สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 472 พบศัตรู
บทที่ 472 พบศัตรู
เด็กคลอดออกมาแล้ว องครักษ์ลับก็คลายจุดท่านโหวกู้ได้เสียที “ข้า…ข้าจะกลับไปข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า!” ท่านโหวถลึงตามององครักษ์ลับทั้งสองของกู้เหยี่ยนอย่างเย็นชา ส่วนเท้าก็รีบจ้ำไปยังห้องของแม่นางเหยา
ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ที่ห้องของตัวเอง ห้องของนางกลายเป็นห้องคลอดไปแล้วจึงต้องเก็บกวาดเสียก่อน นางจึงพักฟื้นอยู่ที่ห้องกู้เจียว
นางเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง ผล็อยหลับไปในที่สุด
แม่นางหลิวกลับโรงหมอไปแล้ว แม่นมฝางกำลังอาบน้ำให้เจ้าหนูตัวน้อย
“ฮูหยินเล่า!” ท่านโหวกู้มองไปยังอวี้หย่าร์ที่กำลังเก็บกวาดห้อง
“อยู่ที่ห้องฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ” อวี้หย่าร์ตอบ
ท่านโหวกู้รีบจ้ำเท้าไปยังห้องฝั่งตะวันออก เจ้าหนูน้อยเองก็อาบน้ำเสร็จแล้ว ยามนี้กำลังปล่อยให้แม่นมฝางห่อพันตัวอย่างว่าง่าย
ท่านโหวกู้มองเจ้าหนูน้อย หัวใจก็เต้นถี่รัว ทว่าเขายังคงถามถึงแม่นางเหยาเป็นอันดับแรก “แล้วฮูหยินล่ะ”
แม่นมฝางอุ้มเด็กน้อยพลางก้าวหลีกไปด้านข้าง เผยให้เห็นเตียงด้านหลังนางก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินหลับอยู่เจ้าค่ะ”
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” ท่านโหวกู้ถามอย่างเป็นกังวล พูดพลางก็เดินมาข้างเตียงคว้ามือแม่นางเหยามากำไว้แน่น “ฮูหยินไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
แม่นมฝางทอดถอนใจ ท่านโหวผู้นี้แม้จะเลอะเทอะอยู่บ้าง แต่ก็ดีกับฮูหยินไม่น้อย นางตอบ “ฮูหยินไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านโหวอยากดูลูกไหมเจ้าคะ”
ได้ยินว่าแม่นางเหยาไม่เป็นอะไร จิตใจที่เต้นระส่ำมาทั้งคืนของท่านโหวกู้ก็สงบลงในที่สุด สายตาของเขาหยุดลงที่ห่อผ้าในอ้อมอกของแม่นมฝาง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่อาจปกปิด “ลูกชายหรือลูกสาว”
แม่นมฝางยิ้มเอ่ย “ยินดีกับท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ เป็นลูกชาย”
…
กู้เจียวจัดระเบียบอุปกรณ์การรักษา อันไหนเผาได้ก็เผา อันไหนเผาไม่ก็ฝังให้ลึก จากนั้นนางก็คำความสะอาดกล่องยาใบน้อยสักหน่อย
กล่องยาใบน้อยไม่ได้บิดเบี้ยวเหมือนดั่งตอนเพิ่งมาถึงที่นี่แล้ว
ยามที่นางฟื้นฟูร่างกาย กล่องยาใบน้อยนี่ก็เหมือนจะค่อยๆ ฟื้นตัวเช่นกัน
อันที่จริงกู้เจียวก็เคยเดาเอาไว้ว่า กล่องยานี้อาจจะไม่ใช่สิ่งของที่มาจากโลกสามมิติ แต่อาจมาจากมิติที่เหนือกว่า ไม่อย่างนั้นจะอธิบายได้อย่างไรว่าเจ้ากล่องนี้ถึงได้ตามนางมาด้วยแถมยังราวกับเชื่อมต่อกับคลื่นสมองของนางได้ด้วย
ที่เจ้าสิ่งนี้หน้าตาแสนธรรมดา ก็เพราะนางเป็นคนในมิตินี้ การมองเห็นจึงมีขีดจำกัด
แต่เป็นไปได้ว่าเจ้ากล่องยาใบน้อยนี้อาจจะไม่ได้หน้าตาเหมือนที่นางมองเห็น บางทีด้านซ้ายของมันอาจจะเป็นกำแพง ส่วนด้านขวาอาจจะเป็นลิ้นชัก แต่เพราะอยู่คนละมิติ นางจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
