สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 409 เปิดโปง
บทที่ 409 เปิดโปง
คนนอกไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันของหนิงจื้อหย่วนกับเซียวลิ่วหลัง คนขับรถอย่างอู๋เหล่าเอ้อร์ก็บังเอิญเห็นเข้าหลายครั้งจึงได้รู้ว่าหนิงจื้อหย่วนกับเซียวลิ่วหลังสนิทสนมกันมาก
เขาไม่ใช่คนปากเปราะ จึงไม่ได้ป่าวประกาศไปทั่ว
ทว่ายามนี้เกิดเรื่องขึ้นกับหนิงจื้อหย่วนแล้ว อู๋เหล่าเอ้อร์จึงไม่มีเวลามาคิดอะไรมาก
“เกิดอะไรขึ้นกับหนิงเปียนซิวรึ” เซียวลิ่วหลังถาม
อู๋เหล่าเอ้อร์ทั้งร้อนใจทั้งเป็นห่วงพลางเอ่ย “เขาทำแท่นฝนหมึกโบราณของหอเหวินฮว๋าแตกหมดเลย ได้ยินว่านั่นเป็นสมบัติของฮ่องเต้พระองค์ก่อน…เจ้าว่าควรทำอย่างไรดี หากโดนลงโทษขึ้นมาจริงๆ หนิงเปียนซิวได้หมดอนาคตเป็นแน่!”
ทำลายทรัพย์สินของราชสำนักเป็นโทษมหันต์ แม้แต่บัณฑิตหันยังปกป้องหนิงจื้อหย่วนไม่ได้
หอเหวินฮว๋าอยู่ไม่ไกลจากสำนักจัดสอบ เซียวลิ่วหลังให้คนของสำนักจัดสอบล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองจัดการธุระนิดหน่อยแล้วจะตามไปถึงทีหลัง
จากนั้นเซียวลิ่วหลังกับอู๋เหล่าเอ้อร์ก็ไปหอเหวินฮว๋า
ทุกหย่อมหญ้าของหอเหวินฮว๋าล้วนมีสภาพเดิมทุกกระเบียดนิ้ว กลิ่นดอกกุ้ยฮวาสี่ฤดูโชยเข้าจมูก ช่างย้ำเตือนความทรงจำได้ง่ายดายนัก
เซียวลิ่วหลังสีหน้าเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
“เซียวซิวจ้วน เซียวซิวจ้วน” อู๋เหล่าเอ้อร์เรียกเขา
เซียวลิ่วหลังดึงสติกลับมา เขามองอู๋เหล่าเอ้อร์พลางเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร เขาอยู่ที่ใดรึ” ไม่รอให้อู๋เหล่าเอ้อร์บอกทางแก่เขา เขาก็พยักหน้าแล้วตอบ “ทราบแล้ว อยู่เรือนทิงเฟิง”
เขาเอ่ยจบก็ก้าวเท้าไปทางเรือนทิงเฟิงทันที
อู๋เหล่าเอ้อร์มึนงง เหมือนว่าข้าจะยังไม่ได้บอกว่าเขาอยู่ที่เรือนทิงเฟิงนะ…แล้วอีกอย่างเจ้าเคยมารึ เจ้าจึงได้รู้ว่าเรือนทิงเฟิงอยู่ที่ไหน
หอเหวินฮว๋ามีทั้งหมดหนึ่งหอสามเรือน หอหลักนามว่าหอเหวินฮว๋า ใช้สำหรับเก็บตำรา เรือนทิงหลานเป็นเรือนส่วนพระองค์ขององค์หญิงซิ่นหยาง เรือนทิงเทาเป็นเรือนแยกใช้สำหรับรับแขก มีเพียงเรือนทิงเฟิงที่เป็นสถานที่เก็บวัตถุโบราณล้ำค่ารวมถึงตำราเก่าแก่โบราณที่ต้องซ่อมแซมใหม่เอาไว้
ที่บัณฑิตหันมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะองค์หญิงซิ่นหยางนำภาพวาดของจิตรกรดังกลับมาจากเขาเฟิงตูหีบใหญ่ หนึ่งในนั้นมีตำราสองเล่มคือ ‘เมิ่งจื่อ’ กับ ‘จงยง’ ที่เขียนโดยปรมาจารย์ขงเบ้งผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ก่อน
องค์หญิงซิ่นหยางตั้งใจว่าจะประทานตำราสองเล่มนี้ให้สำนักฮั่นหลิน
เนื่องจากเพิ่งจะย้ายกลับมา บ่าวจึงหอบลงจากรถม้าแล้วกลับไป จึงยังไม่ได้เก็บเข้าหอเก็บตำรา แต่เก็บไว้ที่เรือนทิงเฟิงไว้ชั่วคราวก่อน
