สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 408-2 มาหาถึงที่ (2)
บทที่ 408 มาหาถึงที่ (2)
เสี่ยวซานจื่อขับรถอยู่บนถนนอันเงียบงันด้วยความรู้สึกราวกับปลดวางภาระอันหนักอึ้งลงแล้ว
ในที่สุดก็เจอแม่นางกู้แล้ว เขาไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนแล้ว
ยังคงเป็นท่านพี่เซียวที่เก่งกาจ ไม่ทันไรก็เดาได้แล้วว่าแม่นางกู้ไปที่ถนนจูเชวี่ย
จะว่าไปแล้ว เขาเดาได้อย่างไรกัน
ความสงสัยเช่นเดียวกันก็แล่นวาบเข้าสู่สมองกู้เจียวเช่นกัน แต่ที่ต่างก็คือกู้เจียวคิดคำตอบออกได้อย่างรวดเร็ว
มิน่า เขาจึงห้ามหลงอีไม่ให้ฆ่านางได้ และหลงอีจึงบีบแก้มเขาได้
หลงอีกำลังยืนยันบางอย่างอยู่ อีกทั้งยังยืนยันเสร็จแล้วด้วย
ดังนั้นที่จู่ๆ หลงอีก็สนิทสนมกับตนเพียงนี้ก็มีเหตุผลมารองรับแล้วล่ะ
ถึงแม้ว่ากู้เจียวจะไม่อยากถูกบังคับให้หักดินสอกับวาดเครื่องหมายเท่ากับ แต่หากเป็นคนอื่นใช้ดินสอกระแทกหน้าหลงอีแล้วละก็ เกรงว่าต่อจากนั้นคนที่โดนหักจะไม่ใช่ดินสอพวกนั้น แต่เป็นคนผู้นั้นแทน
แม้ว่านางจะคาดเดาเรื่องบางเรื่องได้แล้ว อีกทั้งนางยังรู้สึกว่าจากความฉลาดของเขาไม่มีทางมองไม่ออกว่าตนเป็นใคร แต่เขาไม่พูด นางก็ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้
เพียงแต่เหตุผลที่นางปรากฏตัวที่ถนนจูเชวี่ยนั้น นางยังคงต้องเล่าให้ฟัง
“เมื่อวานข้าเย็บแผลให้บัณฑิตแซ่สวี่คนหนึ่ง เขาไหว้วานให้ข้าไปรักษาให้ป้าของเขา และได้จ่ายค่ารักษาไว้ให้ด้วย ปรากฏว่าข้าไปผิดที่ เข้าไปยังวังขององค์หญิงซิ่นหยาง คิดว่าองค์หญิงซิ่นหยางเป็นป้าคนนั้น…”
กู้เจียวเล่าขั้นตอนการสลับยาอย่างกระชับตรงประเด็น แต่ไม่ได้บอกว่าหลงอีให้นางช่วยหักดินสอ และไม่ได้บอกว่าองค์หญิงซิ่นหยางเข้าใจผิดว่านางมีเจตนาแอบแฝงจนเกือบจะเอาแส้ทองคำที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้มาฟาดก้นนาง
มันค่อนข้างขายหน้าน่ะ
“องค์หญิงซิ่นหยางกินยาที่ข้าให้ ได้ผลดียิ่ง เมื่อครู่ให้หลงอีพาข้าไปหาก็เพราะจะให้รักษาให้นาง!”
