สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 413 สามีภรรยาหวานชื่น
บทที่ 413 สามีภรรยาหวานชื่น
ด้วยความที่ครั้งก่อนหนิงอ๋องเฟยมีเหตุจำเป็นต้องกลับบ้านเกิดเพื่อดูแลมารดาที่ป่วยหนักจนกระทั่งหายดี
เลยจำเป็นต้องเลื่อนนัดตรวจร่างกายกับกู้เจียวออกไป
กู้เจียวยังไม่รู้ว่าตอนนี้หนิงอ๋องเฟยกลับมาแล้ว รุ่ยอ๋องเฟยคือคนที่รู้ข่าวคนแรกจึงรีบบึ่งรถม้าไปยังตำหนักหนิงอ๋อง
“ท่านพี่สะใภ้เพคะ!”
รถม้าของหนิงอ๋องเฟยจอดรออยู่ด้านหน้าประตูตำหนัก ขณะที่หนิงอ๋องเฟยกำลังจะก้าวขาขึ้นรถ ก็ได้ยินเสียงอันสดใสของรุ่ยอ๋องเฟยเข้าพอดี
หนิงอ๋องเฟยรีบสาวเท้ากลับ แล้วหันหน้าไปทางรถม้าคันหลัง “ช้าๆ หน่อย ตัวเองก็ตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ จะรีบอะไรนักหนาเล่า”
ถ้าไม่ห้ามไว้ คงได้เห็นรุ่ยอ๋องเฟยบินขึ้นฟ้าแน่ๆ
รุ่ยอ๋องเฟยหยุดยืนตรงหน้าหนิงอ๋องเฟยพลางฉีกยิ้มให้ ”อาการของท่านแม่ยายดีขึ้นหรือยังเพคะ”
“อืม ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” หนิงอ๋องเฟยพยักหน้ายิ้มให้ “เจ้าท้องโตขนาดนี้แทนที่จะอยู่นิ่งๆ เหตุใดถึงหาเรื่องออกมาข้างนอกเล่า”
รุ่ยอ๋องเฟยอธิบาย “ก็ข้าได้ยินว่าท่านพี่กลับมาแล้ว เลยอยากออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาข้าว่างเสียจนไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยลงเรียนทำอาหารดู นี่เป็นแปะก๊วยอบแห้งที่ข้าทำเองกับมือ ถ้าไม่รังเกียจ ท่านพี่ลองชิมขนมฝีมือข้าดูหน่อยไหมเพคะ”
เอ่ยจบ นางข้าหลวงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยื่นขวดโหลที่บรรจุแปะก๊วยอบแห้งให้แก่หนิงอ๋องเฟย
โดยมีนางข้าหลวงของหนิงอ๋องเฟยยื่นมือรับไว้
“เจ้าช่างมีน้ำใจนัก ข้ากำลังจะเข้าไปถวายพระพรฮองเฮากับพระสนมจงวงอยู่พอดี ไปด้วยกันไหม” หนิงอ๋องเฟยเอ่ยถาม
รุ่ยอ๋องเฟยยิ้มให้ พลางตอบ “ข้าก็กำลังจะไปอยู่เหมือนกัน!”
หนิงอ๋องเฟยมองดูหน้าท้องของรุ่ยอ๋องเฟยก็ถึงกับชะงัก “แต่ร่างกายของเจ้า…”
รุ่ยอ๋องเฟยโบกมือปัด “ไม่เป็นอะไรหรอกน่าท่านพี่ ข้านั่งรถม้าไปได้!”
