สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 427 รอดชีวิต (1)
บทที่ 427 รอดชีวิต (1)
กู้เจียวไปที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ และลากตัวกู้เฉิงเฟิงออกมาจากห้องน้ำชาย
“อย่าตามข้าถึงที่นี่อีกจะได้หรือไม่!!” กู้เฉิงเฟิงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ถ้ามาอีก เกรงว่าต่อไปน้องชายเขาจะใช้งานไม่ได้แล้วน่ะสิ!
กู้เจียวพาเขามายังด้านหลังห้องเก็บฟืนแห่งหนึ่ง และบังคับให้เขาล้างมือ
กู้เฉิงเฟิง… ใส่ใจเรื่องแบบนี้ก็เป็นด้วยหรือ!
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ บรรจงล้างมือ กระนั้นกู้เจียวก็เริ่มไม่สบอารมณ์ที่เขาใช้เวลามากเกินไปเลยคว้าร่างของเขาเข้ามายังห้องเก็บฟืน
“ครั้งนี้อะไรอีกล่ะ” กู้เฉิงเฟิงถามอย่างฉุนขาด
ครั้งล่าสุดเขาอุตส่าห์ช่วยนางเด็กนี่ขนย้ายคลังสมบัติของหนิงอ๋อง แต่สุดท้ายเขาไม่ได้แม้แต่ทองคำสักแท่งเดียว
เขาเป็นลูกหาบของนางโดยเปล่าประโยชน์!
ทีแรกอุตส่าห์แอบหยิบมาได้แท่งนึง แต่ดันถูกเจ้านกเหยี่ยวคาบเอาไปเสียอย่างนั้น!
ทั้งคนทั้งนกนี่พอกันทั้งคู่เลยจริงๆ !
มันน่าโมโหไหมล่ะ!
“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” กู้เจียวใช้กิ่งไม้วาดรูปสัญลักษณ์ที่นางเคยเห็นในฝัน “เจ้ารู้จักนี่ไหม”
กู้เฉิงเฟิงยังคงโกรธเรื่องครั้งก่อนไม่หาย เขาถอนหายใจ พลางตอบ “พวกลัทธิซวงเตานี่ ทำไมรึ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปปล้นคนพวกนั้น ข้าว่าช่วงนี้เจ้าชักจะละโมบเกินไปแล้วนะ เอาแต่ปล้น ไม่กลัวถูกจับได้รึ!”
“ครั้งนี้ข้าไม่ได้จะปล้นซักหน่อย” กู้เจียวเอ่ย “พวกมันเก่งหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิงนั่งยองลงข้างๆ นาง พลางให้คำตอบ “ก็ต้องดูว่าจะเปรียบเทียบกับใคร ถ้าจะเทียบกับสำนักรุ่นก่อนๆ เกรงว่ายังเทียบไม่ติด แต่ถ้าจะให้เทียบกับพวกสำนักใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นทีหลัง ก็ถือว่าว่าฝีมือของพวกมันค่อนข้างโดดเด่นเลยทีเดียว ว่าแต่ เจ้าจะถามเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน”
กู้เจียว “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เผื่อวันข้างหน้าพวกนั้นมาหาเรื่องข้า”
หมายความว่าอย่างไร
นี่นางรู้จักคนพวกนั้นด้วยรึ
ดูดวงมาหรือว่าฝันมาหรืออย่างไรกัน
อีกทั้งกู้เจียวยังถามถึงที่กบดานของพวกลัทธิซวงเตา พลางตัดสินใจว่าไว้รออีกสักพักค่อยออกเดินทางไปสืบ
หลังจากออกมาจากสำนักชิงเหอ กู้เจียวก็แวะไปที่สำนักฮั่นหลิน
ด้วยความที่รถติด กว่ากู้เจียวจะมาถึงสำนักฮั่นหลินก็เลยเวลาเลิกงานไปเยอะแล้ว
กู้เจียวเห็นว่าร้านขนมยังไม่ปิด จึงเดินเข้าไปถาม “เถ้าแก่ ยังมีขนมเปี๊ยะผักเหมยเหลืออยู่ไหม”
เถ้าแก่ยิ้มให้พลางเอ่ย “สามีของเจ้ามากว้านซื้อไปหมดแล้วล่ะ”
ด้วยความที่พวกเขาแวะมาซื้อขนมที่นี่บ่อย จนเถ้าแก่รู้แล้วว่ากู้เจียวและเซียวลิ่วหลังเป็นสามีภรรยากัน
“สามีข้าซื้อแบบยังไม่อบไปหรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ปกติแล้วไม่มีใครซื้อขนมแบบที่ยังไม่อบกัน แม้แต่กู้เจียวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจตนเองที่ถามออกไป
