สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 442 เติบโต
บทที่ 442 เติบโต
กู้เจียวกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย องครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนบอกนางว่าวันนี้มีคนมาป้วนเปี้ยน เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นองครักษ์ลับเช่นกัน เดินกลับไปกลับมาในตรอกอยู่พักใหญ่ เพื่อจับตาดูบ้านพวกเราเอาไว้เป็นหลัก
“เป็นคนของท่านชายหมิงเย่ว์อะไรนั่นอีกหรือไม่” กู้เจียวถาม
ท่านชายหมิงเย่ว์คือคนที่ซื้อลูกคิดทองคำของเสี่ยวจิ้งคงไป เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาจะใกล้ชิดกับเสี่ยวจิ้งคง ซ้ำยังเคยส่งคนมาจับตาดูที่ตรอกปี้สุ่ยด้วย
แต่หลังจากที่ถูกกู้เจียวจับได้ก็ไม่ปรากฏตัวอีกนานเลย
“ไม่ใช่คนก่อนหน้านี้ขอรับ” องครักษ์เอ่ย
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อออกมา
เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว เป็นคนของหนิงอ๋องแน่นอน
ต้องเป็นหนิงอ๋องที่ส่งมาสืบหาร่องรอยของเซียวลิ่วหลังแน่ๆ หนิงอ๋องก็อยากทราบว่าเซียวลิ่วหลังถูกพบตัวแล้วหรือไม่เช่นกัน ถึงขนาดซ่อนอยู่ในบ้านแล้ว
“เช่นนั้นเขาเจอเซียวลิ่วหลังหรือไม่” กู้เจียวถามต่อ
องครักษ์ลับเอ่ย “ไม่ขอรับ ท่านชายอยู่แต่ในห้องตำราไม่ได้ออกมาเลย คนผู้นั้นหมอบซ่อนอยู่พักหนึ่งไม่ได้อะไรก็กลับไป”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างค่อนข้างพอใจ “ระวังไว้หน่อย หมู่นี้อย่าให้ใครเจอเซียวลิ่วหลัง”
“ขอรับ!”
กู้เจียวเดินไปห้องตำรา นางเปิดกล่องยาใบน้อยออก หยิบผ้าพันแผลกับยาน้ำมาทำแผลให้เซียวลิ่วหลัง
ยามที่นางทำการผ่าตัดนั้นรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จมาก เพียงแต่ชายผู้นี้เคยผ่าตัดมาก่อน การผ่าตัดขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก หากแต่เดินเหินไม่ได้ กู้เจียวห่วงว่าเขาจะเขียนหนังสือไม่ได้เพราะปัจจัยบางอย่างในจิตใจอีก
กู้เจียวครุ่นคิดว่าจะบอกเขาดีหรือไม่ว่าตอนนั้นองค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่คนวางเพลิง นางลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายรู้สึกว่ายังไม่ใช่จังหวะ ซ้ำหลักฐานก็ไม่เพียงพอ
เซียวลิ่วหลังไม่มั่นใจยิ่งว่าองค์หญิงซิ่นหยางยังคงมีความรู้สึกต่อเขาอยู่หรือไม่กันแน่ เขาอาจจะคิดว่าอวี้จิ่นหรือนางกำลังปลอบใจเขาอยู่
เรื่องบางอย่างต้องเป็นองค์หญิงซิ่นหยางบอกเขากับปากเองจะดีกว่า
เรื่องความรู้สึกต้องค่อยเป็นค่อยไป แก้ไขปัญหาใหญ่อย่างหนิงอ๋องก่อนดีกว่า พลังทำลายล้างของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ้งไท่เฟยเลย
อย่างน้อยๆ ท่านย่าก็ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งจิ้งไท่เฟย
นึกถึงท่านย่าขึ้นมากู้เจียวก็ถอนหายใจเบาๆ
ฝนสารทฤดูตกติดต่อกันมาหลายวันในเมืองหลวง อากาศคล้ายจะเย็นลงทันตา กู้เจียวสวมเสื้อผ้าสารทฤดู
โดยปกติแล้วเมื่อเด็กสาวมีระดูแล้วรูปร่างจะไม่สูงขึ้นมากแล้ว แต่นางยังคงสูงขึ้นอยู่
เซียวลิ่วหลังก็เช่นกัน
“แขนเสื้อเขินขึ้นอีกแล้ว” ตอนที่แม่นางเหยากินข้าวพบว่าแขนเสื้อของทั้งคู่คลุมข้อมือไม่อยู่แล้ว “เดี๋ยวข้าจะเลาะชายผ้าที่เก็บด้านในลงมาให้”
