สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 418 ความลับของนาง (1)
บทที่ 418 ความลับของนาง (1)
เมื่อกู้เจียวตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองนั้นนอนอยู่ในห้องที่คุ้นเคยก็ไม่ใช่จะว่าแปลกตาก็ไม่เชิง แปลกตาเพราะไม่ใช่ห้องฝั่งตะวันตกของนางแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เรือนเล็กในโรงหมอด้วย
แต่ที่คุ้ยเคยก็เพราะคล้ายว่านางเคยมาที่นี่มาก่อน
“ตื่นแล้วหรือ”
เสียงเรียบของสตรีผู้หนึ่งดังมาจากริมหน้าต่าง
กู้เจียวเหลียวไปมอง ก็พบว่าเป็นองค์หญิงซิ่นหยางในชุดแสนเรียบง่าย กำลังคัดอักษรอยู่ริมหน้าต่าง
กู้เจียวนึกออกแล้ว
นี่คือห้องขององค์หญิงซิ่นหยาง
เช่นนั้นแล้วตอนนี้นางอยู่ที่เรือนบนถนนจูเฉี่ยวอย่างนั้นหรือ
แต่เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้ นางจำไม่ได้เลยสักนิด
องค์หญิงซิ่นหยางคัดอักษรแผ่นหนึ่งเสร็จ ก็นำมาวางไว้อีกฝั่งหนึ่งอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมาคัดต่อ “หลงอิ่งเก็บเจ้ากลับมา ทั้งยังดึงดันว่าจะวางเจ้าบนเตียงข้าให้ได้”
น้ำเสียงรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
นางใช้คำว่าเก็บ ฟังดูเหมือนหลงอีเป็นคนทำเองโดยพลการ องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่คนสั่งการเขา
กู้เจียวไม่ได้ถามว่าหลงอีหาตัวเองพบได้อย่างไร ถามไปก็เท่านั้น นางเอ่ยต่อ “เช่นนั้นท่านก็ห้ามเขาสิ”
“เหอะ” องค์หญิงซิ่นหยางส่งเสียงค่อนแคะ “ข้าก็อยากทำเช่นนั้นอยู่หรอก”
กู้เจียวก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเอง เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด
องค์หญิงซิ่งหยางเอ่ยเสียงเรียบ “เสื้อผ้าของอวี้จิ่น เจ้าคิดว่าข้าให้เจ้าใส่เสื้อผ้าของข้าอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียว ‘เหตุใดถึงได้รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ไปเสียหมด’
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นทหารพลีชีพของแคว้นเยียนหรือ”
“เอ๊ะ” กู้เจียวชะงักไป
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงไม่ยี่หระ “เลือดท่วมตัวเช่นนั้น แต่ไม่ใช่เลือดของเจ้าเลยสักหยด อย่าบอกนะว่าเจ้าใช้เลือดอาบน้ำน่ะ”
กู้เจียวถามอย่างประหลาดใจ “แล้วเกี่ยวอะไรกับทหารพลีชีพแคว้นเยียนอย่างนั้นหรือ”
“ดูท่าแล้วเจ้าคงจำไม่ได้เลยสักนิดจริงๆ สินะ” ในที่สุดองค์หญิงซิ่นหยางก็มองตรงมาที่กู้เจียวเสียที แต่ก็มองนิ่งเพียงครู่แล้วเบนสายตาไปทางอื่น “สภาพของเจ้ายามมาถึงที่นี่ ราวกับทหารพลีชีพที่เสียสติ อีกอย่างทหารพลีชีพนั้นมีเพียงแคว้นเยี่ยนเท่านั้นที่มี หลงอีเองก็มาจากแคว้นเยี่ยน”
กู้เจียวเอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ใช่ทหารพลีชีพ”
องค์หญิงซิ่นหยางชะงักไปก่อนจะพยักหน้า “ก็จริง ไม่มีทหารพลีชีพนายใดที่มีรังสีอำมหิตเช่นเจ้า”
กู้เจียว “…”
ก่อนจะจิกกัดกันช่วยส่งสัญญาณบอกก่อนจะได้ไหม
นึกว่านางจะพูดว่า ‘ก็จริง เจ้าเป็นลูกสาวจวนติ้งอันโหวนี่’ เสียอีก