เซียวลิ่วหลังเดินมาถึงเรือนทิงเฟิงอย่างคุ้นเคยเส้นทาง
เขาพบว่าในนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนักเช่นกัน อย่างน้อยๆ คนในนั้นก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตาดี
ยามนี้ผู้ดูแลที่รับผิดชอบหอเหวินฮว๋าแซ่เดียวกับกับอู๋เหล่าเอ้อร์ อายุใกล้จะห้าสิบ แต่ดูๆ แล้วกลับเหมือนคนอายุแค่สี่สิบต้นๆ เท่านั้น
เรื่องนี้ใหญ่โตมาก ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้แต่พวกรองผู้ดูแลของหอเหวินหวาก็ยังตามมาด้วย
หนิงจื้อหย่วนเป็นคนที่บัณฑิตหันพามา เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เขาก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เขากำลังร้องขอความเมตตาต่อบรรดาผู้ดูแล บอกว่าให้เขาเอาแท่นฝนหมึกไปได้หรือไม่ สำนักฮั่นหลินมีราชบัณฑิตห้าวิชาที่เชี่ยวชาญการซ่อมแซมวัตถุโบราณ อาจจะให้เขาลองดู
ทว่าพวกผู้ดูแลกลับไม่ไว้หน้าให้บัณฑิตหันเลย พวกเขายืนกรานจะจับตัวหนิงจื้อหย่วน อีกเดี๋ยวจะมอบให้องค์หญิงซิ่นหยางจัดการ
“ใต้เท้าหัน” เซียวลิ่วหลังเดินไปหา ก่อนจะประสานมือให้บัณฑิตหัน แล้วมองไปที่หนิงจื้อหย่วนที่อยู่ด้านข้าง
หนิงจื้อหย่วนเห็นเขาแล้วเหมือนเห็นต้นหญ้าช่วยชีวิตก็มิปาน “ลิ่วหลัง!”
บัณฑิตหันขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าไปสำนักจัดสอบแล้วมิใช่รึ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้ นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งด้วยได้ เจ้ารีบกลับไปเสีย”
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “สำนักจัดสอบไม่ได้เริ่มสอนเช้าเพียงนี้ ข้าได้ยินมาว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น หนิงเปียนซิวเป็นคนที่ข้าแนะนำให้มา หากไม่ใช่ข้า เขาก็คงไม่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“ลิ่ว…” หนิงจื้อหย่วนแก้คำเรียกใหม่ “เซียวซิวจ้วนอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ข้าไม่ทันระวังเองจึงทำแท่นฝนหมึกแตกเข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้รีบร้อนปลอบใจหนิงจื้อหย่วน แต่มองไปยังพวกผู้ดูแลตรงหน้า “ขอข้าดูแท่นฝนหมึกนั่นได้หรือไม่”
ผู้ดูแลอู๋เห็นว่าเขาสวมชุดขุนนางสำนักฮั่นหลินเลยรู้ว่าเขาเป็นขุนนางฮั่นหลิน จึงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขา เพียงแต่…ผู้ดูแลอู๋มองขาเป๋กับไม้เท้าของเขาด้วยแววตาค่อนข้างแปลกประหลาด
เซียวลิ่วหลังชินกับการถูกมองเช่นนี้แล้ว เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ รอให้บ่าวรับใช้ของหอเหวินฮว๋ายกถาดที่ใส่แท่นฝนหมึกแตกร้าวมาอย่างระมัดระวัง
นี่เป็นแท่นฝนหมึกส่วนพระองค์ที่กษัตริย์องค์ที่สามของราชวงศ์ต้าซีเคยใช้ เป็นของโบราณราชวงศ์ก่อนๆ มิน่า ผู้ดูแลของหอเหวินฮว๋าจึงได้ตระหนกกันถึงเพียงนั้น