เถ้าแก่นึกว่ากู้เจียวมายืนยันให้แน่ใจว่าสามีของนางซื้อแบบยังไม่อบกลับไปจริงๆ
“ใช่แล้วล่ะ!” เถ้าแก่ฉีกยิ้มพลางเอ่ยตอบ
กู้เจียวนึกในใจ บังเอิญเกินไปไหม
ในฝันนางก็เห็นว่าเซียวลิ่วหลังมาซื้อขนมเปี๊ยะแบบยังไม่อบกลับไป จากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น แต่มันต้องอีกสองเดือนกว่ามิใช่หรือ
อย่าบอกนะว่าวันที่เกิดเรื่องคือเป็นวันที่เขาซื้อขนมเปี๊ยะแบบยังไม่อบน่ะ
พอนึกได้เช่นนั้น กู้เจียวก็รีบวิ่งไปดูที่เกิดข้น
เป็นร้านขายเครื่องสำอางเก่าแก่ ถูกคู่แข่งรอบๆ แย่งลูกค้าไปหมด มีเพียงลูกค้าไม่กี่คนที่เดินเข้าออกร้าน
หรืออาจเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้พื้นที่รอบๆ ไม่ได้รับความเสียหาย
กู้เจียวเหลือบไปเห็นคราบเลือดที่อยู่บนพื้น
กู้เจียวย่อตัวลงและมองดูรอยเลือดโดยละเอียด ในหัวของนางปรากฏภาพของสามีที่หกล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่แล้ว เขาล้มลงไปสองครั้ง
ครั้งแรก เขาล้มลงบริเวณธรณีประตู จนมือของเขาเกิดรอยถลอก
ครั้งที่สอง ห่างจากจุดนี้เพียงไม่กี่ก้าวข้างหน้า ซึ่งมีรอยเลือดเป็นรูปฝ่ามือของเขาทิ้งไว้
ในฝัน กู้เจียวจำได้ว่าเขาล้มไปแค่หนึ่งครั้ง แถมยังล้มบนพื้นน้ำแข็ง จากนั้นก็เป็นลมไป
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วกว่าในฝัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวเจอสถานการณ์แบบนี้ นางเองก็ไม่มีประสบการณ์มาพักหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าการคาดเดาถูกหรือไม่
“รอยเลือดนี่อาจเป็นของคนอื่นก็ได้ ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ของเขา…”
จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างปะไร นางไม่อาจเอาชีวิตของเซียวลิ่วหลังมาเดิมพันกับเหตุการณ์นั้นเป็นอันขาด
ภาวนาขออย่าให้เป็นเซียวลิ่วหลัง แต่ถ้าใช่ขึ้นมา กู้เจียวก็จะไม่รอช้าที่จะช่วยชีวิตเขาไว้
ทั้งมือของเขาและชีวิตของเขา ต้องรักษาไว้ให้ได้!
กู้เจียวเดินตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ และเมื่อเดินมาถึงถนนสายเก่าที่มีผู้คนไม่มากนัก คราบเลือดก็หายไปทันที
มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง เลือดหยุดไหลแล้ว และสอง เขาถูกจับได้และลากขึ้นรถม้าไป
ไม่มีทางที่พวกโจรจะใช้วิชาตัวเบาในช่วงกลางวันแสกๆ เพราะจะกลายเป็นเป้าสายตา อีกทั้งอาจทิ้งรอยเลือดไว้ได้
กู้เจียวพยายามหาเบาะแสบริเวณกำแพงด้านนอก แต่ก็ไม่พบอะไร
แต่ดูจากทรงแล้ว ความเป็นไปได้ที่เซียวลิ่วหลังจะถูกคนลักพาตัวไปนั้นเป็นได้มากกว่า
และกู้เจียวก็เดาถูกจริงๆ เซียวลิ่วหลังถูกพวกโจรจับไปจริงๆ
ตอนแรกเขาอุตส่าห์หนีพวกมันมาได้ จากนั้นเขาไปที่บริเวณจุดเช่ารถเพื่อจะขอเช่ารถม้า ด้วยความที่เขาไม่ได้มาที่ถนนเส้นนี้นานแล้ว จึงไม่คุ้นทาง เลยโบกรถม้าเพื่อจะถามทาง
และบังเอิญเขาดันไปโบกรถม้าของพวกโจรพอดี
นี่สินะที่เขาเรียกว่า ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลหา อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็มาเอง
พวกโจรพอเปิดผ้าม่านออกถึงกับสะดุ้ง
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!