แววตาหนิงอ๋องเฟยสะท้อนความอิจฉาออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือจูงคนตรงหน้า ”ดีเลย เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
อ๋องเฟยทั้งสองจึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักหลวง
เมื่อไปถึงตำหนักหลวง หนิงอ๋องเฟยดูแลรุ่ยอ๋องเฟยเป็นอย่างดี ระมัดระวังตัวยิ่งกว่านางเสียอีก
รุ่ยอ๋องเฟยครั้นจะพูดออกไปว่าไม่ต้องรู้สึกกังวลใดๆ เพราะการตั้งครรภ์ครั้งนี้ของนางก็ไม่ได้ต่างอะไรกันกับไม่มีครรภ์ พูดถึงตรงนี้ก็หวนนึกถึงว่าหนิงอ๋องเฟยแท้งลูกมาแล้วตั้งสามครั้ง แต่เอาเข้าจริงก็พูดไม่ออก
นางจึงพยายามทำท่าทางแสร้งว่าเดินเหินลำบาก
“ลำบากไหมท้องครั้งนี้” หนิงอ๋องเฟยชวนคุย
แววตาของรุ่ยอ๋องเฟยถึงกับเป็นประกายขึ้นมา “เอ่อ…ก็ลำบากนะเพคะ ไหนจะนอนไม่หลับ ไหนจะตะคริวกินขา”
แม่นมชอบถามคำถามแบบนี้กับนางตลอด ที่จริงนางแทบไม่ได้มีปัญหาอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ถ้าให้ตอบไปว่าไม่ลำบากก็ดูจะสบายเกินไป รุ่ยอ๋องเฟยจึงเลือกตอบไปว่าลำบากตรงที่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย
และแล้ว มันก็มาจริงๆ
“เป็นอะไรไปรึ” หนิงอ๋องเฟยสังเกตได้ถึงใบหน้าบูดเบี้ยวของรุ่ยอ๋องเฟย
รุ่ยอ๋องเฟยตอบด้วยความเขินอาย “คือข้า…อยากถ่ายเบาน่ะ”
หนิงอ๋องเฟย ”ตรงนู้นมีห้องน้ำอยู่ เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อนเอง”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าไปเองได้น่าท่านพี่” รุ่ยอ๋องเฟยรีบปฏิเสธ
“ให้เจ้าไปคนเดียวรึ ข้าไม่วางใจหรอก” หนิงอ๋องเฟยยังคงยืนกรานจะไปห้องน้ำด้วยกัน
และเมื่อทั้งสองคนมาถึงที่ห้องน้ำ จู่ๆ ก็บังเอิญเจอเข้ากับไท่จื่อเฟยที่เดินสวนออกมาพอดิบพอดี
ทั้งสามคนถึงกับสะดุ้ง
ตามหลักแล้ว ตำแหน่งของไท่จื่อเฟยสูงกว่าอ๋องเฟย แต่ไท่จื่อเฟยก็ยังคงเรียกหนิงอ๋องเฟยว่าท่านพี่สะใภ้อย่างนอบน้อม
รุ่ยอ๋องเฟยถึงกับมองกลอกตามองบน
เพราะนางไม่ชอบเวินหลินหลังเป็นทุนเดิม จึงไม่คิดจะญาติดีด้วย
อีกทั้งครั้งก่อนที่เห็นนางเอาแต่จอแจอยู่กับชายอื่น ก็ยิ่งทำให้รุ่ยอ๋องเฟยไม่ชอบหน้านางยิ่งขึ้นไปอีก
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าหนิงอ๋องและไท่จื่อไม่ถูกกัน แต่สำหรับหนิงอ๋องเฟยและไท่จื่อเฟย แม้พวกนางต่างคนต่างพยายามรักษาระยะห่างกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อกันอยู่แล้ว
หนิงอ๋องเฟยตอบรับคำทักทายของไท่จื่อเฟย
“หม่อมฉันมีธุระต้องขอตัวก่อน ขอตัวลาเพคะท่านพี่สะใภ้ ท่านน้องสาม” ไท่จื่อเฟยเอ่ย
“ข้าก็ขอตัวลาเช่นกัน” หนิงอ๋องเฟยเอ่ยตอบ
ส่วนรุ่ยอ๋องเฟยกลับมองบนใส่ไท่จื่อเฟยแทน
หลังจากที่ไท่จื่อเฟยเดินออกไปหนิงอ๋องเฟยก็รีบเอ็ดรุ่ยอ๋องเฟย “พอได้แล้ว เจ้ารีบไปเข้าห้องน้ำเถอะ”
“รู้แล้วน่า” รุ่นอ๋องเฟยรีบไปเข้าห้องน้ำ
ข้อเสียของการตั้งครรภ์ก็คือต้องเข้าห้องน้ำบ่อย หลังจากที่เข้าห้องน้ำเสร็จ ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิงกง
ด้วยความที่พวกนางมิใช่ลูกสะใภ้ของรัชทายาท พอถวายบังคมเป็นพิธีเสร็จก็เดินออกมาจากตำหนัก
ต่อมาพวกนางก็ไปยังตำหนักหย่งโซ่วของจวงกุ้ยเฟย คราวนี้ได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานกว่า ด้วยความที่จวงกุ้ยเฟยเองก็ลุ้นกับลูกในครรภ์ของรุ่ยอ๋องเฟยอยู่พอตัว
