สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 454 ความจริง
บทที่ 454 ความจริง
องครักษ์หลงอิ่งไม่มีทางลงมือกับคนที่ไม่มีวรยุทธ์ ทว่าหลงอีนั้น…เป็นองครักษ์หลงอิ่งปลอมที่ปะปนเข้ามา
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเขาไม่จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่แต่งตั้งให้องครักษ์หลงอิ่ง
เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงไม่น้อย คนทั้งสวนหลวงไม่แม้แต่จะหลุดเสียงร้องออกมา!
ณ ห้องทรงอักษรในยามนี้ ฮ่องเต้ยังไม่ทราบเรื่องราวในสวนหลวง พระองค์เล่าทุกสิ่งที่หนิงอ๋องทำให้องค์หญิงซิ่นหยางทราบ
เหตุใดจึงต้องเล่าเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็กังขาเช่นกัน
นางเป็นน้องสาว หาใช่พี่สาว แต่กลับทำเอาพระองค์หัวใจตุ้มต่อมจะแย่แล้ว!
ฮ่องเต้ปิดท้ายด้วยการตำหนิโอรสของพระองค์ที่ทำร้ายโอรสขององค์หญิงซิ่นหยางจนตาย พระองค์ทั้งละอายใจและรู้สึกผิด
แรกเริ่มฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสถึงข้อพิพาทระหว่างหนิงอ๋องกับตำหนักบูรพา เล่าแค่เรื่องเพลิงไหม้เมื่อสี่ปีก่อนว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ และหนิงอ๋องเป็นคนทำ ในฐานะที่พระองค์เป็นบิดาที่เลี้ยงลูกให้เป็นเช่นนี้ ทรงรู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดอย่างยิ่ง“ฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรว่าเป็นหนิงอ๋อง” องค์หญิงซิ่นหยางถาม
“เรื่องนี้…” ฮ่องเต้อ้าปากพะงาบๆ “เราไต่สวนลูกน้องเขาแล้ว ลูกน้องเขาสารภาพว่าทำร้ายอาเหิง”
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยอย่างสงสัย “ฝ่าบาทเหตุใดอยู่ดีๆ จึงไปตรวจสอบหนิงอ๋องเล่า”
นี่ก็เพราะหนิงอ๋องเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันกับตำหนักบูรพาจนเกือบฆ่าไท่จื่อน่ะสิ พระองค์สืบสาวราวเรื่องตรวจสอบได้ว่าหนิงอ๋องมีใจให้เวินหลินหลัง จากนั้นจึงสืบสาวต่อไปถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนด้วย
ไม่ใช่สิ เหตุใดเจ้าจึงเบี่ยงประเด็นเล่า
ความไม่พอพระทัยฉายผ่านแววตาฝ่าบาทที่ไม่อยากเปิดเผยเรื่องงามไส้ในบ้านตนเองนัก
องค์หญิงซิ่นหยางมองฮ่องเต้นิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีท่าทีจะเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นเลย ฮ่องเต้จึงมึนงงขึ้นมา สาเหตุการตายของลูกชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่สนใจเลยรึ เจ้ามาสนใจเรื่องเน่าเฟะของลูกชายข้าไปเพื่อการใด
ฮ่องเต้จนใจ จำต้องเล่าเรื่องที่หนิงอ๋องจะฆ่าน้องชายที่โรงเตี๊ยมให้ฟัง
องค์หญิงซิ่นหยางยังคงมึนงงอยู่ดี “แค่เพราะเขาต้องการจะสังหารไท่จื่อ ฝ่าบาทจึงสงสัยว่าตอนนั้นเขาก็เป็นคนฆ่าเซียวเหิงด้วยอย่างนั้นรึ คนหนึ่งเลวขึ้นมา เรื่องเลวๆ ทั้งหมดก็เลยเป็นฝีมือเขาทั้งหมดอย่างนั้นรึ”
ฮ่องเต้ ‘…ว่ากันตามตรง ถ้าไม่พูดเรื่องนี้เราสองคนก็ได้เป็นพี่น้องกันได้อยู่’
ทว่ายามนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่สงสัยว่าเหตุใดหนิงอ๋องจึงอยากจะฆ่าไท่จื่อเล่า
สิ่งที่เจ้าสนใจมักจะทำเอาคนคาดเดาไม่ได้อยู่ร่ำไปเลยหรือไร
ช่างเถิด ขายหน้าก็ขายหน้าแล้วกัน ลูกชายตัวเองเข่นฆ่าพี่น้อง เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรให้พูดถึงอยู่แล้ว
ดังนั้นฮ่องเต้จึงเล่าเรื่องข้อพิพาทระหว่างหนิงอ๋องกับไท่จื่อเฟยออกมาอย่างละเอียด
องค์หญิงซิ่นหยางร้องอ๋อขึ้น “เช่นนั้นแล้ว พวกเขาสองคนจึงถูกไท่จื่อจับได้คาหนังคาเขาอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้ ‘เจ้าช่วยสนใจเรื่องอื่นจะได้ไหม!!!’