นางเล่าอย่างสบายๆ ทั้งรายละเอียดและความเข้าใจผิดอันโหดเหี้ยมต่างๆ เอาไว้
ทว่าเซียวลิ่วหลังไปมาหาสู่กับองค์หญิงซิ่นหยางสิบกว่าปี จะไม่รู้นิสัยนางได้อย่างไร
บางทีเขาในสมัยก่อนอาจจะมองไม่ออก แต่ยามนี้นึกย้อนกลับไป รายละเอียดมากมายล้วนแตกต่างจากในความทรงจำไม่น้อย
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่สตรีธรรมดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หากนางอยากเชิญหมอไปรักษาจริงๆ ก็จะส่งเกี้ยวไปรับอย่างเอิกเกริกเปิดเผย ให้หลงอีมาลักพาตัวเช่นนี้ คงจะเกิดความสงสัยต่อกู้เจียวเสียมากกว่า
โชคดีที่ทุกอยางเป็นแค่การเข้าใจผิดกัน
เขาไม่มีปัญญาห้ามไม่ให้นางไปพบองค์หญิงซิ่นหยางเพราะเขาห้ามไม่ได้
นี่ไม่ใช่คนที่นางไม่อยากพบก็ไม่ไปพบได้ องค์หญิงซิ่นหยางออกคำสั่งไป ต่อให้ต้องขุดพื้นสามวาตามหาจนสุดหล้าฟ้าเขียว หลงอีก็จะหาตัวคนมาให้ได้
ทว่าหลงอีไม่มีทางอนุญาตให้คนทำร้ายนางหรอกกระมัง
ก็เหมือนที่เขาก็เคยไม่อนุญาตให้ใครมาทำร้ายตนเช่นกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ขนมเปี๊ยะก็เย็นชืดหมดแล้ว กู้เจียวถอนหายใจ ขนมเปี๊ยะแสนอร่อย น่าเสียดายนัก
ราตรีดึกสงัดแล้ว คนในบ้านหลับกันหมดแล้ว ทั้งคู่แยกย้ายกันไปอาบน้ำกลับห้อง
เสี่ยวจิ้งคงนอนหงายแขนขาอ้ากว้างอยู่บนเตียง กรนคร่อกๆ เสียเต็มที่
เซียวลิ่วหลังมองเขา ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ และนึกถึงจวนองค์หญิงสมัยก่อน
ความทรงจำวาบผ่านสมองดุจภาพวาด เดิมทีคิดว่าเป็นความทรงจำที่ลืมเลือนไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะแจ่มชัดในยามราตรีเช่นนี้ได้
เซียวลิ่วหลังหลับตาลง หวังจะเค้นความทรงจำเหล่านั้นในสมองออกมา แต่พบว่าพอออกแรงความทรงจำก็ยิ่งหมุนวนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านแม่”
จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงที่อยู่ข้างๆ ก็ละเมอขึ้นมา
เจ้าเด็กน้อยฝันถึงแม่ตัวเองรึ
ความคิดเซียวลิ่วหลังถูกขัดจังหวะ เขาดึงเสื้อเสี่ยวจิ้งคงลงมาปิดท้องน้อยๆ ให้
เสี่ยวจิ้งคงพลิกตัวเข้าสู่อ้อมอกเขา อือๆ อาๆ ไม่รู้ว่ากำลังละเมออะไร
เซียวลิ่วหลังยกปลายนิ้วเรียวดุจหยกดันศีรษะน้อยๆ ของเขาไปอีกด้าน
เสี่ยวจิ้งคงกลิ้งหลุนๆ ไป เพียงไม่นานก็กลิ้งหลุนๆ กลับมาคืน
เซียวลิ่วหลังดันไปอีก
เขาก็กลิ้งกลับมาอีก
จนสุดท้ายเขาไม่ได้อยู่ในอ้อมอกเซียวลิ่วหลังแล้ว เท้าน้อยๆ ข้างหนึ่งชี้ขึ้นกลางอากาศ กระแทกหน้าเซียวลิ่วหลังเข้าให้แล้ว!
