สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 411 อาเหิง (1)
บทที่ 411 อาเหิง (1)
ร่างของเซียวลิ่วหลังพลันเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
เขาไม่ได้ยินเสียงนี้นานเท่าใดแล้วนะ ยิ่งได้ยินยิ่งรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในโลกใบเก่า
แม้เขาจะไม่ได้หันไปมอง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าสายตาของนางกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่เป็นแน่
เขาไม่กล้าหันกลับไป แต่ก็มิอาจหันหลังให้นางในสภาพแบบนี้ได้ เขาพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่เป็นอะไร”
“เจ้า…” องค์หญิงซิ่นหยางได้ยินที่เขาพูดแล้ว แต่สายตาของนางกลับสะดุดไปที่ไม้เท้าของเขาที่กระเด็นออกไป
จะเรียกว่าไม้เท้าก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เหมือนกับไม้ช่วยพยุงมากกว่า
องค์หญิงซิ่นหยางไม่แน่ใจว่าชายผู้นี้เป็นเช่นนี้มาแต่กำเนิดหรือเพราะเจอเหตุการณ์อะไรเข้า แต่ดูๆ แล้วก็ไม่ควรปล่อยผ่านไปอยู่ดี
“ดูเหมือนว่าข้าทำให้เจ้าล้ม เจ้าลุกขึ้นไหวหรือไม่ ให้ข้าตามหมอมาช่วยไหม ใครก็ได้ช่วยพยุงชายผู้นี้ขึ้นมาที”
เอ่ยจบ ขณะที่บ่าวทั้งหลายกำลังจะเข้าไปช่วย
“อย่าเข้ามานะ!” เซียวลิ่วหลังตะโกน
บ่าวทำหน้าตะลึง ก่อนจะหันไปขอความกระจ่างจากองค์หญิง
“ข้าไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม
เนื้อเสียงของเขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เขาอายุสิบสี่ เป็นน้ำเสียงแตกหนุ่มของเด็กชาย
แม้องค์หญิงซิ่นหยางจะฟังไม่ออกว่าเป็นเขา แต่ที่แน่ๆ นางรู้สึกได้ถึงกำแพงของอีกฝ่าย
พอนึกขึ้นได้ว่าชายหญิงไม่ควรเตะเนื้อต้องตัวกัน อีกทั้งเซียวลิ่วหลังยังอยู่ในเครื่องแบบของสำนักฮั่นหลิน ซ้ำบริเวณตรงนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักฮั่นหลิน จึงต้องระวังเป็นพิเศษ
องค์หญิงซิ่นหยางจึงล้มเลิกความคิดไป “หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า มาแจ้งที่จวนของข้าได้เลย”
แม้นางจะไม่ได้พำนักที่จวน แต่คนของนางอยู่ที่นั่นกันหมด อย่างไรนางก็รู้ได้อยู่แล้ว
“ไม่ต้องหรอกท่าน ข้าไม่เป็นอะไร” เซียวลิ่วหลังพยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองเผลอหันไปหาอีกฝ่าย
องค์หญิงซิ่นหยางได้แต่รู้สึกถึงการวางตัวอันสุดจะแปลกประหลาดของชายหนุ่มผู้นี้ “ท่านจะไปแห่งหนใด เดี๋ยวข้าให้พลขับไปส่ง”
“ไม่เป็นไร” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าไปเองได้”
เขาค่อยๆ ใช้มือพยุงตัวขึ้น จากนั้นก็หยิบไม้ค้ำที่กู้เจียวทำให้ขึ้นมา
เขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าเท่านี้มาก่อน เขารู้ว่านางแอบมองอยู่ข้างหลัง แต่เขาไม่อยากให้นางเห็นตัวเขาในสภาพแบบนี้
มือที่ถือไม้เท้าของเขาสั่นเล็กน้อย แล้วเขาก็หายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันกลับมามอง
องค์หญิงซิ่นหยางมองดูร่างที่จากไปของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“องค์หญิง!”
