สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 438 ซ้อมหนิงอ๋อง
บทที่ 438 ซ้อมหนิงอ๋อง
หากถามว่ากำลังภายในของหนิงอ๋องนั้นสูงส่งเพียงใด
ย่อมต้องสูงมากอยู่แล้ว แต่ใครใช้ให้เขาไม่ระวังตัวล่ะ เขาเองก็คาดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะมาไม้นี้
เขาทั้งผ่านการฝึกหลบดาบหลบมีดอีกทั้งอาวุธอันตรายต่างๆ มีอย่างที่ไหนต้องฝึกหลบถุงกระสอบกันล่ะ!
อีกอย่าง คนสติดีที่ไหนจะเอาถุงกระสอบมายัดคนระดับองค์ชายด้วยเล่า!
ก่อนหน้านี้กู้เจียวเคยแอบรู้มาว่าวรยุทธ์ของหนิงอ๋องนั้นแข็งแกร่งมาก นางไม่เคยต่อสู้กับเขา เลยพูดไม่ได้ว่าใครเก่งกว่าใคร แม้กู้เจียวจะมั่นใจในตัวเองแต่ก็ไม่อาจยอมเสี่ยงเช่นกัน
อีกทั้งวิธีนี้แทบไม่ต้องเปลืองแรงงัดวิชาต่อสู้ทั้งหมดมาต่อกรด้วย
ก็ยัดลงกระสอบมันเสียเลย!
ทันทีที่นางยัดเขาลงกระสอบ ก็ดึงเข็มยาสลบที่ซ่อนอยู่ในผ้าพันแขนออกด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ และยิงเข้าร่างของเขา
ยาสลบนี้พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยสถาบันวิจัยเพื่อการผ่าตัดฉุกเฉิน ออกฤทธิ์เร็ว ไม่ต้องหยดเข้าเส้นเลือดแต่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อก็หมดสติได้ทันที ข้อเสียคือมันออกฤทธิ์แค่ในเวลาอันสั้น
แต่ก็เพียงพอที่จะลากตัวเขาไป
“สารถี องค์ชายแจ้งว่าให้เลี้ยวซ้ายเข้าตรอกนั้น มีคนรอเขาอยู่” กู้เจียวเอ่ยกับคนขับรถม้า
คนขับย่อมไม่รู้ว่านายของตัวเองกำลังอยู่ในถุงกระสอบ เลยนึกว่าเป็นคำสั่งของเขาจริงๆ จึงเลี้ยวไปตามที่กู้เจียวบอก
พอรถม้าหยุดลง กู้เจียวก็รีบตบเข้าที่ท้ายทอยของคนขับจนสลบ
จากนั้นนางจึงลากถุงกระสอบลงมาจากรถม้า
ฤทธิ์ของยาสลบค่อยๆ ลดลง หนิงอ๋องก็เริ่มรู้สึกตัว อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายนักสำหรับเขาที่จะลุกขึ้นมาตอบโต้นาง
ส่วนกู้เจียวนั้นไม่รอช้า นางคว้ากระสอบแล้วเหวี่ยงมันลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น!
ในกระสอบ ทุกอย่างมืดไปหมด เขารู้สึกได้แค่ราวกับว่าพื้นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้าถล่ม รวมถึงบั้นท้ายของเขาที่มีแต่ความเจ็บปวด!
หนิงอ๋องพยายามที่จะเคลื่อนไหว แต่เขาแทบไม่มีโอกาสนั้นเลย และแล้วกระสอบก็ถูกยกขึ้นสูงอีกครั้งแล้วตกกระแทกลงพื้นอย่างหนัก
กู้เจียวคว้ากระสอบแล้วยกมันฟาดลงพื้นจนดังอั่ก อั่ก อั่ก ราวกับพื้นใกล้จะแตก!
อีกนิดสมองของหนิงอ๋องแทบจะหกกระเด็นออกมาอยู่แล้ว!
ถ้าถามว่าวิกฤติคืออะไร นี่แหละที่เรียกว่าวิกฤติของจริง!
สิ่งที่น่ากลัวกว่าความเจ็บปวดจากการต่อสู่คือการถูกขว้างเหมือนกระสอบทรายนี่แหละ
แบบนี้มันย่ำยีศักดิ์ศรีกันชัดๆ !