เพียงแต่แท่นฝนหมึกอันนี้หนิงจื้อหย่วนไม่ได้เป็นคนโยนแตก แต่มันแตกอยู่แล้วต่างหาก ถูกเซียวเหิงวัยเด็กโยนแตก แล้วกลัวว่าองค์หญิงซิ่นหยางจะตีก้น เขาจึงให้หลงอีหากาวมา ส่วนตัวเองก็ติดมันแบบลวกๆ ไว้
ดังนั้นหนิงจื้อหย่วนซวยเพราะเขาจริงๆ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เดิมทีแท่นฝนหมึกนี้มันแตกอยู่แล้ว”
“เจ้าเพ้อเจ้อ!” ผู้ดูแลอู๋ตวาดเสียงเข้ม “มันจะแตกได้อย่างไร เจ้ากำลังแอบเยาะเย้ยพวกเราที่โยนแท่นฝนหมึกแตกและใส่ร้ายว่าเป็นความผิดของพวกเจ้าสำนักฮั่นหลินอย่างนั้นรึ”
อันที่จริงหนิงจื้อหย่วนก็ค่อนข้างสงสัยเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีใครเชื่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าส่งเสียงและสงสัย ยามนี้เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้น เขาจึงได้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น “ข้าก็รู้สึกว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำพังเช่นกัน ด้านล่างเป็นพื้นไม้ ซ้ำยังไม่ได้วางไว้สูง ใครจะรู้ว่าแตะโดนเบาๆ ก็หักเป็นสองท่อนแล้ว…”
บัณฑิตหันมองเซียวลิ่วหลัง “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
แม้ว่าจะไม่ได้หวังให้หนิงจื้อหย่วนมีโทษ แต่ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมารับโทษแทนเพื่อให้หนิงจื้อหย่วนพ้นผิดเช่นกัน องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่คนใจดี ใส่ร้ายคนรับใช้นางผลที่ตามมาร้ายแรงมากนัก
เซียวลิ่วหลังหยิบแท่นฝนหมึกมาให้บัณฑิตหันดู “รอยแตกนี้ดูมีอายุหลายปีแล้ว ทั้งยังมีรอยกาวติดอยู่ด้วย หากผู้ดูแลทุกท่านไม่เชื่อ สามารถไปเชิญบัณฑิตเนี่ยจากสำนักฮั่นหลิน และจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนมาได้เลย พวกเขาทั้งสองแค่มองก็จะรู้ทันที”
บัณฑิตเนี่ยคือราชบัณฑิตห้าวิชาที่เชี่ยวชาญการซ่อมแซมวัตถุโบราณท่านนั้น
จี้จิ่วอาวุโสคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาไม่เพียงแต่จะสามารถระบุแยกแยะวัตถุโบราณได้อย่างเดียว ยังสามารถสร้างวัตถุโบราณเลียนแบบขึ้นมาได้ด้วย
บัณฑิตหันได้ยินประโยคนี้ก็รีบส่งคนให้ไปเชิญผู้เชี่ยวชาญจากสำนักฮั่นหลินและกั๋วจื่อเจียนมาทันที
หลังจากที่ทั้งคู่ได้พินิจมองอย่างละเอียดแล้ว ความจริงเป็นอย่างที่เซียวลิ่วหลังว่ามาทุกประการ แท่นฝนหมึกนี้พังมาหลายปีแล้วจริงๆ
ทว่าบรรดาผู้ดูแลยังคงมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
บัณฑิตหันยิ้มบาง “ผู้ดูแลทุกท่านไม่เชื่อสำนักฮั่นหลิน แต่จะไม่เชื่อกั๋วจื่อเจียนรึ พวกเราสำนักฮั่นหลินและกั๋วจื่อเจียนไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย!”
