สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 420 พร้อมหน้า (1)
บทที่ 420 พร้อมหน้า (1)
ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกถังหยวนเป็นแพะรับบาป เช่นนั้นก่อนที่รุ่ยอ๋องเฟยจะออกหน้าเป็นพยาน ช่วงนี้จึงไม่ต้องห่วงว่านางจะอันตรายถึงชีวิต
กู้เจียวออกมาจากจวนรุ่ยอ๋อง
นางนั่งรถม้าของโรงหมอ
เพิ่งจะไปได้ไม่ทันไร ก็มีคนมาขวางหน้ารถม้าไว้
เป็นหยวนถังนั่นเอง
หยวนถังเดินมาข้างรถม้า เลิกม่านรถขึ้นเอ่ยกับกู้เจียว “เมื่อคืนข้ากลับวังมาคิดทั้งคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องมันแปลกๆ เจ้าเพิ่งถามข้าว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับไท่จื่อเฟยแคว้นเจาของพวกเจ้าหรือไม่ พอกลับไปข้าก็โดนคนไล่ฆ่าทันที บอกมาตามตรงว่าเจ้ารู้อะไรมาใช่หรือไม่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์แคว้นเจาของพวกเจ้าหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่อาจบอกได้”
หากบอกความจริงไปแล้วเจ้าเปิดเผยที่อยู่ในวันนั้นของเจ้าออกมาสร้างข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบ เช่นนั้นรุ่ยอ๋องเฟยก็จะสูญเสียคุณสมบัติของการเป็นพยานปรักปรำเจ้าน่ะสิ
ทีนี้รุ่ยอ๋องเฟยก็จะตกอยู่ในอันตรายแน่
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของรุ่ยอ๋องเฟย จึงขอรบกวนฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นเฉินให้ตกนรกทั้งเป็นชั่วคราวไปก่อนก็แล้วกัน
กู้เจียวเลิกม่าน ก่อนแย้มยิ้มเอ่ย “หลายวันมานี้อาจจะมีคนมาลอบสังหารเจ้าไม่หยุดไม่หย่อนหน่อยนะ ระวังตัวด้วยล่ะ”
นางเอ่ยจบก็ปล่อยม่านรถลง แล้วเอ่ยกับเสี่ยวซานจื่อ “ไปกันเถอะ!”
รถม้าจากไปไม่ทิ้งฝุ่น!
หยวนถังโมโหจนกระทืบเท้า
“เฮ้ย เฮ้ย! เจ้าพูดให้มันชัดๆ นะ! ใครมันคิดจะฆ่าข้ากันแน่!”
โว้ยยย!
หญิงผู้นี้นี่!
พูดอะไรคลุมเครือน่าโมโหยิ่งนัก!
หยวนถังคำรามอย่างเดือดดาล “นางหนู! อย่าคิดว่าเจ้าวางตัวเป็นคนนอกได้แล้วคนที่คิดจะฆ่าข้าจะไม่ไปฆ่าเจ้านะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะรอดรึ เจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับข้าตั้งนานแล้วต่างหาก!”
กู้เจียวกลับไม่ได้ให้หยวนถังไปเสี่ยงอันตราย อีกฝ่ายลอบสังหารคราแรกไม่สำเร็จ เดาไพ่ที่หยวนถังยังไม่ได้เปิดไม่ออก คงไม่ลงมือเคลื่อนไหวครั้งที่สองเร็วๆ นี้แน่
…
ยามบ่ายมาถึง กู้เจียวก็มาถึงคฤหาสน์ซื่อไห่
งานชุมนุมมีทั้งหมดสามวัน ที่สำคัญจริงๆ ก็คือวันแรกกับวันที่สอง ตอนบ่ายของวันที่สองก็กลับได้แล้ว
พวกเขาเจอคนของหุยชุนถังที่หอการค้าตามที่คาดไว้ นี่เป็นหอการค้าที่สำคัญมาก บรรดาเถ้าแก่ใหญ่ทั้งหลายล้วนมร่วมงานกันทั้งนั้น กู้เจียวจึงได้เจอลูกบุญธรรมตระกูลหูในตำนานอย่างคุณชายรองหู หูหงถู