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่กู้เจียวง้างมือตบไท่จื่อเฟย คราวก่อนนั้นแค่ขู่ แต่คราวนี้สิที่เอาชีวิตของจริง
กู้เจียวใส่แรงไม่ยั้ง แม้หนิงอ๋องจะตอบโต้นางได้ แต่นั่นก็ยิ่งทำให้กู้เจียวสนุกกว่าเดิม
ขณะที่กู้เจียวกำลังออกหมัดสุดแรง ทันใดนั้นมีเงาตะคุ่มลงมาจากท้องฟ้า พอมองดูดีๆ ก็พบว่านั่นคือองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้!
องครักษ์หลงอิ่งมองไปที่กระสอบบนพื้น จากนั้นหันไปทางกู้เจียว เขานิ่งหยุดชั่วขณะ และตัดสินใจโจมตีกู้เจียว
ซี้ดดด!
กู้เจียวสูดปากจนรู้สึกเสียวฟัน
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าฮ่องเต้ส่งองครักษ์หลงอิ่งมาคุ้มกันหนิงอ๋อง กู้เจียวเคยต่อสู้กับองครักษ์หลงอิ่งมาก่อน แต่หลังจากที่ฮ่องเต้เรียกองครักษ์หลงอิ่งคืน องครักษ์หลงอิ่งก็ไม่ได้มองกู้เจียวเป็นปรปักษ์ต่อ
เมื่อครู่องครักษ์หลงอิ่งลังเล เขาควรจัดลำดับความสำคัญของงาน แม้กู้เจียวไม่ใช่ศัตรู แต่ฝ่าบาทขอให้เขาปกป้องหนิงอ๋อง
ในเมื่อคำสั่งต้องมาก่อน องครักษ์หลงอิ่งจึงตัดสินใจพุ่งเข้าไปที่กู้เจียว
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงวางมือลงในทันควัน โยนถุงสอบทิ้งแล้ววิ่งหนีออกไป!
หลังจากนั้น พอกู้เจียวลองนึกดูอีกที ก็รู้สึกว่านางยังทำได้ไม่ดีพอ นางควรจะต่อยเขาอีกสักหมัดสองหมัดก่อนจะเขวี้ยงลงไปให้สุดแรงเกิดมากกว่านี้ ไม่น่ารีบวางเลย
ที่ครั้งนี้กู้เจียวเล่นงานหนิงอ๋องซึ่งๆ หน้านั้นไม่ใช่เพราะความหุนหันพลันแล่นของนาง แต่ในเมื่อหนิงอ๋องพุ่งเป้าไปที่สามีของนาง จึงไม่มีความจำเป็นที่กู้เจียวจะต้องเล่นละครสงบศึกอีกต่อไป
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หนิงอ๋องเป็นบุคคลมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง จะมีสักกี่คนที่ต้องการลอบสังหารเขาและมีความสามารถพอในการทำเช่นนั้น
หากนางเล่นงานเขาแบบลับๆ คนที่ถูกสงสัยคนแรกคงหนีไม่พ้นหยวนถัง
นางเป็นคนมีคุณธรรม
ย่อมไม่ปล่อยให้สุนัขตัวใหม่…เอ๋ ไม่สิ เพื่อนใหม่ของนางต้องตกที่นั่งลำบาก
ขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น รู้ตัวอีกทีนางก็วิ่งมาถึงถนนจูเชวี่ยเสียแล้ว
เอ่อ… จะว่าไปนางก็โทษตัวเองไม่ได้ เพราะถนนจูเชวี่ยเป็นหนึ่งในถนนที่ใกล้กับมากที่สุด
เพียงว่านางรู้สึกทึ่งเมื่อจู่ๆ พาตัวเองมาโผล่ที่หน้าเรือนขององค์หญิงซิ่นหยางอย่างไม่รู้ตัว
กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมองที่ประตูเรือน พลางชั่งใจระหว่างกลับไปทางเดิมและถูกองครักษ์หลงอิ่งจับ หรือจะเข้าไปในเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายและอาจได้จิบชายามบ่ายไปด้วย ซึ่งกู้เจียวเลือกอย่างหลัง
ขณะที่นางยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ประตูและกำลังเหยียดส้นเท้าขวาออกไปนั้น
จู่ๆ ก็ดันเป็นตะคริวขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
ในตอนนั้นเอง องค์หญิงซิ่นหยางเตรียมกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี เมื่ออวี้จิ่นเปิดประตูลานเรือน ก็เจอกับกู้เจียวที่อยู่ในสภาพตัวงอหน้าย่น
“ท่านหมอกู้รึ” อวี้จิ่นตกใจพลางเอ่ยทัก
กู้เจียวยืนขึ้นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วินาทีต่อมาตะคริวกลับรุนแรงขึ้น สีหน้าของนางสูญเสียการควบคุมทันที…
“เป็นอะไรไป เจ้าไปชกต่อยกับใครมาจนขาแพลงรึ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยถามพลางหรี่ตามองกู้เจียว
“เปล่า…” กู้เจียวเอ่ย
“อ้อ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยต่อ “หรือเจ้าถูกใครต่อยที่ขามาล่ะ”
กู้เจียว “…”
ประโยคเมื่อครู่แม้จะไม่รุนแรงมาก แต่เป็นการดูหมิ่นอย่างมาก
“ไม่ใช่ว่าหนีออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ต่อสู้ แต่กลับวิ่งจนขากะเผลกสินะ”
กู้เจียวนึกในใจ …นางต่อยเขาแล้วต่างหาก!
