สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 435 ตัวตน
บทที่ 435 ตัวตน
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้ยื่นมันให้เขาโดยตรง แต่หันไปทางเตาแล้ววางมันไว้บนนั้น
เซียวลิ่วหลังไม่รู้ว่านางจะตื่นเร็วขนาดนั้น ซ้ำยังตรงมาที่ห้องครัวเลย แม้แต่ตัวองค์หญิงเองก็ไม่รู้ว่าจะมาโผล่ที่นี่เช่นกัน
แล้วทั้งสองก็ได้เจอกัน
ไม่ใช่แค่แผ่นหลัง ไม่ใช่แค่เงา และไม่ใช่ใบหน้าที่หลับใหลอยู่ในความมืดมิด ตอนนี้ พวกเขาได้เห็นหน้าซึ่งกันและกัน ในช่วงเวลาที่ยังมีแสงสว่าง
ภาพของเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีจางหายไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มเติบโตขึ้น อันที่จริงเมื่อคิดดีๆ แล้ว ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น และจะอายุสิบเก้าปีในอีกสามเดือนข้างหน้า แม้จะยังเด็กนัก แต่ความสุขุมของเขากลับเลยช่วงวัยไปแล้ว
ร่างของเขาสูงโปร่งขึ้น แต่ใบหน้ากลับดูซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
เซียวเหิงในวัยสิบสี่ปีเคยเป็นนายน้อยผู้ได้รับการปรนนิบัติ เปรียบเสมือนพระจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า แต่ตอนนี้เขาร่วงหล่นสู่ธุลีดิน กลายเป็นหยกที่สวยงามที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นราวกับก้อนกรวดโดดเดี่ยวที่ถูกใครบางคนทอดทิ้งที่ข้างถนน
ชั่วขณะหนึ่ง องค์หญิงซิ่นหยางไม่รู้ว่าจะจับจ้องไปที่ใด จะเป็นใบหน้าที่ไม่มีไฝใต้ตา หรือเท้าที่อ่อนแรงของเขา
เขารู้สึกราวกับถูกมีดอันคมกริบเฉือนจนสิ้นรูป ราวกับถูกฉีกเนื้อหนัง ราวกับตอนนี้เลือดของเขากำลังไหลนองออกจาร่างกายต่อหน้าคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ายังมีหัวใจอยู่หรือไม่
ทุกก้าวของเขา เต็มไปด้วยรอยเลือด
ดวงตาของเขาแดงก่ำ
พอแล้วหรือยังกับการถูกลงโทษ ความเจ็บปวดนี้สาแก่ใจหรือยัง ความผิดบาปของเขาถูกชำระล้างจนหมดแล้วหรือยัง
องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเขาด้วยสายตาแน่นิ่ง จู่ๆ ร่างของนางเกิดเซล้มจนมือข้างหนึ่งเผลอแตะลงไปบนเตาฟืนอันร้อนระอุ
เซียวลิ่วหลังเห็นดังนั้น ปฏิกิริยาแรกของเขาคือยื่นมือออกไป แต่กลับถูกปฏิเสธจากสายตาอันแข็งกร้าวของนาง
ร่างที่สั่นเทาเล็กน้อยของนางมองเขาด้วยสายตาสุดท้าย ก่อนจะวิ่งออกไปโดยไม่หันกลับมามอง…
กว่ากู้เจียวจะทำงานเสร็จและมาดูอาการขององค์หญิง ก็ได้รับแจ้งว่าองค์หญิงได้ออกไปแล้ว
“กะว่าจะให้อยู่ต่ออีกสักวันสองวันเสียหน่อย” กู้เจียวเลิกคิ้วพลางพึมพำ
แม่ลูกคู่นี้นี่เหมือนกันไม่มีผิด
อยากเจอดีๆ ก็ดันไม่ได้เจอเสียอย่างนั้น
อันที่จริงเซียวลิ่วหลังไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยซ้ำ แต่พอเขาได้ยินว่าองค์หญิงซิ่นหยางไม่สบายก็เลยมาด้วยกัน หลังจากที่กู้เจียวให้น้ำเกลือกับองค์หญิงเสร็จก็ออกไปทำงานต่อ และก็มีเซียวลิ่วหลังที่คอยเฝ้าไข้ให้องค์หญิง
ส่วนจิ้งคงวิ่งเล่นที่สวนหย่อม
ระหว่างนั้นกู้เจียวก็เรียกเซียวลิ่วหลังออกไปช่วยดึงเข็มให้
หลังจากนั้น เซียวลิ่วหลังต้องไปทำงานครัว ก็เลยให้จิ้งคงไปเฝ้าองค์หญิงแทน
อาหารที่เขาทำ นางแทบจะไม่แตะเลยแม้แต่นิด
หลังจากที่กู้เจียวเสร็จจากงานแล้วก็เก็บข้าวของ พาเจ้าตัวเล็กไปล้างมือ และมุ่งหน้ากลับไปที่ตรอกปี้สุ่ยพร้อมกับเซียวลิ่วหลัง