อันที่จริงไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน กู้เหยี่ยนก็โตขึ้นไม่น้อย เสียงเขาเริ่มเปลี่ยนแล้วด้วย
เขาเริ่มเสียงเปลี่ยนช้ากว่ากู้เสี่ยวซุ่น แต่จะช้ากว่าเซียวลิ่วหลังหรือไม่ก็ไม่รู้ อย่างไรเสียตอนที่เซียวลิ่วหลังถูกเก็บมาที่หมู่บ้านก็อายุสิบหกเข้าไปแล้ว เข้าสู่ช่วงเสียงเปลี่ยนไปนานแล้ว ช่วงเสียงเปลี่ยนของเขาสิ้นสุดลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ไม่รู้ว่ากู้เจียวมองสามีตัวเองด้วยความลำเอียงหรือเปล่า เอาแต่รู้สึกว่าช่วงที่เซียวลิ่วหลังเสียงเปลี่ยนก็ไม่นับว่าเสียงบาดหูอะไร และยามนี้ก็น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนุ่มทุ้ม ทั้งใส แฝงความดึงดูดของชายหนุ่มเอาไว ยิ่งฟังคนเดียวยิ่งมีความเย้ายวนเป็นพิเศษ
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเซียวลิ่วหลังจะจงใจเย้ายวนนาง
“กินซาลาเปาสิ” แม่นางเหยาคีบซาลาเปาเนื้อแกะใส่หัวผักกาดให้กู้เหยี่ยน
“ข้าไม่กิน” กู้เหยี่ยนเลือกกิน
“เอ๊ะ” เสี่ยวจิ้งคงตาโต มือที่ถือช้อนน้อยๆ ของตัวเองชะงักค้างกลางอากาศ “พี่เหยี่ยน เสียงพี่เปลี่ยนไปแปลกๆ!”
กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังก็ผ่านช่วงเสียงเปลี่ยนกันมาแล้ว กู้เสี่ยวซุ่นยามนี้ยังคงอยู่ในช่วงนั้น เพียงแต่เสี่ยวจิ้งคงมาที่บ้านพวกเขาทั้งสองคนก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนไปกะทันหัน แต่กู้เหยี่ยนเสียงเปลี่ยนจากเด็กไปเป็นแบบนี้ ก้าวกระโดดค่อนข้างมาก
ช่วงเสียงเปลี่ยนของเซียวลิ่วหลังผ่านไปแล้ว เนื้อเสียงแท้ก็เปลี่ยนไป แต่ช่วงแบบนั้นไม่กะทันหันเท่าการก้าวเข้าสู่ช่วงเสียงเปลี่ยน
ด้วยเหตุนี้เสี่ยวจิ้งคงจึงแทบจะไม่ได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของพี่เขยตัวแสบเลย แต่กลับสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของกู้เหยี่ยนได้ทันที
กู้เหยี่ยนยังปรับตัวกับเสียงใหม่ของตัวเองไม่ได้ เขาทั้งตื่นเต้นนิดๆ และเขินอายอยู่หน่อยๆ เขากระแอมในลำคอ คว้าซาลาเปาหมูเข้าปาก “กินของของเจ้าไปสิ!”
เสี่ยวจิ้งคงอยากจะเอ่ยต่ออีกสองสามคำ จู่ๆ กินโดนไส้ด้านใน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ากินซาลาเปาหมูน่าสนใจกว่าถามเรื่องเสียงพี่เหยี่ยนเป็นไหนๆ
วันนี้ฟากฟ้าแจ่มใส สำนักบัณฑิตชิงเหอกับกั๋วจื่อเจียนหยุดเรียนอย่างหาได้ยาก
กู้เจียวจึงพาเด็กๆ ในบ้านเข้าวังไปเยี่ยมท่านย่า
เสี่ยวจิ้งคงเป็นแขกประจำของตำหนักเหรินโซ่ว กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นมากันน้อยครั้ง อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนที่ต้องไปเรียนพิเศษ ช่วยไม่ได้นี่นา
พวกเขาใช้ใบหน้ายืนยันตัวตนเพื่อเข้าวังเหมือนที่แล้วมา ส่วนป้ายคำสั่งฝุ่นจับไปแล้ว
จวงไทเฮาตรวจฎีกาจนไฟลุกท่วมหัว บังเอิญนางกำนัลคนหนึ่งทำโคมแก้วดอกไม้สุดรักสุดหวงของนางล้มคว่ำใส่แท่นฝนหมึกเข้า โคมไฟจึงเลอะเทอะไปหมด นางกำนัลตัวสั่นงันงกคุกเข่าลง
ฉินกงกงทนดูต่อไม่ได้
โชคร้ายที่ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน
ใครจะคิดว่าครู่ต่อมาเฝ่ยชุ่ยจะมาทูลอีก “แม่นางกู้กับพวกท่านชายน้อยมาเพคะ!”