“จะได้พระโอรสไหมนะ” จวงกุ้ยเฟยเอ่ยพลางกุมมือของรุ่ยอ๋องเฟย
“เรื่องนี้หม่อมฉันลิขิตไม่ได้เลยเพคะ” รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยพลางหัวเราะ
“เจ้าชอบกินอาหารเปรี้ยวหรืออาหารเผ็ดล่ะ” จวงกุ้ยเฟยเอ่ยถาม
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยตอบไปตามจริง “ชอบหมดเลยเพคะ บางครั้งก็อยากของเผ็ด บางทีก็เปรี้ยวปากอยากกินของเปรี้ยว และบางครั้งก็อยากของหวานด้วยเพคะ”
สีหน้าของหนิงอ๋องเฟยเริ่มไม่สู้ดีนัก
พระสนมเฟยเป็นห่วงความรู้สึกของลูกสะใภ้ จึงไม่เอ่ยถามถึงเรื่องบุตรต่อ จากนั้นก็ตามแม่นมคนสนิทให้มาเข้าพบ “เจ้าไปถามทีนะว่าหนิงอ๋องกับรุ่ยอ๋องอยู่ที่ไหน หากพวกเขาอยู่ที่วัง ช่วยไปตามให้มาเสวยอาหารที่ตำหนักหย่งโซ่วด้วย อ้อ แล้วก็ไปตามอวี๋เฟยมาด้วย”
อวี๋เฟยคือพระมารดาขององค์ชายสาม
ตั้งแต่ที่เหล่าองค์ชายถูกจัดให้แยกกันอยู่ในแต่ละตำหนัก พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าออกวังได้ตามอำเภอใจได้ แต่สำหรับจวงกุ้ยเฟยแล้ว คงไม่ยากนักที่จะได้เรียกบุตรชายของตัวเองให้มาเข้าพบ
ไม่นาน หนิงอ๋องเฟยและรุ่ยอ๋องเฟยก็เสด็จมาที่ตำหนัก
“ท่านอ๋อง” หนิงอ๋องเฟยถวายบังคมให้หนิงอ๋อง
หนิงอ๋องรีบเดินเข้ามาพยุงร่างของนางพลางกุมมือ “คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องพิธีรีตอง”
หนิงอ๋องเฟยยิ้มให้พลางน้อมรับ “เพคะ”
จากนั้นไม่นาน อวี๋เฟยก็ตามมาสมทบด้วยอีกคน จวงกุ้ยเฟยจึงรีบเรียกให้บ่าวยกอาหารมาวาง
จวงกุ้ยเฟยนั่งข้างอวี๋เฟย ส่วนคู่สามีภรรยาก็นั่งข้างๆ กัน
เมื่อเทียบกันแล้ว คู่ของหนิงอ๋องดูเรียบร้อยและอ่อนโยน
ในขณะที่คู่ของรุ่ยอ๋อง แม้มองเผินๆ จะดูเรียบร้อยไม่มีอะไร แต่รุ่ยอ๋องกลับกำลังใช้เท้าสะกิดขาภรรยาของตัวเอง
รุ่ยอ๋องเฟยถลึงตาใส่เขา พยายามจะสื่อว่า ‘กินข้าวของเจ้าไปสิ!’
รุ่ยอ๋องใช้มือแกะกุ้งให้รุ่ยอ๋องเฟย พอวางกุ้งลงบนจาน เขาเพิ่งจะสังเกตได้ว่าทุกสายตากำลังจ้องมาที่เขา
รุ่ยอ๋องถึงกับชะงักไป เขาลืมไปว่าตอนนี้เขาอยู่ในตำหนักหลวง มิใช่ตำหนักของตัวเอง
ทั้งสองถึงกับทำตัวไม่ถูก
หนิงอ๋องพอเห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา “กุ้งที่นี่ไม่เลวเลย” เขาเอ่ยพลางแกะกุ้งให้หนิงอ๋องเฟย “เจ้าลองชิมสิซู่ซิน”
ซู่ซิน เป็นชื่อเล่นที่หนิงอ๋องตั้งให้
หนิงอ๋องเฟยยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง”
…
พอเสร็จจากมื้อกลางวัน ก็ถึงเวลาพักผ่อนของจวงกุ้ยเฟย ต่างคนจึงต่างแยกย้าย อวี๋เฟยเดินทางกลับตำหนักของตัวเอง ส่วนหนุ่มสาวอีกสี่คนกำลังมุ่งหน้าไปยังนอกวัง
“ระวัง” ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ หนิงอ๋องรีบใช้มือบังให้หนิงอ๋องเฟย
พอหนิงอ๋องเอามือลง ก็พลันสังเกตเห็นว่ามีแมลงเกาะที่หลังมือของเขา
รุ่ยอ๋องเฟยไม่แน่ใจว่านี่คืนต้นอะไร แต่มักจะมีแมลงที่พ่นหยากไย่ได้เกาะอยู่ที่ต้นไม้ชนิดนี้
ข้างหน้านางมีแมลงเกาะอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าหนิงอ๋องไม่เอ่ยเตือน ป่านนี้นางคงเดินชนรังเจ้าแมลงที่ว่านี้ไปแล้ว
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ใหญ่ช่างสังเกตยิ่งนัก!”