นี่คือความจริง ใครบ้างจะไม่รู้ว่าสำนักฮั่นหลินเป็นฝ่ายของจวงไทเฮา ส่วนราชครูจวงกับจี้จิ่วอาวุโสแต่ละคนต่างยืนในจุดยืนตัวเอง
จี้จิ่วอาวุโส ศิษย์เข้าใจภายในสำนักฮั่นหลิน
จี้จิ่วอาวุโสลูบเคราไปมา ก่อนเอ่ยอย่างวางมาดเคร่งขรึมจริงจัง “เอาละ เอาละ คำบางคำก็ไม่ควรเอ่ย อย่างไรเสียท่านโหวน้อยก็ตายไปแล้ว หากกล่าวถึงเขามันไม่ค่อยจะเหมาะนัก แต่จะไปใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงแท่นฝนหมึกนี้….เซียวเหิงเป็นคนทำแตก ตอนเขาเด็กๆ ซุกซนนัก ทำแท่นฝนหมึกแตกแล้วไม่กล้าบอกองค์หญิงซิ่นหยาง จึงแอบเอาไปที่กั๋วจื่อเจียนให้ข้าซ่อมให้…ถูกต้องแล้ว แท่นฝนหมึกนี้ข้าเป็นคนติดกาวเอง! หากพวกเจ้าไม่เชื่อ…”
ไม่เชื่อแล้วอย่างไร จะไปหาท่านโหวน้อยที่อยู่ใต้ดินเพื่อขอหลักฐานอย่างนั้นรึ
บรรดาผู้ดูแลต่างมีภาพอยู่ในหัวกันหมดแล้ว พากันมีความคิดแล่นวาบแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา
จี้จิ่วอาวุโสโบกๆ มือ “เอาละ เรื่องแท่นหมึกข้าจะไปทูลองค์หญิงซิ่นหยางเอง ไม่ทำพวกเจ้าลำบากหรอก”
มาถึงตรงนี้ พวกผู้ดูแลจึงได้พรูลมหายใจโล่งอกได้สุดปอดเสียที
ต่อให้พวกเขาไม่เคยรับใช้ท่านโหวน้อยมาก่อน แต่ก็รู้ว่าจี้จิ่วอาวุโสเป็นอาจารย์ของท่านโหวน้อย ในเมื่อเขาปัดโทษไปทางโน้นแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว
ความวุ่นวายครานี้จึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
บัณฑิตหันนึกว่าจะเจอองค์หญิงซิ่นหยาง ปรากฏว่าจนกระทั่งพวกเขากลับไป องค์หญิงซิ่นหยางก็ยังไม่เสด็จมาหอเหวินฮว๋า เขาจึงเสียดายอยู่ไม่น้อย
เมื่อออกจากหอเหวินฮว๋ามา เซียวลิ่วหลังก็มองจี้จิ่วอาวุโสอย่างยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดสั้นๆได้ “ปากของอาจารย์นี่มันช่าง…”
จี้จิ่วอาวุโสโบกมือปัด “ยังคงยอดเยี่ยมอย่างเคย ข้ารู้น่า!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เจ้ามีความสุขข้าก็ดีใจ
อีกด้านหนึ่ง กู้เจียวเข้าวังมาแล้ว
ยามนี้นางเป็นแขกประจำของตำหนักเหรินโซ่วไปเสียแล้ว ป้ายชื่อก็ไม่ต้องตรวจแล้วด้วย ใช้ใบหน้าเสมือนป้ายหยกเข้าวังมาได้เลย
นางมาครานี้เพราะจะมอบผลไม้เชื่อมให้ท่านย่า หมู่นี้ท่านปู่ปรับเปลี่ยนผลไม้เชื่อมใหม่อีกแล้ว รสชาติหวานยิ่งกว่าเดิมอีก แต่ปริมาณน้ำตาลน้อยมาก ท่านย่ากินได้วันละเม็ดเลยทีเดียว
นางเดินมาถึงถนนที่ทอดไปยังตำหนักเหรินโซ่ว จู่ๆ ก็ได้ยินคนเรียกนางไว้
“แม่นางกู้!”