ฉินกงกงรู้สึกว่าไอสังหารด้านหลังจวงไทเฮาพลันดับมอดลง เขารีบส่งสายตาให้นางกำนัลน้อย เอาละ ขอให้เจ้าโชคดี รีบไปเถอะ!
กู้เจียวเอาขนมนมพุทราไม่ใส่น้ำตาลที่ทำด้วยตัวเองมาโหลหนึ่ง เป็นรสชาติหวานจากตัวพุทราล้วนๆ ท่านย่ากินไปหลายลูกก็ไม่เป็นไร
จวงไทเฮานับว่าพออกพอใจกับการมาครั้งนี้ของพวกนางมาก
จวงไทเฮากับกู้เจียวนั่งลงบนระเบียงกินขนมนมพุทรา เด็กๆ ทั้งสามคนเล่นกันอยู่ในลานตำหนัก กู้เสี่ยวซุ่นก็ไม่ได้เอาแต่แกะสลักไม้แล้ว เขาก็มีตอนที่ซุกซนเช่นกัน อย่างเช่นตอนนี้
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเสนอให้ขึ้นต้นไม้ขุดรังนก
ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนมหาศาลจากปีศาจบ้าปีนต้นไม้อย่างเสี่ยวจิ้งคง ส่วนกู้เหยี่ยนไม่เอาด้วย
เขาปีนไม่ขึ้นหรอก
จวงไทเฮามองทั้งสามพูดคุยกันอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย กู้เหยี่ยนใช้กำลังตัวเองเอ่ยวาทศิลป์ล้ำเลิศต่อสู้ด้วยสติปัญญากับช่างไม้ตัวน้อยและเณรน้อย สุดท้ายก็ดึงช่างไม้ตัวน้อยมาเป็นพวกตัวเองได้สำเร็จ พวกขาจะไปตกปลากัน
กู้เหยี่ยนแย้มยิ้มอย่างลำพอง “เณรน้อย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวกระทืบเท้า “ข้าไม่ไปหรอกนะ! ไปกับผีเถอะ!”
“อึก” จวงไทเฮาสะอึกกับคำว่าไปกับผีที่จู่โจมมากะทันหัน จนเกือบต้องช่วยชีวิตอีกหน
กู้เหยี่ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ เจ้ายังไปเรียนรู้เอาคำหยาบมาด้วยรึ ไปเอามาจากใคร”
จากสวี่โจวโจว!
แบร่ แบร่ แบร่!
เสี่ยวจิ้งคงแลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าทะเล้น แล้ววิ่งฉิวไม่ทิ้งฝุ่นไปเลย!
กู้เจียวมองจวงไทเฮาอย่างแปลกใจ “ท่านย่า คงไม่ได้เป็นคนสอนให้หรอกกระมัง”
จวงไทเฮาตรัสอย่างจริงจัง “ข้าจะไปสอนคำพูดพรรค์นั้นได้อย่างไร! ช่วยเชื่อใจกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันจะได้หรือไม่!”
นางก็แค่ไม่ทันระวังพูดไปครั้งหนึ่ง ทำให้ลูกชายคนเล็กของเจ้ากรมกลาโหมได้ยินเข้า แต่นางไม่ได้สอนนี่นา เจ้าเด็กน้อยแอบจำมาเอง!
ตำหนักเหรินโซ่วมีแต่เสียงของเด็กชายทั้งสามลั่นไปหมด เมื่อก่อนจวงไทเฮาไม่ชอบเสียงดังๆ เป็นที่สุด ทว่าหลังจากใช้ชีวิตที่หมู่บ้านชนบทและที่ตรอกปี้สุ่ยมาแล้วช่วงหนึ่ง ความสามารถในการต้านทานเสียงดังของจวงไทเฮาก็ยกระดับขึ้น
อีกอย่างจวงไทเฮาพบว่ากู้เหยี่ยนเสียงเปลี่ยนแล้ว
เฮอะ ในที่สุดเจ้าหนูน้อยนี่ก็จะเติบโตกลายเป็นชายชาตรีแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นอยากกินขนมเปี๊ยะดอกไม้ กู้เจียวจึงถือตะกร้าไปเด็ดดอกไม้ในสวนหลวง
บังเอิญเหลือเกิน ไท่จื่อเฟยก็อยู่ที่นั่นด้วย
นางก็มาเก็บดอกไม้เช่นกัน หากแต่ไม่ได้เอามากิน แต่มาเสียบแจกัน
กู้เจียวมาคนเดียว แต่ข้างกายไท่จื่อเฟยมีชุนอิ๋งตามมาด้วย
กู้เจียวไม่ปราดตามองทั้งคู่เลยสักนิด เดินตรงไปอีกด้านเลือกดอกไม้สดที่ต้องการทันที