“เอ่อ คงเป็นเช่นนั้นกระมัง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างคลุมเครือ
องค์หญิงซิ่นหยางเงียบไป
ฮ่องเต้เห็นนางไม่เอ่ยอะไร จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรปลอบใจนางอย่างไรดี พระองค์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดถอนใจพลางเอ่ย “เรื่องอาเหิงเราขอโทษเจ้าเหลือเกิน หนิงอ๋องทำผิดมหันต์ เป็นเพราะคนเป็นพ่ออย่างเราไม่สั่งสอนลูกให้ดี เรายากที่จะเลี่ยงความผิดนี้ได้ ไม่ได้หวังให้เจ้าอภัย หวังเพียงว่าเจ้าจะอย่าทรมานตัวเองอีกเลย เจ้าคิดว่าตัวเองไม่ดูอาเหิงให้ดีมาตลอด จึงทำให้อาเหิงต้องจากไปในกองเพลิง ยามนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว มีคน…ลูกชายเราเป็นคนจงใจทำมัน เป็นความผิดของเราเอง หาใช่เจ้าไม่”
ประโยคเหล่านั้นมาจากใจของฮ่องเต้อย่างแท้จริง ตั้งแต่ที่เซียวเหิงเสียชีวิตไปองค์หญิงซิ่นหยางก็ไม่อาจกลับมาสนใสได้ ถึงขนาดออกจากเมืองหลวงสถานที่ที่ทำให้นางเจ็บช้ำใจไป แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับองค์หญิงซิ่นหยางจะไม่ได้สนิทเท่ากับองค์หญิงอันหนิง แต่อย่างไรเสียก็เป็นน้องสาวที่สนิทชิดเชื้อกว่าองค์หญิงคนอื่นๆ อยู่ดี
พระองค์อยากให้นางหายโศกเศร้าได้เสียที
“ฝ่าบาท ข้าขอพบหนิงอ๋องจะได้หรือไม่” องค์หญิงซิ่นหยางโพล่งขึ้น
ฮ่องเต้ชะงักไป
ในฐานะครอบครัวของผู้ถูกกระทำ การขอเจอตัวคนร้ายนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ฮ่องเต้จึงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
“เรา…จะถอดฐานันดรองค์ชายของเขาออก ขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง เนรเทศให้ไปในถิ่นทุรกันดาร หาก…” ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสคำนั้นออกมา ในทรวงเจ็บแปลบขึ้นมา นี่คือโอรสของพระองค์นะ คือโอรสคนโตที่พระองค์เลี้ยงมาเพียงลำพังกับมือ คิดจะตัดก็ตัดได้เลยรึ
ทว่าเป็นเพราะพระองค์เคยลิ้มรสความเจ็บปวดในใจจากการ ‘สูญเสียลูก’ มาแล้ว ดังนั้นจึงยิ่งเข้าใจหัวอกองค์หญิงซิ่นหยาง พระองค์ไม่อาจเอ่ยคำขอร้องให้องค์หญิงซิ่นหยางอภัยได้
ต่อให้องค์หญิงซิ่นหยางจะชักดาบมาฆ่าหนิงอ๋อง พระองค์จะไปพูดอะไรได้
ปล่อยให้หนิงฮ่องฆ่าลูกชายนางได้ แต่ไม่ให้นางล้างแค้นแทนลูกอย่างนั้นรึ
ฮ่องเต้ขอบตาแดงก่ำ ฝืนข่มพลางตรัส “เราจะให้เว่ยกงกงพาเจ้าไป”
องค์หญิงซิ่นหยางลุกขึ้น ก่อนค้อมกายคำนับให้ฮ่องเต้ แล้วเดินตามเว่ยกงกงไปตำหนักด้านข้างที่ขังหนิงอ๋องไว้
ภายในตำหนักด้านข้างอันมืดมิด หนิงอ๋องผมเผ้ารุงรัง สภาพอเนจอนาถ มุมปากมีหนวดเขียวครึ้มขึ้นจางๆ แววตาเหม่อลอยเฉยเมย
“เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” เว่ยกงกงยืนอยู่ด้านนอก พลางผายมือให้องค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางสาวเท้าเข้าไป