กู้เจียวไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานเท่าใด ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว นางรู้เพียงแค่ว่าหิวมาก ไม่ทันไรท้องก็ร้องโครกครากขึ้นมา
องค์หญิงซิ่นหยางคัดอักษรตัวสุดท้ายเสร็จก็วางพู่กันลง แววตานั้นยังไม่ปรายมองกู้เจียวเช่นเคย แต่กลับจับจ้องไปยังอักษรที่นางเพิ่งเขียนเสร็จบนกระดาษ “เจ้าจะกินคนเดียวหรือกินพร้อมกับข้า”
กินพร้อมกันอย่างนั้นรึ กินอาหารค่ำน่ะหรือ
นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว องค์หญิงซิ่นหยางยังไม่ได้กินข้าวอีกหรือ
กู้เจียวคิดพลางเอ่ย “หากไม่รบกวน ข้าอยากจะขอกินคนเดียว”
องค์หญิงซิ่นหยางเก็บแบบลอกลายอักษร ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
ไม่นานก็มีสาวใช้นางหนึ่งยกถาดเดินเข้ามาในห้อง บนนั้นมีอาหารสามอย่าง น้ำแกงอีกหนึ่งถ้วย ทั้งยังมีผลไม้อีกหนึ่งจานเล็ก แม้จำนวนจะไม่มาก แต่หน้าตานั้นงดงาม
สาวใช้วางถาดลงบนโต๊ะเป็นอันดับแรก ก่อนนำโต๊ะเตี้ยสะอาดสะอ้านที่ใช้สำหรับวางบนเตียงอุ่นโดยเฉพาะออกมา แล้วตั้งมันบนเตียงที่กู้เจียวนอนอยู่
เดิมทีกู้เจียวตั้งใจจะบอกว่านางลงจากเตียงไปกินก็ได้ แต่สาวใช้ทำถึงขนาดนี้แล้ว กู้เจียวก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ
“ข้ารออยู่ด้านนอกนะเจ้าคะ หากแม่นางมีอะไรก็เรียกข้าได้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยเสียงนอบน้อมก่อนจะออกจากห้องไป
กู้เจียวเตรียมจะลงมือกินมื้อคำของตัวเอง
แต่ใครจะไปคาดคิดกันว่า หลงอีจะโผล่เข้ามาในห้อง
มือของกู้เจียวสั่นเครือ ตะเกียบที่เพิ่งคว้าขึ้นมาก็ร่วงตกลงด้วยความตกใจ
ไม่หรอกกระมัง…จะมาให้นางหักดินสอเล่นด้วยอีกแล้วหรือ!
กู้เจียวทำใจดีสู้เสือจ้องมองหลงอีอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่เห็นเขาหยิบดินสอออกมา นางจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ดูท่าจะไม่ใช่
เช่นนั้นจะมาหานางทำไม
กู้เจียวมองหลงอี สองมือของหลงอีกไขว้อยู่ด้านหลัง สายตาจ้องเขม็งไปที่อาหารตรงหน้ากู้เจียว ดูเหมือนกำลังตั้งตารอคอยอะไรบางอย่าง
ดวงตาของกู้เจียวขยับไหวล่อกแล่ก “เจ้าก็อยากกินหรือ”
หลงอีไม่ขยับไหว
เดาผิดอย่างนั้นรึ กู้เจียวคิดอยู่นานสองนาน “เจ้ากำลังเตือนให้ข้ารีบกินข้าวอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางของหลงอียังคงไม่เปลี่ยน
ทายผิดอีกแล้ว
น่าปวดหัวนักที่องครักษ์หลงอิ่งพูดไม่ได้ อะไรก็ต้องให้นางคาดเดาไปเสียหมด
กู้เจียวเดาอย่างไรก็เดาไม่ถูกว่าคราวนี้หลงอีมาทำอะไร นางคิดแล้วคิดก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคงไม่ได้อยากจะป้อนข้าวข้าหรอกใช่ไหม”
สายตาของหลงอีเป็นประกาย
กู้เจียวมองฝ่ามือที่อยู่ด้านหลังเขา หากไม่คิดอะไรมากก็แค่ป้อนข้าวไม่ใช่หรือ เห็นแก่ที่เขาช่วยชีวิตนางกลับมา ยอมก็ได้
“ก็ได้” นางวางตะเกียบลง “เจ้ามาป้อนสิ”
ยังไม่เคยมีองครักษ์หลงอิ่งมาป้อนข้าวเลย สองภพสองชาติก็ไม่สามารถหาประสบการณ์เช่นนี้ได้
หลงอีนำอุปกรณ์ป้อนอาหารที่ซ่อนไว้ข้างออกมาด้วยท่าทางแสนดีใจ
พอกู้เจียวเห็นชัดว่าคือสิ่งใดก็แทบจะล้มตึง!