กู้เจียวคิดไว้แล้วว่าที่ที่ปลอดภัยที่สุดยังคงเป็นเรือนขององค์หญิง รองลงมาคือตรอกปี้สุ่ย อย่างที่เขาว่ากันว่า ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ปลอดภัยที่สุด มิใช่หรือ
ใครจะคิดเล่าว่าเซียวลิ่วหลังจะกลับมาที่เรือนของตัวเอง
ขณะที่ทั้งสามกำลังก้าวเท้าออกจากประตูหลังของโรงหมอ อวี้จิ่นก็กลับมาที่โรงหมอด้วยท่าทีร้อนรน
องค์หญิงซิ่นหยางเป็นลมอีกครั้ง
กู้เจียวเพิ่งจะให้น้ำเกลือนางไปได้ไม่นาน ตามหลักแล้วร่างกายของนางไม่ควรจะทรุดลงเร็วขนาดนี้
กู้เจียวหันไปมองหน้าจิ้งคง จากนั้นเซียวลิ่วหลัง กู้เจียวสามารถเลือกที่จะขึ้นรถม้าของอวี้จิ่น และให้เซียวลิ่วหลังและจิ้งคงนั่งรถม้าของเสี่ยวซานกลับเรือน หลังจากลังเลอยู่พัก สุดท้ายก็นั่งรถของเสี่ยวซานจื่อ
รถม้าของอวี้จิ่นนำทาง
พวกเขามุ่งหน้าไปยังถนนจูเชวี่ย
ที่องค์หญิงต้องย้ายไปยังจวนก็เพื่อที่จะหลบหน้าเซียวลิ่วหลัง
พอเซียวลิ่วหลังกลับไป นางถึงได้ย้ายกลับมาดังเดิม
หมายความเช่นนั้นได้อย่างเดียว
การที่องค์หญิงได้เจอเซียวลิ่วหลังนั้นเศร้ายิ่งกว่าการไปที่จวนองค์หญิงเสียอีก
คราวนี้สภาพจิตใจขององค์หญิงย่ำแย่หนักกว่าเดิมจนร่างกายของนางประคองไว้ไม่อยู่ และเกิดเป็นลมไป
กู้เจียวฉีดยาระงับประสาทให้นางแล้ว ชีพจรของนางจึงกลับมาเป็นปกติชั่วคราว
แต่อาการแบบนี้ไม่ควรให้ยามากเกินไปไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย
“องค์หญิงเจอเรื่องสะเทือนใจอะไรมาหรือ ตอนอยู่โรงหมอ ชีพจรของนางไม่เห็นเป็นเช่นนี้เลย” หลังจากเก็บอุปกรณ์เสร็จ กู้เจียวก็ได้เอ่ยถามอวี้จิ่น
อวี้จิ่นกำลังตะลึงอยู่กับอุปกรณ์และวิธีการรักษาของกู้เจียว แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น เลยไม่ได้รู้ว่าที่จริงแล้วของพวกนี้ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้เลยแม้แต่นิด
“องค์หญิง…ทรงมีเรื่องลำบากพระทัยเจ้าค่ะ”
จิ้งคงกำลังวิ่งเล่นอยู่ที่ด้านนอก อวี้จิ่นหันไปมองเซียวลิ่วหลังแวบหนึ่ง พลางเอ่ย “มีบางเรื่องที่องค์หญิงก็ไม่ยอมบอกข้า แต่ข้ามองว่า ที่นางเป็นเช่นนี้เป็นเพราะ…ใต้เท้าเซียวเจ้าค่ะ”
เซียวลิ่วหลังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วศีรษะและหน้าอก
เขามองไปยังร่างที่กำลังหลับไหลขององค์หญิงซิ่นหยาง
ท่านรังเกียจข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ข้าเข้าใจแล้วล่ะ
ต่อไปข้าจะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีก
เซียวลิ่วหลังหันหลังกลับและเดินออกไป แสงจันทร์ส่องลงมาและตกลงบนร่างที่โดดเดี่ยวของเขา ราวกับว่ามีชั้นของน้ำแข็งปกคลุมอยู่
กู้เจียวยังคงเฝ้าดูอาการขององค์หญิง
ส่วนจิ้งคงกำลังเดินชมดอกไม้ในสวน
ดอกไม้ที่นี่ทั้งใหญ่และสวยบานสะพรั่ง
อยากเด็ดดอกไม้จัง…
แต่ดอกไม้ป่าเช่นนี้ไม่ควรเด็ด เขาจึงทำได้เพียงแค่จ้องมองมัน
จิ้งคงเอามือไพล่หลัง พลางจ้องไปที่ดอกไม้จนตาเป็นมันและน้ำลายไหลออกปาก
ในจังหวะนั้นเอง หลงอีเดินเข้ามาพอดี
ตอนแรกหลงอีก็ไม่ได้สนใจอะไรกับจิ้งคงนัก ในสายตาขององครักษ์หลงอิ่ง เด็กน้อยก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินก้อนหนึ่ง
ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นจิ้งคงกำลังลูบมือเล็กๆ ของเขา พลางจ้องเขม็งไปที่ดอกไม้ราวกับต้องการจะเด็ดมัน!