“เฮอะ” องค์หญิงซิ่นหยางหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
อวี้จิ่นหันไปมองนายตัวเองที่เดินเข้าห้องไปด้วยสายตาว่างเปล่า นี่หมายความว่า… จะทรงไม่เสด็จออกไปข้างนอกแล้วสินะ
อวี้จิ่นยิ้มแล้วเอ่ยกับกู้เจียว “ท่านหมอกู้ โปรดตามหม่อมฉันเข้าไปข้างในเถิด”
น่องขวาของกู้เจียวตะคริวกินจนหมดแรง นางทำได้เพียงเดินกะเผลกเข้าไปในห้องทีละก้าว สภาพทุลักทุเลนัก
องค์หญิงซินหยางชอบนั่งริมหน้าต่างซึ่งมีแสงสว่างเพียงพอและอากาศถ่ายเทสะดวก และได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกในลาน
อวี้จิ่นพากู้เจียวไปที่เก้าอี้ตรงข้ามองค์หญิงและย่อตัวลงเพื่อช่วยบีบนวดน่องขวาของกู้เจียว “ท่านหมอกู้เจ็บตรงนี้ใช่หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกท่าน ข้าแค่เป็นตะคริว ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย อีกสักพักก็หายดีเอง” กู้เจียวเริ่มสงสัยว่าตัวเองตัวโตเร็วเกินจนร่างกายเกิดขาดแคลเซียม
ที่ภพก่อนหน้านางไม่เคยเป็นตะคริวแบบนี้มาก่อน เพราะตอนนั้นนางเคยอยู่ในองค์กร ทุกคนมีนักโภชนาการมืออาชีพ ทุกคนจะได้รับการดูแลได้รับสารอาการครบถ้วนไม่มีขาด
“ให้หม่อมฉันกดให้นะเจ้าคะ จะได้ไม่เจ็บมาก” อวี้จิ่นเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“เช่นนั้นข้าขอขอบใจท่านอวี้จิ่นมากเลยนะ” กู้เจียวจำได้ว่าไท่จื่อเฟยเคยเรียกนางเช่นนั้น
“หากท่านไม่รังเกียจ โปรดเรียกหม่อมฉันว่าท่านน้าอวี้จิ่นก็ได้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่นหัวเราะพลางเอ่ย
อวี้จิ่นย้ายม้านั่งตัวเล็กๆ วางขาของกู้เจียวไว้บนตักและเริ่มนวดอย่างนุ่มนวล
ด้วยความที่อวี้จิ่นเป็นคนรับใช้องค์หญิงผู้มีอาการป่วยหนัก ฝีมือการนวดของนางดีมากจนกู้เจียวเกือบจะผล็อยหลับไป
อวี้จิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านหมอกู้อายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ยังเด็กและมีอนาคตไกลนัก หม่อมฉันเกรงว่าจะหาหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ดีกว่าท่านในเมืองหลวงได้ยาก”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” กู้เจียวพยักหน้าอย่างจริงจัง
องค์หญิงซิ่นหยางที่กำลังจะฝึกคัดตัวอักษร “…”
แม่นางผู้นี้ ถ่อมตัวกับเขาเป็นบ้างไหม
หลังจากที่องค์หญิงเริ่มสงบจิตสงบใจลงแล้ว ก็เริ่มฝึกคัดตัวอักษรต่อ
กู้เจียวเหลือบมองไปทางองค์หญิง พลางเอ่ย “สามีมักจะขอให้ข้าฝึกคัดลายมือ ดูเหมือนเขาเรียนจากท่านมาสินะ”