เซียวลิ่วหลัง “…”
ถูกเสี่ยวจิ้งคงทรมานเช่นนี้ เซียวลิ่วหลังกลับไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่นแล้ว ความทรงจำแปลกประหลาดในสมองก็มลายหายไปหมด ค่อนคืนหลังเขาถึงได้หลับสนิท
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสางเขาก็ไปสำนักฮั่นหลินแล้ว
เขามาเช้ากว่าข่งมู่อีก ข่งมู่มองเขาอย่างแปลกใจ “เซียวซิวจ้วนเมื่อคืน…คงไม่ได้ไม่กลับบ้านหรอกกระมัง”
“กลับสิ” เซียวลิ่วหลังบอก
เซียวลิ่วหลังขานชื่อขุนนางผู้เข้าทำงานเสร็จก็ไปห้องทำงานตัวเอง
ข่งมู่พึมพำอย่างอดไม่ได้ว่า “เช้าปานนี้…ทะเลาะกับภรรยาแล้วโดนภรรยาไล่ออกมากระมัง…”
ผลการสอบทั้งหกกรมออกมาแล้ว ขุนนางกลุ่มใหญ่อยู่ในรายชื่อต้องสอบซ่อม สำนักฮั่นหลินจึงรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวงอย่างการบรรยายให้ความรู้แก่ขุนนางสอบซ่อมฟัง
ในบรรดาขุนนางสอบซ่อมส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ขุนนางมาจากการสอบคัดเลือก แต่เป็นขุนนางที่มาจากการได้รับตำแหน่งขุนนางสืบทอดจากครอบครัว หรือก็คือตำแหน่งที่ได้รับมาจากความดีความชอบของคนรุ่นก่อน สติปัญญาของคนเหล่านี้เป็นเช่นไร ไม่ต้องบอกก็รู้
แต่ไม่ได้หมายความว่าขุนนางที่ได้มาจากการสืบทอดจะไม่มีคนอ่านตำรา เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครที่มีพรสวรรค์และสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง คนที่สามารถสอบเป็นขุนนางโดยไม่ต้องพึ่งพาการสืบทอด อย่างเช่นจี้จิ่วน้อยในอดีต และอย่างเช่นจวงเปี้ยนซิวในตอนนี้
อย่างไรเสียคนที่รู้ตัวว่าตนเองเป็นขุนนางที่มาจากการสืบทอดแล้วต้องขวนขวายอ่านตำราหาความรู้นั้นมีน้อยมาก
ข้อเสียของขุนนางที่มาจากการสืบทอดนั้นเห็นได้ชัดเจน เพียงแต่ธรรมเนียมเช่นนี้มีมาช้านานแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังครองราชย์อยู่เคยลองถอดถอนพวกเขาไปแล้ว ปรากฏว่าเจอกับเสียงคัดค้านของบรรดาขุนนางทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ทว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนหัวแข็ง จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ก็ยังไม่อนุญาต ทำเอาความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางกระด้างกระเดื่อง ฝ่ายที่สนับสนุนพระองค์จงรักภักดีต่อพระองค์ไปพลาง หวังไปพลางว่าพระองค์จะฟื้นคืนธรรมเนียมปฏิบัติเดิม
หลังจากที่จวงไทเฮานั่งฟังราชการอยู่หลังม่านก็ฟื้นฟูระบอบขุนนางจากการสืบทอดคืนมา เปิดโอกาสให้แก่พวกขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลาย ทว่าในขณะเดียวกันนางก็เสนอเงื่อนไขขึ้นมาว่าจะเพิ่มการสอบของทั้งหกกรม
สอบสามปีครั้ง สอบไม่ผ่านก็สอบซ่อม หากสอบซ่อมสองรอบไม่ผ่านก็ลดขั้น ลดขั้นสองครั้งแล้วก็จะริบตำแหน่งคืน
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงก็คือคนที่ถูกจดชื่อไม่ว่าจะสุ่มโดนเขาหรือไม่ ล้วนต้องเข้าร่วมการสอบครั้งต่อไป
ความมหัศจรรย์ของระบอบนี้คือมันแฝงด้วยช่วงเวลาที่ทำให้การปะทะคลี่คลายลง สอบไม่ผ่านก็ยังสอบซ่อมได้ สอบซ่อมไม่ผ่านก็ยังสอบใหม่ได้อีกสามปีให้หลัง ไม่ใช่ว่าจะถอดตำแหน่งเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้
ผนวกกับจวงไทเฮาบอกว่า “พ่อเสือไม่มีลูกสุนัข ขุนนางทุกคนต่างทั้งฉลาดและกล้าหาญ เป็นเสาหลักให้แก่แคว้นเจาของข้า เด็กที่เกิดมาจะไร้ประโยชน์ได้รึ”
ทั้งชมทั้งเหน็บแนมในคราวเดียวกันเช่นนี้ ทำเอาพวกขุนนางในราชสำนักสำลักจนพูดอะไรไม่ออก
ระบบการสอบทั้งหกกรมจึงได้ถูกยอมรับด้วยประการฉะนี้
แม้ว่าระบบนี้จะยังไม่อาจกำจัดระบอบขุนนางจากการสืบทอดไปได้สิ้นซาก แต่ได้ลดข้อเสียของมันลงมามากที่สุดแล้ว
ขุนนางฮั่นหลินที่ถูกจัดให้ไปบรรยายที่สำนักจัดสอบคือเซียวลิ่วหลัง โดยมีรถม้าจากทางสำนักจัดสอบมารับ
รถม้ายังมาไม่ถึง เซียวลิ่วหลังก็หิ้วกาน้ำไปตักน้ำที่เรือนท้ายสำนัก
หนิงจื้อหย่วนบังเอิญไปล้างพู่กันพอดีจึงพบเขาเข้า ก่อนจะยิ้มแย้มทักทาย “ลิ่วหลัง! เช้าเสียจริง!”