เขาจึงเข้าไปคว้ามือของเจ้าตัวเล็กไว้
จิ้งคงเงยหน้าเหวอขึ้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “ข้าไม่ได้ ไม่ใช่ข้านะ เอ่อ…”
ลูกตาของจิ้งคงล่อกแล่กไปมา ทำให้หลงอีนึกถึงเซียวเหิงตัวน้อยเมื่อหลายปีก่อน
เด็กคนนี้มีกลิ่นอายของความเป็นเซียวลิ่วหลัง สีหน้าท่าทางของพวกเขาเหมือนกันไม่มีผิด
หลงอีมองดูจิ้งคง ก่อนจะหันไปทางเซียวลิ่วหลังที่อยู่ในห้อง จนสมองของเขาเริ่มไม่ทำงานเสียแล้ว!
หลังจากมั่นใจแล้วว่าอาการขององค์หญิงเริ่มคงที่ กู้เจียวจึงตัดสินใจกลับเรือน
อวี้จิ่นยื่นเงินค่ารักษาให้ และกู้เจียวก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
พอกู้เจียวเดินออกมา ก็เห็นว่ารถม้าของเสี่ยวซานจื่อยังอยู่ จึงเดินขึ้นไป
กู้เจียวคิดว่าเซียวลิ่วหลังพาจิ้งคงกลับไปตั้งนานแล้ว แต่พอขึ้นรถม้า ก็เจอกับจิ้งคงที่กำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมอกของเซียวลิ่วหลัง
“เขากินข้าวมาแล้วล่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “เขาบอกเขาจะรอเจ้า”
ราวกับเขากำลังอธิบายว่าทำไมถึงยังไม่กลับเรือนไปก่อน
กู้เจียวเอ่ยขานรับ และไม่พูดอะไรต่อ
เป็นความจริงที่จิ้งคงต้องการรอกู้เจียว แต่เขาสามารถกลับไปรอที่เรือนได้ เหตุผลที่เซียวลิ่วหลังรอนั้น หนึ่งคือเพื่อรอกู้เจียว และสองคือรอให้อาการขององค์หญิงซิ่นหยางดีขึ้น
ความสัมพันธ์ในโลกนี้บางครั้งก็ไม่ยุติธรรม หลายๆ ครั้งที่พ่อแม่ทำร้ายลูก ลูกก็ไม่หยุดรักพ่อแม่ แต่กลับหยุดรักตัวเอง
กู้เจียวนั่งลงข้างๆ เซียวลิ่วหลัง จากนั้นเสี่ยวซานจึงกระตุกบังเหียนรถของเขา และล้อเกวียนก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดและเคลื่อนตัวไปตามถนนที่เงียบสงบ
เสียงล้อรถดังมากเสียจนกลบเสียงสนทนาของทั้งคู่
“องค์หญิงไม่เป็นไรแล้วนะ” กู้เจียวบอกกับเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังหลบตาลง ทำให้มองเห็นอารมณ์ในดวงตาของเขาได้ยาก เขาเอ่ยอืมเสียงต่ำ ยกมือขึ้นแล้วดึงเสื้อคลุมขึ้นมาห่มให้เจ้าตัวเล็ก
จิ้งคงหลับสนิท ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรเพราะเอาแต่น้ำลายไหลไม่หยุด
อันที่จริงแล้ว วันนี้ที่อาการขององค์หญิงทรุดลง หนึ่งเป็นเพราะเรื่องราวของเซียวลิ่วหลังจากปากของจิ้งคง ผู้พูดอาจไม่รู้สึกอะไร แต่คนฟังเก็บไปคิด ใครจะไปนึกกันเล่าว่าเขาต้องเจอกับความยากลำบากมากมายถึงเพียงนี้
กู้เจียวเอามือหยิกแก้มเจ้าตัวเล็กหนึ่งที ก่อนจะหันไปมองหน้าเซียวลิ่วหลังอย่างไม่ตั้งใจ
จากนั้นนางจึงเบือนสายตาไปยังที่อื่น
แต่ก็ยังแอบเหลือบไปมองเขาอยู่ดี
“อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าสินะ” จู่ๆ เซียวลิ่วหลังโพล่งคำถามนี้ขึ้นมา