เซียวลิ่วหลังผู้โชคร้ายสุดท้ายก็ถูกพวกโจรจับตัวขึ้นรถม้าไป
พวกโจรมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน สองคนอยู่นอกรถ ส่วนอีกสองคนอยู่ข้างในคอยจับตาดูเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังถูกมัดและปิดตา ไม่ได้ถูกผ้ายัดปาก เพราะผ้าที่มีอยู่บางเกินไป ถึงยัดไปเซียวลิ่วหลังก็คายออกมาได้อยู่ดี และถ้ายัดไว้หนาเกินพวกเขาก็กังวลว่าจะขาดอากาศหายใจตาย
“ก็ให้หายใจทางจมูกไปก็ได้มิใช่หรือ” โจรคนที่หนึ่งเอ่ย
โจรคนที่สองถลึงตาใส่โจรคนที่หนึ่ง พลางตะคอก “แล้วถ้าเกิดหายใจไม่ได้ขึ้นมาล่ะ ครั้งก่อนที่มีคนตายเจ้าจำไม่ได้แล้วรึ”
โจรคนที่หนึ่งนึกย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนั้นพวกเขาไปลักพาตัวคนคนหนึ่งมา และอุดปากเขา แต่คนคนนั้นดันเกิดหายใจไม่ออก รถม้าไปได้แค่ครึ่งทางคนคนนั้นก็ดันขาดใจตายไปเสียก่อน
เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ
โจรคนที่สองยกดาบขึ้นมาที่เบื้องหน้าเซียวลิ่วหลัง “อย่าได้ส่งเสียงเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดลิ้นของเจ้า!”
เซียวลิ่วหลังเอนตัวเข้าผนังรถ
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังถูกปิดตา อีกทั้งยังเดินไปไหนไม่ได้ ขณะนั่งอยู่ในรถเขาพยายามใช้วิธีการฟังเสียง และดมกลิ่นที่ลอยอวลมาจากร้านอาหาร จนเขาสามารถเดาได้ว่าตอนนี้น่าจะเดินทางมาถึงบริเวณถนนลั่วหยาง ซึ่งเป็นถนนที่มุ่งหน้าไปสู่ประตูเมืองฝั่งตะวันอออก
พวกมันจะพาเขาออกนอกเมืองงั้นรึ
และแล้วการคาดเดาของเขาก็เป็นจริง
เขาได้ยินเสียงเกือกม้าเหล็กซึ่งเป็นม้าที่ใช้สำหรับทางการ
ทันใดนั้นกองทหารม้าเหล็กกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา พิจารณาจากเสียงเกือกม้าและชุดเกราะเสียดสีกัน ดูเหมือนทหารองครักษ์ของพระราชวัง
หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้น “ผู้ที่ออกจากเมืองจะถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด!”
“ท่านพี่ใหญ่ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ตรวจเข้มขึ้นมาล่ะ” โจรคนแรกเอ่ยถาม “อย่าบอกนะว่าพวกเรากำลังจะโดนจับ เร็วขนาดนี้เลยหรือ!”
แม้แต้เซียวลิ่วหลังเองก็รู้สึกแปลกที่ทหารองครักษ์เข้ามาตรวจ ปกติแล้วคนที่สั่งการทหารองครักษ์ได้ก็มีแต่ฝ่าบาทไม่ก็ไทเฮา อีกทั้งตัวเองเพิ่งจะถูกลักพาตัวมาได้ไม่นาน เรื่องถึงหูพวกเขาเร็วขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
เวลานี้ยังไม่ดึกนัก ต่อให้เซียวลิ่วหลังยังไม่กลับถึงเรือน ก็น่าจะยังไม่มีใครเอะใจว่าเขาถูกลักพาตัวไป
ขนาดเซียวลิ่วหลังยังคิดไม่ออก กับพวกโจรยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่จะหาวิธีรับมืออย่างไรนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“กดจุดตายมันสิ” โจรคนที่สองสั่ง
จากนั้นโจรคนแรกก็กดจุดตายของเซียวลิ่วหลัง
สักพักดูเหมือนโจรคนแรกจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปถามพลางทำท่าเกาหัว “เอ ท่านพี่ใหญ่ ในเมื่อเรากดจุดตายมันแล้ว เมื่อกี้นี้เราจะลงแรงไปลักพาตัวมันเพื่ออะไรกันล่ะ”
โจรคนแรก “…ไม่พูดซักคำไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอก!”