญาณแต่เพียงผู้เดียว เจ้าคงอิจฉาแทบบ้าเลยสินะ”
แววตาของจิ้งไท่เฟยเปลี่ยนเป็นอาฆาตมาดร้ายในทันใด ร่างทั้งร่างของนางเริ่มสั่นเครือ
“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเองว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทิ้งราชโองการเอาไว้ แต่พระองค์เองก็ไม่มั่นใจว่าราชโองการจะถูกประกาศออกไปหรือไม่ ในเมื่อข้านั้นมักใหญ่ใฝ่สูงถึงเพียงนี้ ตั้งแต่ขึ้นว่าราชการแทนพระองค์ก็ไม่เคยเชื่อฟังเขาอีกต่อไป เขากังวลว่าข้าจะหาราชโองการจนเจอแล้วทำลายมันทิ้ง หากวันนั้นมาถึงเข้าจริง อำนาจบารมีที่ตระกูลฉินสั่งสมมาจะตกอยู่ในมือข้าทั้งหมด ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเล่าเรื่องพวกนั้นให้เจ้าฟัง ก็เพียงเพราะต้องการหลอกใช้เจ้า ให้เจ้าคอยคานอำนาจข้า พระองค์ได้บอกเจ้าหรือไม่ว่า ‘อย่าบอกชาติกำเนิดที่แท้จริงของหงเอ๋อร์ให้เขารู้…’ ”
‘เราไม่เชื่อผู้ใดทั้งนั้น เชื่อเพียงแค่เจ้า เพราะเจ้าเป็นคนที่เลี้ยงหงเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต บนโลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ไม่มีวันทำร้ายหงเอ๋อร์’
‘เราไม่เชื่อผู้ใดทั้งนั้น เชื่อเพียงแค่เจ้า เพราะเจ้าเป็นคนที่เลี้ยงหงเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต บนโลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ไม่มีวันทำร้ายหงเอ๋อร์’
สิ่งที่ไทเฮาพูดซ้อนทับกับเสียงในหัวของจิ้งไท่เฟยไม่มีผิดเพี้ยน
ร่างทั้งร่างของจิ้งไท่เฟยโงนเงน!
จวงไทเฮาเลียนน้ำเสียงของฮ่องเต้พระองค์ก่อน “แต่หงเอ๋อร์สนิทสนมกับเสด็จแม่ฮองเฮาของเขาเกินไป เรากังวลว่าเขาจะมอบอำนาจให้แก่นาง หากถึงเวลานั้นจริงๆ เจ้าต้องเกลี้ยกล่อมหงเอ๋อร์ให้ได้!”
จิ้งไท่เฟยหน้าถอดสี!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงตระหนก “เจ้า…เจ้าแอบฟังข้ากับฮ่องเต้คุยกันอย่างนั้นรึ!”
จวงไทเฮาแค่นหัวเราะ “อย่างข้ายังต้องแอบฟังอีกหรือ หลังจากข้าเข้าวังมาได้เป็นปีที่สอง ข้าก็ไม่เคยเห็นชายผู้นั้นเป็นสามีของตัวเองอีกต่อไป”
นางเห็นเขาเป็นเพียงฮ่องเต้ ฮ่องเต้ที่นางต้องสืบหาความชอบของเขา เพื่อให้นางอยู่ในวังหลังได้อย่างตลอดปลอดภัย
“เพียงแต่ฮ่องเต้คงคาดไม่ถึงว่าเจ้านั้นมิใช่แม่พระมีเมตตา ข้าไม่ได้เป็นคนขโมยราชโองการ แต่กลับเป็นเจ้าที่ขโมยไป ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็นับว่าฉลาดไม่น้อย ขณะเขาสติพร่าเลือนก่อนสิ้นพระชนม์เช่นนั้น เจ้ายังเชื่อคำพูดของเขา คิดว่าพวกข้าคือแม่ลูกแท้ๆ กัน เพราะอย่างนั้นถึงได้กลัวจนถึงขึ้นวางยามอมเมาฮ่องเต้ วางยาขาวไม่เท่าไหร่ ยังวางยาดำอีกต่างหาก”
จวงไทเฮาเอ่ยพลางมองไปทางจิ้งไท่เฟยอย่างสมเพช “ข้าพูดจากใจจริง เจ้าช่างน่าสมเพชเหลือเกิน”
จิ้งไท่เฟยสั่นสะท้านไปทั้งตัว “เป็น…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้”
จวงไทเฮาลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป เดินมาถึงหน้าประตูแล้วแต่นางกลับหยุดฝีเท้าลง ทอดสายตามองไปยังฟากฟ้ายามราตรีอันไร้ขอบเขต “อีกอย่าง ฮ่องเต้มิได้ห่างเหินกับข้าเพราะโกรธที่ข้าแท้งลูก แต่เป็นข้าที่บอกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเอง ข้าบอกกับเขาว่า ‘ท่านไปเสียเถิด ชาตินี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีกแล้ว’ สนมจิ้ง เป็นข้าเองที่ไม่ต้องการเขาแล้ว”
ความหวังสุดท้ายในใจของจิ้งไท่เฟย…พังทลายลงมาไม่เหลือชิ้นดี!