“…อื้อ” กู้เจียวไม่มีท่าทีปฏิเสธ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นางเริ่มสงสัยในตัวเขา และอยากรู้จักเขา ไม่ว่าจะเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องแย่ เรื่องน่าอาย… นางอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา
เพียงแต่ ถ้าเขาไม่เอ่ยปากก่อน นางก็ไม่กล้าถามก่อนเช่นกัน
แต่หากเขาอยากพูดขึ้นมาก่อน นางก็จะถามเขาอย่างไม่รู้สึกเกรงใจ
ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะมีโอกาสแบบนี้
“แม้ว่าภูมิหลังของข้าจะสกปรกมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ยังอยากรู้ใช่ไหม” เซียวลิ่วหลังเย้ยหยัน “เจ้าจะต้องเสียใจ เสียใจที่แต่งงานกับข้า เสียใจที่ใจดีกับข้า และเสียใจที่รู้จักข้า”
กู้เจียวจ้องมองเขาด้วยสายตางุนงง
เซียวลิ่วหลังหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ขององค์หญิง ข้าว่าข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว แต่ข้าไม่ได้เล่าว่าข้าเป็นบุตรของใคร”
“อืม” กู้เจียวขานรับ
สีหน้าของเซียวลิ่วหลังเริ่มผ่อนคลายลง “จริงๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เล่าไม่ได้หรอก มารดาของข้าเป็นเชลยศึก ไม่สิ เรียกว่าเชลยศึกก็ไม่ใช่เสียทีเดียว นางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของเชลยศึกจากแคว้นเยี่ยน”
“องค์หญิงซิ่นหยางตั้งท้องในเดือนเดียวกับบ่าวรับใช้คนนั้น และให้กำเนิดบุตรในเดือนเดียวกัน บุตรชายขององค์หญิงเกิดเร็วกว่านั้นครึ่งเดือน และในคืนที่ข้าเกิด ที่จวนก็ดันถูกโจมตี ทั้งข้าและบุตรขององค์หญิงถูกวางยาพิษทั้งคู่”
“ยาถอนพิษมีแค่เม็ดเดียวเท่านั้น”
พอฟังถึงตรงนี้ กู้เจียวเริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
กู้เจียวไม่พูดแทรกเขา ยังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจ
เซียวหลิวหลางยิ้มจางๆ ด้วยความทำอะไรไม่ถูก พลางเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กน้อย “ข้าเป็นแค่ลูกชายของบ่าวตัวเล็กๆ จะได้ยาแก้พิษได้อย่างไร บ่าวนั่นลักพาตัวบุตรชายขององค์หญิงและสังหารเขาอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นนางก็แขวนคอตัวเองตาย เพียงเพื่อให้ข้าได้รับยาแก้พิษ”
กู้เจียวพอจะคาดคะเนเรื่องราวถัดไปได้บ้างหลังจากที่ได้ยินว่ายาพิษมีอยู่เม็ดเดียว จึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรนักหลังจากที่ฟังเขาพูด
หรือเป็นเพราะ นางเป็นคนเย็นชาเกินไปนะ
คงเหมือนกับที่พ่อกับแม่นางเคยว่าไว้ ว่านางเป็นตัวประหลาด
เซียวลิ่วหลังยังคงสีหน้านิ่งราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังพูดถึงไม่ใช่ประสบการณ์ของเขาเอง แต่เป็นเพียงเรื่องราวที่ไม่มีนัยสำคัญใดๆ กับชีวิตของเขา “องค์หญิงไม่ทราบเรื่อง และคิดว่าพวกเขาถูกพวกโจรฆ่าตาย นางสูญเสียบุตรชาย ส่วนข้าสูญเสียมารดา แถมยังทรงบอกว่า บางทีโชคชะตาอาจลิขิตมาให้ข้ากับนางเป็นแม่ลูกกัน นางจึงตัดสินใจเลี้ยงข้าเฉกเช่นลูกแท้ๆ ”