คนอื่นเขาใช้ช้อนป้อนข้าวกัน แต่ทำไมเจ้าถึงเอาตะหลิวมาด้วย!
นี่เจ้าเอาจริงหรือนี่
องค์หญิงซิ่นหยางกำลังกินข้าวอยู่ห้องถัดไป กู้เจียวเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาคิดดูแล้ว กินข้าวคนเดียวเช่นนั้นคงเสียมารยาทนัก ข้ามากินกับองค์หญิงน่าจะดีกว่า”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้พูดว่าอนุญาตหรือปฏิเสธ กู้เจียวก็ทึกทักเอาเองว่านางตกลง นางนั่งลงตรงหน้าองค์หญิงซิ่นหยาง
เดิมที่บนโต๊ะมีชามและตะเกียบอีกคู่หนึ่งวางอยู่ แต่กู้เจียวไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่มีชามตะเกียบตั้งอยู่ แต่กลับเลือกนั่งในตำแหน่งถัดมา
หลังจากนางนั่งลงก็ไม่ได้หยิบชามตะเกียบคู่นั้นขึ้นมา
แววตาของอวี้จิ่นไหววูบ
“เจ้าก็นั่งลงกินด้วยกันสิ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยกับจิ่นอวี้
“เพคะ” อวี้จิ่นเพิ่มชามตะเกียบให้กู้เจียวอีกหนึ่งชุด ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีชามตะเกียบตั้งไว้อยู่ก่อนหน้า
นางมองกู้เจียวด้วยความสงสัย
ไม่มั่นใจว่ากู้เจียวนั้นบังเอิญหรือว่ารู้แต่แรกว่าตนเองตั้งใจจะร่วมโต๊ะอาหารกับองค์หญิงซิ่นหยาง
กู้เจียวก้มหน้าก้มตากินข้าว ราวกับไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากกินข้าว
สีหน้าของอวี้จิ่นดูผ่อนคลายลง ก่อนจะเริ่มกินอย่างละเมียดละไม
อันที่จริงใช่ว่ากู้เจียวจะไม่สนใจเรื่องใดเลย เพียงแค่นางไม่แสดงสีหน้าออกมาเท่านั้น นางกินข้าวไปพลาง แอบสังเกตองค์หญิงไปพลาง
ทุกท่วงท่าขององค์หญิงซิ่นหยางนั้นช่างอ่อนช้อย เป็นความน่าเกรงขามและความสง่างามที่ออกมาจากภายใน กู้เจียวนึกถึงเซียวลิ่วหลังขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เซียวลิ่วหลังเองเป็นเช่นนี้ แม้ตอนนั้นจะอยู่ที่ชนบท ต่อให้เขาสวมเสื้อผ้าที่มีแต่รอยเย็บปะ แต่นั่นก็ไม่อาจบดบังใบหน้าและกิริยาอันงดงามของเขาได้
กู้เจียวไม่เคยเห็นว่าแต่ก่อนเซียวลิ่วหลังเป็นเช่นไร เพราะอย่างนั้นจึงไม่เหมือนจี้จิ่วอาวุโสที่รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ความจริงแล้ว ต่อให้คนคนหนึ่งนิสัยเปลี่ยนไปแค่ไหน กิริยาภายนอกต่างออกไปเพียงใด ความเคยชินต่างจากเดิมเพียงใด… แต่บางท่วงท่าหรือสีหน้านั้นกลับไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
บางสิ่งที่จงใจเปลี่ยนได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้ แต่บางนิสัยที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัว คงไม่มีทางเปลี่ยนได้
แม้แต่ตัวเซียวลิ่วหลังเองยังไม่รู้ว่ายามเขาได้กินของอร่อย ดวงตาจะกะพริบถี่สองครั้ง หากกินของไม่อร่อย หัวคิ้วข้างซ้ายจะกดต่ำลง
องค์หญิงซิ่นหยางเองก็เป็นเช่นนั้น
เพียงแต่อาหารบนโต๊ะนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ของโปรดของนางแม้แต่นิด
ทั้งสามคนกินข้าวเสร็จอย่างเงียบเชียบ จากนั้นองค์หญิงซิ่นหยางก็ไปยังห้องที่อยู่ถัดกัน