กู้เจียวเคาะเจ้ากล่องยาใบน้อย “ทั้งๆ ที่เป็นวัตถุจากมิติที่เหนือกว่า แต่ทำไมเปลือกนอกถึงได้ดูธรรมดาเหลือเกิน หรือว่าเจ้าเป็นของที่ไม่ผ่านมาตรฐาน แล้วถูกเจ้าของโยนทิ้งมายังมิติของพวกข้า”
สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน เจ้ากล่องยาใบน้อยไร้ปฏิกิริยา
กู้เจียวจัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีขาว เรือนที่โกลาหลมาตลอดทั้งคืนก็สงบลงในที่สุด
กู้เจียวง่วงนิดหน่อย แต่ก็นอนไม่หลับ นางเดินออกไปนั่งเล่นที่ชิงช้าหน้าลานบ้าน
เพิ่งนั่งลงได้ไม่นาน เซียวเหิงก็ถือไม้เท้าเดินเข้ามา
“นี่เจ้าตื่นแล้วหรือยังไม่ได้นอน” กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ยถาม วินาทีต่อมานางถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองพูดจาไม่ได้เรื่อง เขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เห็นชัดว่าไม่ได้นอนทั้งคืนเช่นกัน
เซียวเหิงนั่งลงข้างกายนาง ก่อนจะยื่นผลส้มที่อมเหลืองให้พลางเอ่ย “ยินดีกับหมอกู้ด้วยที่ได้เป็นพี่สาวแล้ว”
กู้เจียวแกะเปลือกส้ม แล้วแบ่งครึ่งหนึ่งวางลงบนฝ่ามือเขา “ยินดีกับใต้เท้าเซียวด้วยที่ได้เป็นพี่เขย”
ทั้งสองต่างหัวเหราะ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งคืนราวกับมลายหายไปกับรอยยิ้มของกันและกัน
กู้เจียวแบ่งส้มให้เท่าๆ กัน คนละหกกลีบ ทั้งสองกินส้มในมือ ตอนนี้กู้เจียวเหลืออีกหนึ่งกลีบ นางไม่ได้กินลงไป แต่กลับวางส้มลงกลางฝ่ามือของเซียวเหิง “แล้วก็ยินดีกับใต้เท้าเซียวด้วยที่ได้เลื่อนตำแหน่ง”
เซียวเหิงเลิกคิ้ว “ฮะ ของขวัญเลื่อนตำแหน่งของข้าคือส้มแค่กลีบเดียวเองหรือ”
กู้เจียวตอบ “เช่นนั้นของขวัญฉลองเป็นพี่สาวของข้ามีคือส้มผลเดียวอย่างนั้นหรือ”
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “แล้วของขวัญฉลองเป็นพี่เขยของข้าคือส้มแค่ครึ่งผลอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียว “…”
นางคิดดีแล้วหรือที่ต่อปากต่อคำกับบัณฑิต
เซียวเหิงหัวเราะคิกคักชอบใจ มองกลีบส้มที่ถูกเกะกลีบอย่างสะอาดหมดจดกลางฝ่ามือ ในหนึ่งก็เสียดายที่จะกิน
“ถ้าอย่างนั้น…” เขาเพิ่งจะอ้าปากพูด แค่สัมผัสได้ถึงน้ำหนักบนแขนขวาของคุณ
กู้เจียวผล็อยหลับซบลงบนไหล่ของเขา
แสงสีทองแหวกผ่านความมืดมิดพร้อมกับหมู่เมฆ สาดส่องทอแสงเข้ามายังกลางโถงของบ้าน
เซียวเหิงกินส้มกลีบสุดท้าย ก่อนจะยกมือขึ้นบังแสงที่แยงตานาง
“คุณชาย คุณ…” อวี้หย่าร์เดินซอยเท้าออกมาจากโถง เดิมทีตั้งใจว่าจะเรียกทั้งสองไปกินข้าว แต่พอเห็นเซียวเหิงยกนิ้วชี้ขึ้นแนบริมฝีปากตัวเองแล้วเป่าลมเบาๆ
อวี้หย่าร์เรียบปิดปากตัวเอง!
เซียวเหิงยกมือบังแสงให้นางอยู่อย่างนั้น ค้างเติ่งไว้จนท่อนแขนชาไปหมด
อวี้หย่าร์กรีดร้องอยู่ในใจ
กรี๊ดดด!
คุณชายเป็นเทพบุตรจากชั้นฟ้าใดกันนี่!
เหตุใดถึงได้อ่อนโยนเช่นนี้!
คุณหนูใหญ่ช่วยใจอ่อนกับคุณชายสักที!
