สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 404 องค์หญิงซิ่นหยาง
บทที่ 404 องค์หญิงซิ่นหยาง
“หลงอี!”
จนกระทั่งมีคนเรียกจากอีกฝั่งหนึ่ง องครักษ์หลงอิ่งถึงได้ยอมปล่อยตัวกู้เจียว
กู้เจียวไม่กล้าอยู่นานไปกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียวนางรีบหนีไปในทันใด
เมื่อกู้เจียวกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย เซียวหลิวหลังก็กลับมาถึงบ้านหลังออกเวรจากสำนักฮั่นหลินแล้วเช่นกัน เขาอยู่ที่ริมบ่อน้ำ กำลังตักน้ำเพื่อล้างพู่กัน
กู้เจียวค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ
นางกลัวว่าองครักษ์หลงอิ่งจะตามมา ถึงขั้นเผยสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของทหารกองโจรตั้งแต่ชาติปางก่อนออกมา นางนั่งบนเก้าอี้ตัวน้อยตรงข้ามเซียวลิ่วหลัง หายใจหอบกระชั้น
เซียวหลังไม่รู้ที่มาที่ไปจึงเหลือบมองนางแล้วเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ”
“…เปล่า” กู้เจียวเอ่ยเสียงหมดอาลัยตายอยาก “แค่เล่นดินสอ…ทั้งบ่ายน่ะ”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้แปลกใจที่นางสวมชุดบุรุษ นางมักจะใส่เสื้อผ้าของกู้เหยี่ยนออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ช่วงหลังมานี้แม่นางเหยาจึงเย็บให้นางโดยเฉพาะอีกหลายชุด
สายตาของเขาหยุดอยู่บนฝ่ามือน้อยที่ดำปิ๊ดปี๋ คิดว่านางคงเล่นกับเสี่ยวจิ้งคง ไม่ได้สงสัยอะไร ทว่าทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันตื่นตระหนก ราวกับนึกเรื่องบางอย่างในอดีตขึ้นได้
กู้เจียวสังเกตเห็นว่าเซียวลิ่วหลังกำลังเหม่อ นางโน้มตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยถามเขา “สามี เจ้าเป็นอะไรไป”
เซียวลิ่วหลังได้สติกลับคืนมา ใช้อ่างทองแดงตักน้ำแล้วยกมาให้นางล้างมือ
“ไม่มีอะไร” เขาหลบตาลง “ตอนเด็กข้าก็เคยเล่น”
แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเล่น เขาโดนจับตัวไปพร้อมทั้งบังคับขู่เข็ญ
กู้เจียวสาบานกับตัวเอง วันหนึ่งกระสอบใบน้อยของนางจะต้องได้ออกโรงแน่นอน
ซี๊ด
เมื่อยมือชะมัด
วันต่อมา เมื่อทุกคนในบ้านกินมื้อเช้าเสร็จ คนที่ต้องไปเรียนก็ออกไปเรียน คนที่ต้องไปเข้าเวรก็ไปเข้าเวร เผอิญว่าช่วงเช้ากู้เจียวมีออกตรวจเหมือนกัน เป็นคนไข้ที่เพิ่งเย็บแผลให้เมื่อหลายวันก่อน นางต้องไปถอดไหมให้ถึงบ้าน เป็นทางผ่านสำนักฮั่นหลินด้วยเช่นกัน
ทั้งสองนั่งรถม้าของหลิวเฉวียนมาถึงละแวกสำนักฮั่นหลิน
ที่นี่มีแต่ขุนนางฮั่นหลินและเหล่าบัณฑิตเต็มไปหมด บนถนนจึงแออัดเบียดเสียด รถม้าเข้าไปไม่ได้
เซียวลิ่วหลังลงจากรถม้า
“ข้าไปส่งเจ้า” กู้เจียวพูดพลางลงจากรถม้า
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ปฏิเสธ
ระหว่างทาง เซียวลิ่วหลังไม่พูดไม่จา
“สามี เจ้าไม่สบายใจหรือ” กู้เจียวถาม
“ทำไมรึ” เซียวลิ่วหลังมึนงงเล็กน้อย
“ช่วงนี้เหมือนเจ้าดูอารมณ์ไม่ดีนัก” กู้เจียวนิ่งไป เรียบเรียงคำพูดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ว่าอารมณ์ไม่ดี เพียงแต่…รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรในใจ”
หลังจากช่วยชีวิตท่านย่ากลับมาเขาก็กลายเป็นแบบนี้ กู้เจียวพยายามนึกทบทวนดู คืนวันนั้นแทบจะไม่ได้เกิดเรื่องราวอะไรใหญ่โต เว้นเสียแต่เรื่องที่องครักษ์หลงอิ่งลูบใบหน้าของเขา
หึ
นางโมโหนัก
สามีของนาง มีแค่นางเท่านั้นที่จะลูบแก้มเขาได้
“เปล่า” แววตาของเซียวลิ่วหลังวูบไหวก่อนจะปฏิเสธ “ไม่ได้มีอะไรไม่สบายใจ”
ขณะที่พูดออกไปนั้น ด้านหน้าก็มีเสียงของขุนนางฮั่นหลินสองสามคนพูดคุยกันดังขึ้น
“นี่ เจ้าได้ยินหรือไม่ องค์หญิงซิ่นหยางกลับเมืองหลวงแล้ว!”