อวี้จิ่นตามอยู่ด้านหลัง และกำลังจะตามเข้าไปด้วย
“เจ้ารออยู่ด้านนอก” องค์หญิงซิ่นหยางบอกอวี้จิ่น
อวี้จิ่นชะงัก “เพคะ”
อวี้จิ่นรออยู่ด้านนอกกับเว่ยกงกง
มององค์หญิงซิ่นหยางเดินไปหาหนิงอ๋องที่อยู่มุมห้อง เว่ยกงกงกำลังจะเอ่ยเตือนนางอย่างหวังดีว่าอย่าเข้าไปใกล้มาก คำพูดขึ้นมาถึงลำคอแล้วกลับกลืนลงไป
หากหนิงอ๋องไม่กลัวตายก็จับองค์หญิงซิ่นหยางเป็นตัวประกันเถิด หากทำเช่นนั้นจริงๆ เซวียนผิงโหวซักไซ้เอาความขึ้นมา ฝ่าบาทคงปกป้องชีวิตหนิงอ๋องไว้ไม่ได้แน่
หนิงอ๋องนั่งอยู่กับพื้นมุมห้อง หลังพิงผนัง ใบหน้าปกคลุมด้วยเงามืด
เขาหลับตานิ่ง ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาหรือว่าได้ยินแต่ไม่สนใจกันแน่
องค์หญิงซิ่นหยางหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเขา กดตามองหนิงอ๋อง “คนพวกนั้นเป็นใคร”
หลายวันมานี้หนิงอ๋องถูกขังไว้ในตำหนักหวาชิงจนร่างกายและจิตใจด้านชา เขาไม่สนใจผู้ใด และไม่คิดจะสนใจนางกำนัลคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็มาถามเขาด้วย
ทว่าเมื่อเขาได้ยินเสียงอันคุ้นหู เขาก็ลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เห็นดวงหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งขององค์หญิงซิ่นหยางจริงๆ
องค์หญิงซิ่นหยางใบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้แสงแดดโลมไล้ อีกครึ่งปกคลุมด้วยเงามืด มองดูแล้วค่อนข้างเคร่งขรึมและเย็นยะเยือก
หนิงอ๋องเมินใครก็ได้ แต่ไม่อาจเมินองค์หญิงซิ่นหยางได้
สายตาเขาตกอยู่บนใบหน้าองค์หญิงซิ่นหยางครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลบตาลง “ไม่เข้าใจว่าเสด็จอากำลังพูดถึงอะไร”
“ไม่เข้าใจอย่างนั้นรึ ได้ เช่นนั้นอาจะเล่าอย่างละเอียดจนเจ้าเข้าใจเอง อย่างไรเสียอาก็มีเวลาว่าง” องค์หญิงซิ่นหยางนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา ก่อนมองเขาจากไกลๆ “เจ้าใจกล้าฆ่าเซียวเหิงจริงๆ น่ะรึ”
หนิงอ๋องยิ้มบาง “ดูท่าท่านอาจะรู้เรื่องหมดแล้ว ข้าจะมีหรือไม่มีความกล้าก็ฆ่าไปแล้วมิใช่หรือไร ท่านอามาเพื่อซักไซ้เอาความรึ จะฆ่าจะแกงก็ตามแต่ใจท่านอาได้เลย”
องค์หญิงซิ่นหยางมองเขานิ่ง “เจ้าฆ่าเซียวเหิง แล้วจากนั้นเล่า แค่เพื่อเอาชนะไท่จื่อน่ะรึ”
หนิงอ๋องเอ่ย “เดิมทีข้ากะว่าจะรับนางมาเป็นชายา”
องค์หญิงซิ่นหยางยิ้มเย็น “อย่างนั้นรึ เจ้าทำได้รึ”
แน่นอนว่า…ไม่
ท่านตาไม่มีทางเห็นด้วย จวงไทเฮากับฝ่าบาทก็เช่นกัน
เขาไม่เหมือนไท่จื่อ ที่ยอมสละตำแหน่งไท่จื่อเพื่อแต่งกับเวินหลินหลัง เซียวฮองเฮาขัดลูกชายคนนี้ไม่ได้ จึงจำต้องเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทกับเซวียนผิงโหวให้ตอบตกลงการแต่งงานครานี้
แรกเริ่มเดิมทีเขาก็รู้อยู่แล้วว่าฆ่าเซียวเหิงไปก็เปล่าประโยชน์ เวินหลินหลังกับเขาทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ในที่ลับตลอดกาลเท่านั้น
