สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 414 สารภาพ (1)
บทที่ 414 สารภาพ (1)
รุ่ยอ๋องหยิกเข้าที่พวงแก้มของรุ่ยอ๋องเฟยหนึ่งที “ซื่อบื้อ เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร เจ้าเป็นภรรยาของข้านะ จะให้ข้าดีกับใครถ้าไม่ใช่เจ้าน่ะ!”
“อะแฮ่ม” หนิงอ๋องกระแอมหนึ่งที “ไปกันเถอะ”
รุ่ยอ๋องเฟยรีบชักมือกลับ ส่วนรุ่ยอ๋องเองก็รีบเอามือเกาหัว หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำเป็นเดินห่างกันโดยมิได้นัดหมาย
ตัดภาพไปที่คู่ของหนิงอ๋องและหนิงอ๋องเฟยที่เดินจูงมือกันอย่างไม่กลัวสายตาใคร
แม้กฎเกณฑ์ในรัชศกนี้จะเปิดกว้างกว่ารัชศกก่อนๆ แต่การจับมือถือแขนกันในที่สาธารณะก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อยู่ดี
แม้หนิงอ๋องเฟยจะรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง แต่พอเจอเข้ากับรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ของสามี ก็ปฏิเสธไม่ลง
ทั้งสี่คนเดินออกจากวัง รถม้าของทั้งสองตำหนักจอดรอรับอยู่หน้าประตูวัง รุ่ยอ๋องและรุ่ยอ๋องเฟยขึ้นรถม้าคันเดียวกัน ส่วนคู่ของหนิงอ๋องและหนิงอ๋องเฟยเองก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ทว่า
หนิงอ๋องกุมมือหนิงอ๋องเฟยพลางเอ่ย “เสด็จพ่อเรียกข้าไปที่ห้องทรงงาน เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
หนิงอ๋องเฟยรีบเอ่ย “มีเรื่องด่วนขนาดนี้เหตุใดจึงไม่พูดออกมาเล่า”
หนิงอ๋องยิ้มให้นางพลางตอบ “ก็ข้าอยากออกมาส่งเจ้านี่นา ข้าต้องเห็นเจ้าขึ้นรถม้าไปก่อนถึงจะวางใจได้”
รุ่ยอ๋องเฟยได้แต่อิจฉาตาร้อนความรักของท่านพี่ทั้งสอง
หนิงอ๋องเฟย “เช่นนั้นท่านรีบไปหาเสด็จพ่อเถิด ข้ากลับก่อนล่ะ”
หนิงอ๋องแย้มยิ้ม “อืม”
หลังจากร่ำลาเสร็จ หนิงอ๋องเฟยก็เดินหันหลังขึ้นรถม้าไป
“ท่านพี่ พวกเราไปก่อนล่ะ” รุ่ยอ๋องเอ่ยลา
หนิงอ๋องพยักหน้าพลางเอ่ย “เรื่องที่เราคุยกัน เจ้าอย่าลืมเอากลับไปคิดล่ะ ไว้ข้าจะแจ้งเสด็จพ่ออีกแรง”
“ได้เลย!” รุ่ยอ๋องหัวเราะ
“ท่านพี่จะให้ท่านทำอะไรหรือ” รุ่ยอ๋องเฟยกระซิบถาม
“เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟัง” ขณะที่รุ่ยอ๋องกำลังช่วยพยุงร่างของภรรยาขึ้นรถม้า จู่ๆ ก็มีเสียงประกาศของรถม้าอีกคันที่กำลังเข้ามาเทียบจอด
รถม้าที่ว่านั้นเคลื่อนตัวมาด้วยความเร็วจนเกือบจะชนเข้ากับรถม้าของพวกเขา
โชคยังดีที่หยุดรถไว้ได้ทัน
ในตอนนั้นเอง หนิงอ๋องได้รีบไปยืนบังหน้าพร้อมกับเตรียมชักดาบออกมาหากเกิดชนเข้าจริงๆ
ม่านของรถม้าเจ้าปัญหาถูกเปิดออก ปรากฏร่างของชายหนุ่มสีผิวต้นข้าวสาลีเดินลงมาจากรถ ใบหน้าของเขาคมคาย และมีรอยยิ้มที่เปล่งประกาย
ในมือของเขาถือพัดเล่มหนึ่ง
เส้นผมของเขาถูกมัดไว้ข้างหลังพร้อมกับปอยผมที่ปล่อยลงมาบริเวณใบหน้าซีกขวา
“โอ้โห ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ได้เจอกับท่านหนิงอ๋องและท่านรุ่ยอ๋อง” เขาถือพัดไว้ในมือขณะที่กุมมือโค้งคำนับ
“องค์ชายหกรึ” รุ่ยอ๋องเอ่ยพลางขมวดคิ้วเป็นปม
ใช่แล้ว บุรุษผู้นี้ก็คือหยวนถัง องค์ชายหกแห่งแคว้นเฉิน
วันนี้การแต่งตัวของเขาดูจะประหลาดกว่าปกติเล็กน้อย ทั้งทรงผม ทั้งเสื้อผ้า