“เจ้าพูดจริงรึ องค์หญิงซิ่นหยางกลับมาเมืองหลวงแล้วจริงๆ หรือ”
“ข้าได้ยินเองกับหู จะไม่จริงได้อย่างไร”
“นางกลับเมืองหลวงมาทำไมหรือ ไม่ใช่ว่าชาตินี้นางจะไม่กลับมาเหยียบเมืองหลวงอีกหรอกหรือ”
“นั่นน่ะสิ นางไม่กลัวแผลเก่าจะถูกเปิด คิดถึงเรื่องที่ไฟคลอกท่านโหวน้อยจนตายหรือ”
…
คนพวกนั้นพูดพลางเดินเข้าไปในสำนักฮั่นหลิน ไม่ทันได้สังเกตว่าเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวอยู่ข้างหลังพวกเขา
สีหน้าของเซียวลิ่วหลังไม่ได้เปลี่ยนไปนัก แต่หากตั้งใจสังเกตดูละก็ จะเห็นได้ว่าร่างของเขากำลังสั่นเครือ
กู้เจียวเห็นท่าทางนิ่งเฉยของเขา จึงไม่พยายามถามซักไซ้
ส่งเซียวลิ่วหลังถึงประตูทางเข้า เห็นเขาเดินเข้าไปเองกับตาแล้วกู้เจียวถึงได้หันหลังกลับ เดินกลับมาขึ้นรถม้าของหลิวเฉวียน “ท่านลุงหลิว พาข้าไปถนนจูเฉี่ยวที”
“ได้เลย!”
หลิวเฉวียนขับรถม้ามาถึงถนนจูเฉี่ยว
ที่นี่เป็นหนึ่งในถนนที่ใกล้วังหลวงมากที่สุด ว่ากันว่าคนที่อยู่อาศัยบนถนนเส้นนี้ หากไม่ใช่คนในพื้นที่ดั้งเดิมก็ต้องเป็นคนที่มีอำนาจหรือร่ำรวยมากที่สุดในเมืองหลวง
บ้านที่กู้เจียวมารักษาตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของถนนจูเฉี่ยว แต่เพราะช่วงนี้ซ่อมถนน รถม้าจึงเข้าไปไม่ได้
“เช่นนั้นข้ารอเจ้าตรงนี้” หลิวเฉวียนเอ่ย
“ขอบคุณท่านลุงหลิวมากเจ้าค่ะ” กู้เจียวลงจากรถม้า สะพานตะกร้าใบน้อยแล้วเดินไปยังเรือนของคนไข้
คนไข้เป็นบัณฑิตอายุราวสามสิบปี บาดแผลอยู่บนมือขวาข้างที่ถนัด แผลยาวจากหลังมือจรดกลางฝ่ามือ แทบจะวนรอบ กู้เจียวเย็บไปทั้งหมดสิบกว่าเข็ม
แผลของเขาสมานดีไม่น้อย กู้เจียวถอดไหมให้เสร็จก็ลองให้เข้าขยับมือ
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” กู้เจียวถาม
“ก็…ก็ดี” ตอนแรกเขาไม่กล้าออกแรงมาก พอขยับสองสามที นอกจากเจ็บแปลบๆ แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ “วันหน้าข้าจะเขียนหนังสือได้อีกหรือไม่”
“ได้แน่นอน” กู้เจียวตอบ “เจ้าค่อยๆ ฝึก ไม่ต้องรีบร้อน แล้วก็ไม่ต้องกลัว”
“ได้!” ความดีใจของเขาฉายออกมาทางสายตา ทว่าพอนึกบางอย่างขึ้นได้ แววตาก็ล่อกแล่กขึ้นมาในทันใด เขาเดินไปหน้าประตูแล้วมองออกไป เหลียวซ้ายแลขวาเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ จึงเอ่ยเสียงกระซิบกับกู้เจียว “ว่าแต่หมอกู้ ฝีมือการแพทย์ท่านเก่งกาจเพียงนี้ ท่านรักษา…โรคปอดได้หรือไม่”
“โรคปอดหรือ วัณโรคอย่างนั้นรึ” กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ยถาม
บัณฑิตผู้นั้นกดเสียงต่ำ “น่าจะเป็นเช่นนั้น คราวก่อนท่านแม่ข้าบอกเช่นนั้น แถมแม่ข้ายังห้ามไม่ให้ข้าไปที่เรือนพวกเขาอีก”
กู้เจียวตอบ “วัณโรคสามารถแพร่เชื้อได้ แม่เจ้าไม่ให้เจ้าไปก็ถูกแล้ว”