“เจ้าก็มาเร็วเช่นกัน” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
หนิงจื้อหย่วนทอดถอนใจเอ่ย “ข้ากลัวว่าจะมาสายจึงได้รีบออกบ้านแต่เช้าน่ะสิ แต่เจ้าน่ะบ้านก็อยู่ไกล”
ทั้งสองสนทนากันอยู่ บัณฑิตหันก็เดินมา
หนิงจื้อหย่วนตกใจ “ว้าว คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหันก็จะมาเช้าด้วย”
ทั้งสองคำนับให้บัณฑิตหัน
บัณฑิตหันผงกหัวให้ ก่อนมองเซียวลิ่วหลังแล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้เจ้าต้องไปบรรยายที่สำนักจัดสอบใช่หรือไม่”
“ขอรับ” เซียวลิ่วหลังตอบ
“ไม่ต้องไปแล้ว” บัณฑิตหันบอก “อีกเดี๋ยวเจ้าตามข้าไปหอเหวินฮว๋าหน่อย”
ปลายนิ้วเซียวลิ่วหลังกระตุก
หอเหวินฮว๋าเป็นห้องเก็บตำราที่องค์หญิงซิ่นหยางสร้างขึ้น
บัณฑิตหันเห็นความสำคัญของเซียวลิ่วหลังจึงได้มอบโอกาสนี้แก่เขา เขาเห็นเซียวลิ่วหลังไม่ได้เอ่ยคำใด จึงทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายรับปากแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเดินไปได้ก้าวเดียว เซียวลิ่วหลังกลับเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าหัน ข้าอยากไปบรรยายที่สำนักจัดสอบขอรับ”
เจ้าอยากไปบรรยายที่สำนักจัดสอบมันหมายความว่าอย่างไร
มีใครเขาต่อรองกับหัวหน้าเช่นนี้บ้างรึ
บัณฑิตหันหันกลับมามอง ก่อนยกยอย่างจริงจัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอเหวินฮว๋าคือที่แบบใด แล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีเช่นไร”
“ข้าอยากไปบรรยายที่สำนักจัดสอบขอรับ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทีละถ้อยทีละคำ
บัณฑิตหันขมวดคิ้ว
เซียวลิ่วหลังมองหนิงจื้อหย่วนพลางเอ่ย “ให้หนิงเปี้ยนซิวไปหอเหวินฮว๋าดีกว่า ข้าอยากไปสำนักจัดสอบขอรับ”
เขาพูดสามครั้งแล้วว่าจะไปสำนักจัดสอบ บัณฑิตหันคิดจะให้เกียรติเขาอย่างไรก็ไม่มีทางมอบโอกาสให้แก่เขาอีก
“เจ้าตามข้ามา” บัณฑิตหันเอ่ยกับหนิงจื้อหย่วน
หนิงจื้อหย่วนตามบัณฑิตหันไป เดินไปพลางวาดมือวาดไม้ใหญ่โตให้เซียวลิ่วหลังไปพลาง ก่อนจะเอ่ยโดยไร้เสียงว่า ‘จะมอบโอกาสอันดีเพียงนี้ให้ข้าจริงๆ รึ’
“เจ้าทำอะไรน่ะ” บัณฑิตหันชะงักฝีเท้าหันมามองเขา
หนิงจื้อหย่วนหยุกการกระทำทันที “เปล่าขอรับ แค่บิดขี้เกียจ”
บัณฑิตหันพาหนิงจื้อหย่วนออกจากสำนักฮั่นหลินไป
เซียวลิ่วหลังรอต่ออีกครึ่งชั่วยามคนของสำนักจัดสอบก็มาถึง ทว่าในชั่วขณะที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนรถม้า คนขับรถของบัณฑิตหันก็วิ่งแจ้นอย่างรีบร้อนมาหา “แย่แล้ว! เซียวซิวจ้วน! เกิดเรื่องขึ้นกับหนิงเปี้ยนซิวแล้ว! รีบไปดูที่หอเหวินฮว๋าเร็วเข้า!”