จู่ๆ รุ่ยอ๋องพึมพำ “ข้าเองก็เป็นคนช่างสังเกตเหมือนกันนะ!”
รุ่ยอ๋องเฟยย้อนถามกลับ “อ้อ เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องถึงไม่บอกให้ข้าระวังบ้างล่ะ”
รุ่ยอ๋องเกาหัว “ก็ข้า…”
“ท่านทำไมรึ” รุ่ยอ๋องเฟยถาม
“ก็ข้ากำลังจะเขี่ยมันออกให้เจ้าอยู่นี่ไงล่ะ!” รุ่ยอ๋องยืนกรานที่จะไม่ยอมรับว่าเขาไม่ทันระวังจริงๆ นั่นแหละ!
รุ่ยอ๋องเฟยถอนหายใจ “ท่านน่ะช่างสังเกตสู้ท่านพี่ใหญ่ไม่ได้หรอก!”
แน่นอนว่าประโยคนี้เขาเถียงไม่ออก เพราะท่านพี่ใหญ่เป็นคนช่างสังเกตที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ทั้งกับพี่สะใภ้ และกับน้องๆ แม้แต่กับไท่จื่อเองก็ตาม
อารมณ์ของคนท้องมักขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด เมื่อครู่รุ่ยอ๋องเฟยยังทะเลาะกับรุ่ยอ๋อง แต่พอไม่กี่วิต่อมา นางก็เริ่มตัดพ้อ “เจ้าว่า …ถ้าข้าเก็บครรภ์นี้ไว้ไม่ได้ ท่านจะยังรักและห่วงใยข้าเหมือนท่านพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้หรือไม่”
รุ่ยอ๋องพอได้ยินดังนั้นก็จ้องเขม็งกลับ “เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ อย่าพูดเป็นลางนะ! ลูกของข้าออกจะแข็งแรงดี!”
“ข้าก็แค่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ข้าแค่มองว่าท่านพี่ใหญ่ดีต่อพี่สะใภ้มากๆ เลยล่ะ” รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย
แน่นอนว่าประโยคนี้รุ่ยอ๋องเองก็เถียงกลับไม่ได้อีกตามเคย
ทั้งหนิงอ๋องและหนิงอ๋องเฟยต่างก็รู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้จะไม่ใช่คู่รักกันตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ถูกบังคับให้จับคู่กันเสียทีเดียว
หลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกัน เรื่องที่น่าเสียดายที่สุดคือการที่หนิงอ๋องเฟยไม่สามารถมีบุตรได้ แต่โชคดีที่หนิงอ๋องไม่เคยทอดทิ้งนาง แถมยังคอยพูดแต่เรื่องดีๆ ของหนิงอ๋องเฟยให้จวงกุ้ยเฟยได้ฟัง
ที่จริงแล้ว จวงกุ้ยเฟยจะไม่ใช่คนที่ใครเข้าหาได้ง่ายนัก ต้องยกความดีความชอบให้แก่หนิงอ๋อง
เขาคือบุรุษผู้ไม่เคยละเลยความรู้สึกของภรรยา
รุ่ยอ๋องเฟยกระตุกชายเสื้อของคู่ตัวเอง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ไหนท่านสัญญากับข้าซิว่าท่านจะปฏิบัติตัวกับข้าเฉกเช่นท่านพี่ใหญ่กับท่านพี่สะใภ้ไปตลอดน่ะ”