บัณฑิตทอดถอนใจ “ข้าเข้าใจ ข้าไม่โทษท่านแม่หรอก เพียงแต่…ข้าเสียดายนัก ฐานะทางบ้านพวกเขาไม่ได้ดีมาก เพียงแต่ตระกูลอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน แต่ก่อนก็เคยมั่งมี ทว่าตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว หากรักษาโรคนั่นไม่หายเสียที เกรงว่าคนทั้งบ้านจะต้องพลอยลำบากไปด้วย อาจจะถึงขั้นต้องขายเรือนนั้นทิ้ง”
กู้เจียวถาม “ที่นี่หรือ เรือนพวกเขาก็อยู่บนถนนเส้นนี้หรือ”
“ใช่” บัณฑิตพยักหน้า “แม่ของ…สหายร่วมรุ่นข้าน่ะ….”
สหายร่วมรุ่นอย่างนั้นรึ คนในใจก็ว่าไปอย่าง
กู้เจียวมองออกเพียงแต่ไม่พูดออกไป “อยู่ที่ไหนล่ะ”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม กู้เจียวก็มาปรากฏตัวที่เรือนอีกหลังหนึ่งบนถนนจูเฉี่ยวฝั่งตะวันออก…ทว่าเป็นประตูหลัง
ใช่แล้ว นี่คือประตูหลัง
บัณฑิตไม่กล้าเข้าทางประตูหน้า เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะจับได้ เขาพากู้เจียวเดินออกทางประตูหลังลัดเลาะออกไป แต่ก็น่าเสียดายที่เดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกแม่เขาจับได้เสียก่อน
เขาฉวยโอกาสช่วงชุลมุน บอกทางให้กับกู้เจียว
ส่วนค่ารักษาเขาเองก็จ่ายแล้ว
กู้เจียวมองประตูที่แง้มอยู่ตรงหน้า “คงใช่…ที่นี่กระมัง แปลกนัก ทำไมไม่เห็นมีคนเลย”
นั่นสิ ได้ยินมาว่าตระกูลนี้ล้มละลาย บ่าวไพร่ก็พากันหอบผ้าออกไปหมดแล้ว ตอนกลางวันสหายของเขาก็ไปเรียนที่สำนักบัณฑิต มีเพียงน้องสาวของเขากับคนป่วยอยู่ที่บ้าน
ทว่าวัณโรคนั้นติดต่อกันได้ เพราะอย่างนั้นคนป่วยจึงอาศัยอยู่ที่เรือนรองด้านหลัง แทบจะไม่ยอมให้ลูกสาวลูกชายของตัวเองเข้ามา
ด้วยเหตุนี้การที่กู้เจียวเข้ามาทางประตูหลังนั้นก็ถูกต้องแล้ว พอเข้าไปก็เจอเรือนของคนป่วยทันที
“ห้องไหนกันนะ”
กู้เจียวเดินข้ามธรณีประตู
ภายในลานบ้านเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน สองฝั่งปลูกดอกไม้ กู้เจียวไม่รู้เรื่องดอกไม้สักเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าดอกไม้ที่นี่งามกว่าดอกไม้ในสวนหลวงด้วยซ้ำ
ขนาดป่วยยังมีเวลาว่างมาปลูกดอกไม้อีกหรือ ไม่เห็นเหมือนคนที่นอนป่วยอ่อนแรงอย่างที่บัณฑิตผู้นั้นพูดเลย
เสียงไอโขลกเบาๆ ลอยมาจากห้องหนึ่ง
กู้เจียวใส่หน้ากากอนามัยที่หยิบออกมาจากกล่องยาใบน้อย นางเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องนั้นก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเปิดอย่างเบามือ
ภายในห้องมีคนอยู่อย่างที่คิดไว้จริงๆ แต่นั่งอยู่ข้างบนคาน กู้เจียวไม่เห็นเขา แต่เขาเห็นกู้เจียวในทันใด
ทว่าเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไร ปล่อยให้กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้เตียงหลังนั้น
บนเตียงมีมุ้งครอบอยู่ กู้เจียวค่อยๆ แหวกมุ้งขึ้น
กู้เจียวนึกว่าจะเห็นคนป่วยที่ใบหน้าซีดเซียวใกล้จะสิ้นลมอย่างน่าสงสาร แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นดวงหน้าสดใสที่ยากจะอธิบาย