เป็นเสียงของอวี้จิ่นที่เดินหอบมาทางนี้
องค์หญิงปรายตามองนางหนึ่งที “นี่เจ้าไปซื้อขนมไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงโดนซื้อเองเสียอย่างนั้น”
“คือว่า…” อวี้จิ่นทำท่าลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่
“จะว่าอะไรก็ว่ามาเลย เจ้ากลายเป็นคนโลเลไปตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“เอ่อ องค์หญิงเพคะ คือว่าหม่อมฉัน…ดูเหมือนจะเห็นกับท่านโหวน้อยเพคะ” ในที่สุดอวี้จิ่นได้รวบรวมความกล้าเพื่อบอกออกไป
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าขององค์หญิงก็พลันนิ่งลง “อวี้จิ่น ข้าบอกเจ้าหลายหนแล้วนะว่าเขาตายไปนานแล้ว”
เซียวลิ่วหลังเดินกลับมาที่สำนักฮั่นหลินภายในอึดใจเดียว
ในตอนนั้นเองที่หนิงจื้อหย่วนเดินสวนออกมาพอดี พอเห็นสภาพวิญญาณหลุดลอยของเซียวลิ่วหลังก็รีบปรี่เข้าไปถามยกใหญ่ “ลิ่วหลัง เจ้าเป็นอะไรไป ไหนว่าเจ้าต้องไปบรรยายมิใช่หรือ อย่าบอกนะว่ามีคนกลั่นแกล้งเจ้าอีกแล้ว ข้ากะแล้วเชียว! คนพวกนั้นมีแต่คนรับมือยากๆ ทั้งนั้น! เช่นนี้ก็แล้วกัน รอบหน้าเดี๋ยวข้าไปแทนเอง!”
“ข้าไม่เป็นอะไร อีกอย่างทางนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร” ขนาดคนที่รับมือได้ยากสุดๆ เขายังเคยเจอมาแล้ว กับแค่นี้เรียกได้ว่าไม่ต้องพูดถึง
“แต่ข้าคิดว่าดูเหมือนเจ้าจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ” หนิงจื้อหย่วนไม่เชื่อว่าเซียวลิ่วหลังสบายดี เขารู้จักลิ่วหลังมานานแล้ว เขายังเข้าใจอารมณ์ของเซียวลิ่วหลัง และเขารู้ว่าเซียวลิ่วหลังมักถูกเพ่งเล็งอยู่ตลอดเวลา
จู่ๆ ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของหนิงจื้อหย่วน “หรือว่า…เจ้ายังคิดมากเรื่องเมื่อเช้าที่ข้าทำแท่นหมึกพัง หรือเจ้าดันทำให้องค์หญิงซิ่นหยางไม่พอพระทัยใช่หรือไม่ เจ้าอย่าคิดมาก เดี๋ยวข้าไปอธิบายเอง! ข้าเป็นคนทำมันแตกเอง เรื่องนี้เป็นเพราะข้า…”
“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ” เซียวลิ่วหลังตัดบท
“แต่สีหน้าเจ้าไม่ดีเลยนะ” หนิงจื้อหย่วนเอ่ย
“คงเพราะเมื่อคืนหลับไม่สนิทกระมัง” เซียวลิ่วหลังพยายามหาข้ออ้างกลบเกลื่อน
“เป็นแบบนั้นรึ” หนิงจื้อหย่วนทำหน้าสงสัย
“อืม” ลิ่วหลังพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น…” หนิงจื้อหย่วนมองไปที่ท้ายตรอก “ถ้าน้องๆ ของเจ้าไม่ได้มารับเจ้า เช่นนั้นเรานั่งรถม้ากลับกันดีไหม”
“ไม่ต้อง” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธน้ำใจของหนิงจื้อหย่วน
แม้ลิ่วหลังจะเป็นคนที่ดูคุยง่ายต่อหน้าเพื่อนๆ แต่เมื่อตอนเขาดื้อรั้นก็ไม่มีใครเกลี้ยกล่อมเขาได้ หนิงจื้อหย่วนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยเขาไป
เซียวลิ่วหลังเดินอย่างไร้จุดหมายบนถนนพร้อมกับไม้ค้ำคู่กาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาแทบไม่ได้หันกลับไปมองนางด้วยซ้ำ แต่กลับเดินจากมาแบบนั้น…
แต่น้ำเสียงของนางยังคงฝังลึกอยู่ในหัวของเขา วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้นเองท้องฟ้าก็มีเมฆดำและหยดฝนก็เริ่มโปรยหนัก ทั้งท้องถนนมีเพียงเซียวลิ่วหลังที่เดินใจลอยเอื่อยเฉื่อยท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ ขณะที่คนอื่นวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น
และแล้วเขาก็ได้สติกลับคือมาอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยทักเขาขึ้น
“พี่เขยทำอะไรน่ะ เหตุใดถึงไม่กางร่ม”