เสียงของรุ่ยอ๋องเฟย
กู้เจียวไม่ได้พบรุ่ยอ๋องเฟยมาสักพักแล้ว ประเด็นคือระหว่างทางกลับมาจากไปเยี่ยมจิ้งไท่เฟยที่สำนักชีนั้นบังเอิญเจอมือสังหารเข้า รุ่ยอ๋องตกอกตกใจยกใหญ่ ไม่ให้รุ่ยอ๋องเฟยออกจากบ้านอีกติดต่อกันสองเดือน
“ข้าว่าแล้วว่าต้องเป็นเจ้า!” รุ่ยอ๋องเฟยเดินมาหา นางดึงแขนกู้เจียวอย่างสนิทสนม “เหมือนว่าเจ้าจะสูงขึ้นอีกแล้วนะ! ไม่เหมือนข้าที่อ้วนเอา อ้วนเอา”
กู้เจียวมองร่างกายที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลพลางเอ่ย “ท่านไม่อ้วนนะ”
ไม่อ้วนจริงๆ เมื่อก่อนรุ่ยอ๋องเฟยผอมมาก ยามนี้ต่างหากที่เรียกว่าปกติ
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย “มีแต่เจ้ากับท่านอ๋องเท่านั้นแหละที่เอ่ยเช่นนี้! พวกแม่นมต่างไม่อนุญาตให้ข้ากินเยอะ กลัวว่าครรภ์จะโตเกินไปแล้วดูแลยาก”
กู้เจียวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ในสมัยโบราณที่การแพทย์ไม่เจริญ การคลอดบุตรล้วนคลอดตามธรรมชาติทั้งสิ้น เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะไม่กินมากจนเกินไปโดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ
ทว่าดูจากสีหน้าของรุ่ยอ๋องเฟยก็รู้แล้วว่าความจริงแล้วพวกแม่นมก็ดูแลนางอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
รุ่ยอ๋องเฟยถอนใจพลางเอ่ย “ข้าไม่ได้ออกไปไหนมานานแล้ว ไม่รู้เลยว่าจิ้งไท่เฟยจะสวรรคตแล้ว ท่านอ๋องปิดบังข้าคงเพราะกลัวว่าข้าจะเสียใจจนส่งผลต่อครรภ์”
เรื่องของจิ้งไท่เฟยถูกปิดจนเงียบกริบ กู้เจียวไม่แน่ใจว่ารุ่ยอ๋องจะได้ยินข่าวอะไรมาหรือไม่
“หมู่นี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” รุ่ยอ๋องเฟยถาม
“สบายดี” กู้เจียวเอ่ย
รุ่ยอ๋องเฟยถอนหายใจ “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปหาข้าที่จวนเลยเล่า เจ้าไม่รู้หรือไรว่าสองเดือนนี้ข้าอุดอู้ยิ่งนัก”
กู้เจียวมองท้องที่นูนป่องของนางพลางเอ่ย “มีเขาอยู่ด้วยท่านก็ยังอุดอู้รึ”
วันกำหนดคลอดของรุ่ยอ๋องเฟยเหมือนกันกับแม่นางเหยา คือในต้นเดือนสิบ ยามนี้อายุครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว
ท้องของนางดูเหมือนจะใหญ่กว่าแม่นางเหยาเล็กน้อย
พูดถึงเด็กในท้อง รุ่ยอ๋องเฟยก็เผยความอ่อนโยนของคนเป็นแม่ออกมา “ไม่รู้ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ข้าอยากมีลูกชายให้ท่านอ๋อง! หากเป็นลูกชาย เช่นนั้นก็จะเป็นพระนัดดาองค์แรกของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อคงจะมีความสุขไม่น้อย!”
หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้าพูดเช่นนี้ รุ่ยอ๋องเฟยเป็นคนปากไวพูดจาตรงไปตรงมา ผนวกกับไว้ใจกู้เจียวมาก จึงไม่ได้ระวังคำพูด
ในขณะที่กู้เจียวกำลังจะใช้หูฟังฟังหัวใจของเด็กในครรภ์ของนาง ก็มีเสียงร้องตกใจของสตรีดังลอยมาจากหลังภูเขาจำลอง
“ใคร…อื้อ…”
รุ่ยอ๋องเฟยเพิ่งจะเอ่ยขึ้นก็ถูกกู้เจียวปิดปากไว้ด้วยความระแวง!