แค่ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าบิดามารดาคาดหวังต่อเขาเพียงใด
ตอนแรกเถ้าแก่รองถูกตระกูลบีบคั้นให้ออกมา จึงอย่าหวังว่าหูหงถูจะมีความรู้สึกผูกพันพี่น้องกับเขามากมายอะไร
หูหงถูยิ้มมองเถ้าแก่รอง สายตาดูถูกดูแคลนสอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด “พี่ใหญ่ก็มาด้วยรึ ดูท่าแล้วตอนอยู่ที่หุยชุนถังสมัยนั้น พี่ใหญ่จะแอบครูพักลักจำไปไม่น้อย”
ประโยคนี้ช่างแทงใจยิ่งนัก เถ้าแก่รองอยู่ที่หุยชุนถังแอบครูพักลักจำมันหมายความว่าอย่างไร คงมองว่าเถ้าแก่รองเป็นคนนอก หุยชุนถังไม่ใช่กิจการของบิดาแท้ๆ ของเขาน่ะสิ
หูหงถูอาจจะลืมว่าหากเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เถ้าแก่รองนี่แหละจะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของหุยชุนถัง
แม้ว่าหุยชุนถังเป็นร้านยาเก่าแก่ ทว่ามารดาของเถ้าแก่รองตอนที่เพิ่งแต่งเข้าตระกูลหูก็เป็นช่วงที่ตระกูลหูเกิดการเปลี่ยนแปลงพอดี หุยชุนถังเกือบจะไปไม่รอด เป็นมารดาของเถ้าแก่รองที่เอาเงินสินเดิมทั้งหมดทุ่มลงไป หุยชุนถังจึงได้ฟื้นคืนมาอีกครา
แต่ในที่สุดสตรีอาภัพนางนี้กลับไม่ได้อะไรตอบแทนเลยสักอย่าง นางล้มป่วยหนักถึงแก่กรรมด้วยโรคร้าย ทิ้งลูกชายตัวน้อยให้คนรังแก
คนเรานั้นจะโดนรังแกก็ต่อเมื่ออ่อนแอไร้กำลัง ยามนี้เขามีกำลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังแล้ว จึงไม่กลัวคำยั่วยุไม่กี่คำของหูหงถูเลยสักนิด “ข้ามาที่นี่ด้วยความสามารถที่แท้จริง หากจะบอกว่าแอบครูพักลักจำมา คนที่แอบครูพักลักจำมาไม่ใช่เจ้าหรอกรึ ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายสายตรงของตระกูลหู!”
หูหงถูแค่นหัวเราะเอ่ย “อดีตบุตรชายสายตรงตระกูลหูต่างหาก! ยามนี้เจ้าก็เป็นแค่สุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งเท่านั้น”
เถ้าแก่รองหัวเราะเสียงเย็น “อย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็ลองดูว่าสุดท้ายแล้วคนที่กัดเจ้าตายจะเป็นสุนัขไร้บ้านอย่างข้าหรือไม่!”
สองพี่น้องแยกกันอย่างไม่สบอารมณ์
กู้เจียวเพลิดเพลินกับทิวทัศน์รอบกายอย่างสนใจใคร่รู้
เถ้าแก่รองเอ่ย “ให้เจ้ามาเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
กู้เจียวเอ่ย “ไม่หรอก ดีจะตาย”
ยิ่งหูหงถูไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเท่าใด ภายหน้าหากประมือกันพวกเขาก็จะลงมือได้อย่างไร้ความปรานี
กู้เจียวถาม “ให้ข้าช่วยหรือไม่”
เถ้าแก่รองเอ่ยเสียงทรงพลังเปี่ยมอำนาจ “ไม่ต้องหรอก ก็แค่ลูกบุญธรรมคนเดียว ข้ายังบีบเขาให้ตายได้!”
เถ้าแก่รองหาใช่เถ้าแก่รองคนก่อนอีกแล้ว เขาคือหนิ่วฮู่ลู่ เถ้าแก่รอง!