เสี่ยวจิ้งคงนี่เอง
เจ้าตัวเล็กกำลังยืนถือร่มสีเหลืองคันเล็กที่กู้เจียวทำให้เขา พลางเงยหน้ามองพี่เขยที่ตัวเปียกโชกราวกับลูกหมาตกน้ำ
ในตอนนั้นเองที่เซียวลิ่วหลังเพิ่งรู้ว่าเขาเดินมาถึงที่หน้ากั๋วจื่อเจียนแล้ว
“วันนี้เจ้ามารับข้ารึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถาม
ถ้าพูดตามจริงแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกชั้นเรียน เพียงแต่เสี่ยวจิ้งคงทำการบ้านเสร็จเร็วก็เลยได้ออกมาก่อน
“อืม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไปกัน”
“แต่เจ้าไม่มีร่มนะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยทักไม่ขยับไปไหน
“ใช่ ข้าไม่มีร่ม” เซียวลิ่วหลังนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “ข้าไม่ต้องใช้หรอก”
“อะ เอาไปใช้สิ” เสี่ยวจิ้งคงยื่นร่มให้เขา
“เจ้าเอาไปใช้เองเถอะ” เขาไม่ใช้ร่มเล็กๆ แบบนั้นหรอก กันอะไรได้ที่ไหนกัน
“ข้ามีชุดกันฝน” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย
เจียวเจียวทำชุดกันฝนให้ด้วยล่ะ!
แถมยังปักลายดอกไม้สีแดงตัวโตๆ ไว้ด้วย!
เสี่ยวจิ้งคงยื่นร่มให้เซียวลิ่วหลัง กระนั้นเขาก็กางร่มให้เจ้าตัวเล็กอยู่ดี เสี่ยวจิ้งคงหยิบเสื้อกันฝนสีเหลืองตัวเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าและสวมมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าและถือไว้ในมือ ใช้เท้าเปล่าเหยียบแอ่งน้ำที่อยู่บนพื้น
เซียวลิ่วหลัง “…”
อ๋อ ที่แท้ก็อยากเล่นน้ำนี่เอง…
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดย่ำทุกแอ่งที่มีน้ำขัง พลันนึกดีใจที่กู้เจียวไม่มารับเขาวันนี้ เขาจะได้ไม่ต้องกังวลภาพลักษณ์ของตัวเอง!
ท่าทางของเขาเหมือนกบที่กำลังกระโดดในสระน้ำ
อันที่จริงได้กลับบ้านกับพี่เขยก็สนุกเหมือนกันนะเนี่ย!
พอถึงหน้าเรือน เจ้าตัวเล็กก็เอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “เอาละ ต่อไปข้าจะให้เจ้ามารับข้าในวันฝนตก!”
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ เหอะๆ ใครอยากจะมารับเจ้ากัน
หลิวเฉวียนที่ได้ยินเสียงเสี่ยวจิ้งคง ก็รีบหน้าตื่นออกมา “เอ๋ กลับมาเร็วจัง”
“ลุงหลิวเฉวียน!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยทักทายเขา
หลิวเฉวียนชำเลืองมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในชุดกันฝนสีเหลืองพร้อมกับใส่หมวกที่ติดมากับชุด
เสี่ยวจิ้งคงชอบสีทอง แต่ตอนนั้นกู้เจียวหาซื้อสีย้อมสีทองไม่ได้ ก็เลยต้องใช้สีเหลืองแทน
ที่จริงชุดกันฝนตัวนี้ก็ดูดีอยู่หรอก แต่ความดูดีนั้นกลับถูกทำลายด้วยลายดอกไม้ใหญ่สีแดงที่ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเอาเสียเลย
ที่เขาใส่มันออกมาได้น่ารักขนาดนี้นั่นก็เพราะเขาเป็นเด็กหน้าตาน่ารักอยู่แล้ว
ขณะที่เซียวลิ่วหลัง ซึ่งเป็นขุนนางของสำนักฮั่นหลิน กำลังถือร่มสีเหลืองคันเล็กของเด็ก ดูประดักประเดิดและไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิง
หลิวเฉวียนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “กลับมาก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้าไปรับนายท่านก่อนนะ”
“ลาก่อนลุงหลิว!” เสี่ยวจิ้งคงโบกมือให้อย่างนอบน้อม
“ลิ่วหลังก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ ตัวเปียกหมดแล้ว” หลิวเฉวียนเอ่ย
เซียวลิ่วหลังน้อมรับ
จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าเรือนไป