นางห่มผ้าผืนบาง เส้นผมสีดำเงาดุจแพรไหม ขับผิวของนางให้ดูขาวละเอียด
แต่น่าเสียดายที่กู้เจียวได้เห็นเพียงแค่พริบตาเดียว นางพลิกตะแคงตัวทั้งที่ยังหลับใหลอยู่ในความฝัน นางหันหน้าเข้าผนัง กู้เจียวจึงไม่เห็นหน้านาง
ทว่าภาพอันแสนน่าตกตะลึงเมื่อครู่ยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของกู้เจียว
“นี่คือคนเป็นวัณโรคอาการร่อแร่ที่บัณฑิตผู้นั้นเอ่ยถึงจริงๆ หรือ”
ไม่ใช่ว่าคนเป็นวัณโรคจะสวยไม่ได้ แต่หากป่วยหนัก สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือสีหน้าย่ำแย่ บวกกับคำพูดที่บัณฑิตผู้นั้นบอกนางให้เตรียมใจล่วงหน้า บอกว่าอย่าตกใจกับสภาพคนป่วยล่ะ เนื้อตัวมอมแมมบ้างล่ะ
เช่นนี้เรียกเนื้อตัวมอมแมมหรือ
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดสะอาดเกลี้ยงเกลาไปกว่านางอีกแล้ว
กู้เจียวยังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางไม่คิดว่าตัวเองจะมาผิดบ้าน
กู้เจียวใช้มือข้างหนึ่งค่อยๆ จับชีพจรนางอย่างแผ่วเบา
จากชีพจรแล้ว ไม่น่าจะใช่โรคปอด
นางหยิบหูฟังออกมา ก่อนจะตั้งใจฟังอีกรอบ สุดท้ายก็มั่นใจว่าไม่ใช่โรคปอดแน่นอน
แต่เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นโรคหัวใจชนิดหนึ่ง
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเป็นโรคที่ซับซ้อนมาก ไม่ว่าแบบไหนก็ยากจะรักษา
โชคดีที่โรคหัวใจประเภทนี้ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด แต่ก็จะชะล่าใจไม่ได้ เห็นท่าทางนางเช่นนี้ ทุกวันนี้คงทรมานไม่น้อย
โรคหัวใจประเภทนี้กินยาที่มีฤทธิ์ชะลอการแข็งตัวของเลือดกับควบคุมการเต้นของหัวก็น่าจะได้ผลดี แต่ศูนย์วิจัยได้คิดค้นยาที่มีสรรพคุณพิเศษ ได้ผลดียิ่งกว่า
กู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อย ก่อนจะหยิบยาพิเศษออกมาหนึ่งกล่อง นางตั้งใจว่าจะใส่ยาเข้าไปในขวด แต่ก็พบว่าขวดยาในตะกร้าหมดแล้ว
บังเอิญว่าบนโต๊ะมีขวดยาอยู่สองสามขวด กู้เจียวสุ่มหยิบมาหนึ่งขวดแล้วเทยาข้างในออกมา
“นี่มันยาบำรุงชั้นสูง แต่ไม่ได้ช่วยรักษาโรค” กู้เจียวเทยาในขวดออก แล้วใส่ยาพิเศษเม็ดสีขาวเข้าไป ทั้งยังแปะแถบผ้าพร้อมทั้งเขียนวิธีการกินและปริมาณ หลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
ขณะเดียวกันที่ด้านหน้าเรือน หญิงผู้หนึ่งอายุราวสามสิบปี สวมชุดคลุมสีเขียวอ่อน กำลังส่งไท่จื่อเฟยขึ้นรถม้า
“ช้าก่อนใต้เท้าอวี้จิ่น” ไทจื่อเฟยเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับเขา
หญิงที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าอวี้จิ่นเอ่ยกับนางอย่างนอบน้อม “ขอบพระทัยไท่จื่อเฟยที่มาเยี่ยมองค์หญิง ทั้งยังมอบยาให้องค์หญิงด้วย ประเดี๋ยวองค์หญิงตื่นแล้ว หม่อมฉันจะทูลองค์หญิงว่าไท่จื่อเฟยมาเยี่ยมเพคะ”