ด้วยบุคลิกของเขาที่ไม่ใช่สายบุ๋น แต่ให้ความรู้สึกถึงพลังงานบวกและความสดใส ซึ่งเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย
หยวนถังยิ้มเอ่ย “ท่านรุ่ยอ๋อง มิได้เจอกันเสียนาน ท่านนี้ก็คือท่านรุ่ยอ๋องเฟยสินะ เคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อน”
หนิงอ๋องรีบไปยืนรับหน้า และกันคนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง “ที่ท่านองค์ชายหกมาที่นี่วันนี้นั้นเพื่อจะมาแข่งม้าในวังหรือ”
หยวนถังยกมือคารวะให้หนิงอ๋อง พลางหัวเราะ “มิบังอาจ แค่รีบเข้ามาทักทายพวกท่าน ก็เลยคุมม้าไม่อยู่”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงเบา “พวกเรามิได้คุ้นเคยกันขนาดนั้น ไม่มีความจำเป็นที่ท่านต้องรีบเข้ามาทักทาย”
หยวนถังเลิกคิ้วเอ่ยถาม “นี่น่ะหรือวิธีที่พวกท่านต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองน่ะ”
หนิงอ๋องเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านเป็นองค์ชายนี่นา มิใช่แขก”
หยวนถังทำท่าเอามือกุมหน้าอก “ไอ้หยา ช่างใจร้ายเหลือเกิน เดิมทีข้าวางแผนไว้ว่าจะไปดูนกสวยงาม เลยกะว่าจะพาพวกท่านไปด้วยกันเสียหน่อย แต่ดูเหมือนพวกท่านไม่อยากไปด้วยสินะ เช่นนั้นข้าขอลาล่ะ”
พูดจบก็ยกมือถวายบังคมแล้วรีบขึ้นรถม้าออกไป
ในขณะที่องค์ชายหกเดินผ่านรุ่ยอ๋องเฟย จู่ๆ ลมก็มีพัดเข้ามาจนปอยผมของเขาเลิกขึ้น ทำให้รุ่ยอ๋องเฟยได้เห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน
“อ๊ะ” รุ่ยอ๋องเฟยตกใจจนเผลอทำผ้าในมือร่วงหล่นลงพื้น
“รุ่ยอ๋องเฟย…” หยวนถังหันกลับมาหานาง
รุ่ยอ๋องเฟยถึงกับเดินถอยกรูแล้วหันไปซบอกของรุ่ยอ๋อง “ดูสิ เจ้าทำนางตกใจแล้วเห็นไหม!” รุ่ยอ๋องตะคอกเสียง
“ขะ ขออภัยด้วย” หยวนถัง ยกมือถวายบังคมพลางขอโทษ
หลังจากที่หยวนถังออกไป หนิงอ๋องจึงรีบหันไปถามพวกเขา “เกิดอะไรขึ้นรึเมื่อครู่นี้”
ผ้าของรุ่ยอ๋องเฟยที่ตกอยู่บนพื้นถูกบ่าวเก็บขึ้นมาแล้ว
รุ่ยอ๋องยื่นมือตบที่ไหล่ของรุ่ยอ๋องเฟยเบาๆ “นั่นสิ เมื่อครู่นี้เจ้านั่นมันจงใจทำให้เจ้าตกใจรึ”
รุ่ยอ๋องเฟยส่ายหัว “ปะ เปล่า ข้าแค่…ตกใจเกินไปหน่อย”
“เจ้าตกใจอะไรหมอนั่น ใช่ว่าไม่เคยเจอกันเสียหน่อย” รุ่ยอ๋องทำหน้าไม่เข้าใจ
หยวนถังเป็นองค์ชายจากแคว้นเฉินที่มาประจำอยู่ที่แคว้นเจา และมักจะไม่เข้าร่วมการชุมนุมของราชวงศ์แคว้น แต่เมื่อเขามาที่นี่เป็นครั้งแรกเพื่อแสดงศักดิ์ศรีและให้เกียรติแก่ราชวงศ์ของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับสำหรับเขาและคณะทูตของแคว้นเฉิน
รุ่ยอ๋องเฟยลังเลอยู่นานสองนาน ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนบังเอิญไปพบว่าไท่จื่อเฟยไปพัวพันกันบุรุษอื่นให้ฟัง
“นี่เจ้า เจ้า…” รุ่ยอ๋องตกใจจนพูดติดอ่าง “เจ้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม เป็นไท่จื่อเฟยกับหยวนถังจริงหรือ”
รุ่ยอ๋องเฟยพยายามนึกภาพเหตุการณ์ในวันนั้น “พวกเขาจงใจคุยกันเสียงเบา ข้าฟังไม่ออกหรอกว่าเป็นเสียงของใคร แต่มีอยู่ประโยคนึงที่ข้าได้ยินชัดเจน ไท่จื่อเฟยพูดว่า ‘เจ้าทำอะไรไว้กับชุนหยิง’ ชุนหยิงคือนางข้าหลวงคนสนิทของไท่จื่อเฟย หลังจากนั้น ข้าก็เห็นไท่จื่อเฟยเดินออกมาจากภูเขาในสวนหลวง ข้าเลยมั่นใจว่าจะต้องเป็นไท่จื่อเฟยอย่างแน่นอน”
“แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าชายคนนั้นคือหยวนถัง”
ประโยคนี้หนิงอ๋องเป็นคนถาม
รุ่ยอ๋องเฟยย่นคิ้วลง พลางเอ่ย “ข้าได้ยินเสียงตบดังขึ้น เมื่อครู่นี้ข้าเผลอไปมองใบหน้าของหยวนถัง หน้าของเขามีรอยแดงบวมเป็นรูปฝ่ามืออย่างกับโดนตบมา ข้าเลยโยงไปถึงเรื่องนั้น…”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องดีต่อราชวงศ์ ว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับองค์ชายแคว้นเฉิน หากถูกแพร่งพรายออกไปจะต้องมีคนได้รับโทษถึงประหารอย่างแน่นอน
รุ่ยอ๋องแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “เจ้าหยวนถัง ไม่หน้าด้านเกินไปหน่อยหรือ…ไหนจะไท่จื่อเฟยอีกคน เหตุใดนางถึงไปมีสัมพันธ์กับองค์ชายแคว้นเฉินได้ล่ะ ดูๆ แล้วนางก็ไม่น่าใช่คนแบบนั้นเลยนี่นา…”
“เจ้าพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ก็พวกเจ้าน่ะมัวแต่ตาบอด! ข้าน่ะบอกเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่านางน่ะไม่ใช่สตรีใสซื่อธรรมดาแน่นอน นางเคยหมั้นหมายกับเซียวเหิงไว้แล้ว แต่จู่ๆ ก็มาผูกสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทแทน คราวนี้พอมีองค์รัชทายาทแล้ว ก็ดันไปยุ่งกับชายอื่นอีก”
“เจ้าว่าใครตาบอดฮะ” รุ่ยอ๋องเริ่มไม่พอใจ
“ก็ว่าเจ้านั่นแหละ!” รุ่ยอ๋องเฟยโต้กลับทันควัน แต่พอระลึกได้ว่าหนิงอ๋องก็อยู่ตรงนั้นด้วย เลยต้องรีบพูดแก้เขิน “ข้าไม่ได้หมายถึงท่านพี่นะ ท่านพี่เป็นคนที่ตาถึงที่สุดในวังแห่งนี้แล้ว! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าเคยสนใจเวินหลินหลังน่ะ! องค์ชายสี่ก็ด้วย! มีแต่ท่านพี่เท่านั้นแหละที่ไม่สนใจนาง!”
รุ่ยอ๋องกระแอมหนึ่งที “เรื่องมันก็นานมาแล้ว…”
ตอนนั้นเขาเผลอหลงเสน่ห์ของเวินหลินหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ภายหลังเขาก็ไม่ได้สนใจเวินหลินหลังแล้วนี่นา
ตอนนี้ทั้งตัวและหัวใจของเขามีแค่ตู้เชียนเชียนคนเดียวเท่านั้น!
“จะว่าไปแล้ว…ถ้านี่เป็นเรื่องจริง…นางทำเรื่องแบบนั้นได้ลงคอได้อย่างไร แล้วไท่จื่อล่ะ แล้วเสด็จพ่อล่ะ ไหนจะราษฎรของพวกเราล่ะ ท่านพี่ ควรเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้เสด็จพ่อทราบดีไหม”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไท่จื่อเฟยสวมเขาให้ไท่จื่อหรอก แต่อยู่ที่คนที่นางเข้าหาดันเป็นองค์ชายจากแคว้นเฉินนี่สิ
หนิงอ๋องครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนให้คำตอบ “พวกเจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน เราปรักปรำใครโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้เด็ดขาด” เขาเอ่ย พลางมองไปทางหนิงอ๋องเฟย “น้องสะใภ้สาม เจ้าจะรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านพูดได้หรือไม่ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ฟังผิด”
รุ่ยอ๋องเฟยนึกย้อนเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง ก่อนพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ข้าแน่ใจ!”