ในเมื่อเถ้าแก่รองว่ามาเช่นนี้ กู้เจียวก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับความรักความแค้นของพวกเขาพี่น้อง
นางพักอยู่ที่คฤหาสน์หนึ่งคืน แล้วตามเถ้าแก่รองไปทำความรู้จักพ่อค้าเมืองหลวงไม่น้อย และแสดงฝีมือวิชาการแพทย์อันยอดเยี่ยมของตัวเองเล็กน้อย ให้หอการค้าเป็นที่ประจักษ์และยืนยันศักยภาพของเมี่ยวโส่วถัง
วันที่สองตอนบ่ายนางก็กลับตามเวลาที่กำหนด
นางรีบกลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ซึ่งเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ในชาติที่แล้ว และเป็นวันที่ดีสำหรับครอบครัวที่จะได้ชมจันทร์กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ปีที่แล้วเนื่องจากมีการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่ได้ฉลองเต็มที่ ปีนี้ทุกคนต่างอยู่พร้อมหน้ากันหมด
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่มากันตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ตู่รั่วหานก็มาด้วย เพียงแต่เขากินมื้อเที่ยงแล้วกลับไปอีกหน กู้เจียวจึงไม่ได้เจอตู้รั่วหาน
กู้เจียวเชิญอาจารย์หลู่กับอาจารย์แม่หนานเซียงมาตั้งแต่เช้า ทั้งคู่มาในตอนบ่ายๆ ถึงตรอกปี้สุ่ยแทบจะพร้อมๆ กันกับกู้เจียว
“อาจารย์หลู่ อาจารย์แม่หนานเซียง!” เสี่ยวจิ้งคงเชิญทั้งคู่เข้ามาในเรือนด้วยมิตรไมตรี นกเหยี่ยวกับลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดตัวของเขาทัดดอกไม้แดงดอกใหญ่ ต่อแถวเรียงกันต้อนรับอยู่ในลานบ้าน เรียกได้ว่าให้ความรู้สึกเป็นพิธีการขึ้นมาไม่น้อย
อาจารย์แม่หนานชอบเจ้าเด็กชายคนนี้ยิ่งนัก นางยิ้มเอ่ย “เจ้าคือจิ้งคงกระมัง”
“ใช่แล้ว อาจารย์แม่หนาน!” เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างน่ารักอย่างเอ็นดู
เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งพูดคุยกันคึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง เสี่ยวจิ้งคงแนะนำลูกเจี๊ยบกับเหยี่ยวน้อยของตัวเองให้กับอาจารย์แม่หนานฟังอย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าไม่ลืมจะถือโอกาสแนะนำหมาน้อยของกู้เหยี่ยนด้วย
“นั่นคือเสี่ยวปาขอรับ ออกจะขี้ขลาดอยู่สักหน่อย”
เสี่ยวปาพลันยืดเอวหมาๆ ขึ้นมาทันที
ข้าขี้ขลาดที่ไหนกัน!
ข้าเป็นสุนัขเลี้ยงไก่ที่กล้าหาญที่สุดในเมืองหลวงเลยต่างหากเล่า!
“โฮ่ง!”
สุนัขขนเหลืองตัวโตบ้านข้างๆ ตัวใหม่ของตระกูลจ้าววิ่งพรวดเข้ามา
เสี่ยวปาแตกตื่นในทันใด ใช้อุ้งเท้ากุมหัวเอาไว้ แล้วซ่อนตัวอยู่ในฝูงไก่อย่างขี้ขลาด!
อาจารย์แม่หนานชอบที่นี่ยิ่งนัก
ตั้งแต่เข้ามารอยยิ้มในแววตานางก็ไม่เคยจางหายไปเลย
อาจารย์หลู่เห็นหนานเซียงเช่นนั้นก็ปลื้มอกปลื้มใจขึ้นมาเป็นเท่าตัว
เสี่ยวจิ้งคงแนะนำสวนผักน้อยๆ ที่บ้านของตัวเองให้กับหนานเซียงต่อ บอกนางอย่างภาคภูมิยิ่งว่าสวนผักพวกนี้เขาเป็นคนรดน้ำทั้งสิ้น
หนานเซียงเอ็นดูเจ้าหนูน้อยที่ส่ายหัวโคลงศีรษะอยู่จนแทบอยากจะขโมยเขากลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้!
ภายใต้การแนะนำของเสี่ยวจิ้งคง หนานเซียงและอาจารย์หลู่ยังได้ทำความรู้จักเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ด้วย
ที่คิดไม่ถึงก็คือทั้งสี่คนพูดจากันถูกคอมากอย่างคาดไม่ถึง
ยกเว้นหลินเฉิงเย่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนติดอ่าง ด้อยค่าตัวเองและเขินอาย
หนานเซียงแย้มยิ้ม ไม่ได้รีบร้อนจะปลอบใจเขา แต่ปลดผ้าคลุมหน้าของตัวเองออกมาแทน
หลินเฉิงเย่กับเฝิงหลินพากันนิ่งอึ้ง จากนั้นหลินเฉิงเย่ก็โพล่งประโยคสมบูรณ์ครบถ้วนออกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงอาจารย์แม่หนานสวยมากเลย”
เฝิงหลินตบบ่าหลินเฉิงเย่อย่างแรง “นี่! เสี่ยวหลินจื่อ เจ้าไม่ติดอ่างแล้วนี่!”
หลินเฉิงเย่ “ขะ ขะ ข้า…มะ มะ ไม่…ติดอ่าง…”
ฮือ ก็ยังติดอ่างอยู่ดี!