องค์หญิงซิ่นหยางวิเคราะห์แทนเขา “เจ้าคิดจะฆ่าเซียวเหิงจริง แต่เพื่อความสัมพันธ์น่าอับอายนี่ จึงได้ไปฆ่าทายาทสายตรงสุดรักของข้ากับเซวียนผิงโหว ฉินฉู่หัน ไม่ใช่ว่าอาดูถูกเจ้า แต่เจ้าไม่มีความกล้าและไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น เว้นเสียแต่ว่า…”
ประโยคที่เหลือ องค์หญิงซิ่นหยางละเว้นไว้ นิ้วหนิงอ๋องกำเข้าหากันแน่น
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ย “เว้นเสียแต่ว่าเจ้ารู้ว่าเขาไม่ใช่ทายาทสายตรงของข้ากับเซวียนผิงโหว เป็นเพียงลูกนอกสมรสที่ใช้แสร้งทำเป็นบุตรโดยชอบตามกฎหมายคนหนึ่ง และบุตรนอกสมรสที่ข้าแทบอยากจะกำจัดทิ้งให้พ้นๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
เซวียนผิงโหวนิสัยเจ้าชู้ประตูดิน ในจวนมีอนุอยู่สองคน แต่นั่นผ่านการยินยอมจากนางแล้ว
ส่วนจะมีลูกนอกสมรสหรือไม่นั้นนางไม่สนใจ แต่เซียวเหิงเป็นสิ่งเดียวที่แลกมาด้วยชีวิตของลูกชายนาง
เมื่อนางรู้ความจริงเข้า นางก็ไม่สนใจความเป็นตายของเซียวเหิงอีกต่อไป
อีกทั้งอาจจะทำให้เซวียนผิงโหวคิดว่านางเป็นคนทำด้วย เช่นนั้นหนิงอ๋องก็จะสามารถรอดพ้นจากแผนการร้ายนี้ไปได้สบายๆ
“ใครบอกตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิงให้เจ้ารู้” องค์หญิงซิ่นหยางมองเขานิ่งพลางถาม
หนิงอ๋องยังไม่หายตกใจจากการที่องค์หญิงซิ่นหยางมองทุกอย่างออกจนทะลุปรุโปร่ง ครู่ใหญ่จึงได้หันหน้าหนีแล้วเอ่ย “สืบเอา”
องค์หญิงซิ่นหยางแค่นเสียง “อยู่ดีๆ เจ้าจะไปสืบตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิงเพื่อการใด”
หนิงอ๋องบื้อใบ้ทันที
องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงนิ่ง “อย่าว่าแต่เจ้ารู้เข้าโดยบังเอิญเลย บนโลกนี้ไม่ได้มีความบังเอิญมากมายเพียงนั้น และเจ้าก็ไม่ได้โชคดีเพียงนั้นด้วย”
หนิงอ๋องพลันนึกถึงคำพูดที่ราชครูจวงเคยเตือนเขาว่าในราชวงศ์นี้เจ้าสามารถดูถูกใครก็ได้ แต่อย่าได้ดูถูกองค์หญิงซิ่นหยางเด็ดขาด นางเป็นองค์หญิงที่ไร้มารดาคอยปกป้องและไม่เคยมีผู้ใดฉวยโอกาสจากนางได้
“ข้าไม่ทราบ” หนิงอ๋องบอก
“ไม่ทราบหมายความว่าอย่างไร” องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้ว
หนิงอ๋องครุ่นคิดก่อนเอ่ย “หมายความว่าข้าไม่ทราบว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใคร แต่พวกเขารู้จักข้า ตอนแรกพวกเขาเข้าใกล้ข้าแสร้งทำเป็นมาขอพึ่งข้า มาเป็นที่ปรึกษาของข้า พวกเขาสืบข่าวที่มีประโยชน์มากๆ มาให้ข้าได้จริงๆ ข้าจึงเริ่มให้ความสำคัญและไว้ใจพวกเขา หลายเดือนผ่านไป พวกเขาบอกว่าสืบพบเบาะแสที่สามารถโค้นล่มเซวียนผิงโหวได้ ข้าหวั่นไหวมาก เพราะเซวียนผิงโหวเป็นกำลังช่วยเหลือที่ใหญ่ที่สุดของเซียวฮองเฮากับไท่จื่อ ขอแค่โค่นล้มเขาได้ ข้าก็จะเข้าใกล้ตำแหน่งไท่จื่อไปอีกก้าว”