เซียวเหิงรอจนกู้เจียวหลับสนิทถึงจะรวบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งประครองแผ่นหลังของนางไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ช้อนใต้ข้อพับหัวเข่า อุ้มนางขึ้นมาก่อนจะเดินไปยังฝั่งตะวันตก
เสี่ยวจิ้งคงเองก็ตื่นแล้ว เขาไปหาน้องน้อยแล้ว
เซียวเหิงวางกู้เจียวลงบนเตียงของตัวเอง
แม้จะบอกว่าพวกเขานอนร่วมห้องตั้งนานแล้ว แต่ครั้งนี้นางนอนอยู่ห้องของเขา
ความรู้สึกนี้ช่างแปลกใหม่นัก เขารู้สึกหัวใจเต้นรัวอย่างไรก็ไม่รู้
ทุกการกระทำของเขานั้นแสนอ่อนโยน ราวกับนางคืออัญมณีแสนเปราะบาง
เสี่ยวจิ้งคงได้เจอน้องชายแล้วก็กลับมาที่ห้อง เขาผิดหวังเล็กน้อย เพราะน้องชายเอาแต่นอนหลับ เล่นด้วยก็ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่
เมื่อเขามาถึงข้างเตียงถึงได้พบว่ากู้เจียวนอนอยู่บนเตียงของตัวเองและพี่เขย
“โอ๊ะ” เขาตาเบิกโพลง แววตาจ้องเขม็ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สะบัดรองเท้า “ข้าจะนอนต่อ”
เขายังไม่ทันได้ปีนขึ้นเตียงก็ถูกเซียวเหิงก็หิ้วเขาออกจากห้องไป
แขนน้อยๆ ขาป้อมๆ ของเขาห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ “ปล่อยข้าลงนะ! ปล่อยข้าลงนะ! ข้าจะนอนต่อ!”
เขาอยากนอนกับเจียวเจียวนี่!
“ถึงเวลาไปโรงเรียนแล้ว” เซียวเหิงหิ้วเขาเดินออกไปข้างนอกอย่างไรความปรานี
เสี่ยวจิ้งคงอาละวาด!
ฮือ!
ทำไมเด็กต้องไปโรงเรียนด้วย!!!
แม้เซียวเหิงจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็ยังไปสำนักฮั่นหลิน เพราะเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน วันจะลาหยุดเลยก็คงไม่ใช่เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้เหนื่อยล้าขนาดนั้นยังพออดทนไหว
“ข้าไปส่งท่านเอง” หลิวเฉวียนเอ่ย “งีบบนรถสักตื่นเถิดขอรับ”
เซียวเหิงไม่ปฏิเสธ
เพราะยังเช้านัก หลิวเฉวียนจึงขับรถม้าค่อนข้างช้า
เซียวเหิงเอนพิงกับตัวรถแล้วหลับตาลง
เคลื่อนมาได้ครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุดลงโดนกะทันหัน ไม่นานก็เคลื่อนออกไปอีกครั้ง
เซียวเหิงลืมตาขึ้น ถามหลิวเฉวียน “ท่านลุงหลิว เกิดอะไรขึ้นรึ”
“คือว่า…” หลิวเฉวียนชะเง้อมองออกไป เขาเอ่ย “เหมือนจะมีรถม้าของราชนิกูลผ่านมาขอรับ”
เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้แหละหนา หากเหล่าขุนนางเดินทาง คนที่ยศต่ำกว่าก็ต้องหลีกทางให้ บนรถไม่ได้มีเพียงรถม้าของเขาต้องทำเช่นนี้ ด้านหน้ายังมีเหล่าขุนนางอีกไม่น้อยที่ต้องเบี่ยงเขาไปตรอกสองข้างทาง
“รถม้าใครรึ” เซียวเหิงเอ่ยถาม
“เจ้าไม่รู้รึ ก็เก๋อเหล่าน้อยที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่น่ะสิ”
เซียวลิ่วหลังนั่งบนรถม้าคันเก่า คนอื่นจึงทำให้คนอื่นคิดว่าเขามิได้ตำแหน่งสูงส่งอะไร
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเหนือขุนนางซื่อตู๋ชั้นห้า ในเมืองหลวงยังมีทั้งอ๋องทั้งโหวอีกนับไม่ถ้วน
แต่เก๋อเหล่าหรือราชเลขานั้นต่างออกไป
เขาคือขุนนางที่ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ที่สุด
แต่อีกฝ่ายเติมคำว่าน้อยอีกคำ….
“เก๋อเหล่าน้อยคนใดรึ” หลิวเฉวียนถามบัณฑิตคนนั้น
หลิวเฉวียนนั้นเข้าใจตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงเป็นอย่างดี หากเป็นราชเลขาหนุ่ม ชั้นขุนนางคงเทียบลิ่วหลังของเขามิได้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจะไม่หลีกทางให้ก็ย่อมได้
บัณฑิตผู้นั้นถาม “จะเป็นเก๋อเหล่าน้อยคนใดได้อีกเล่า ก็ต้องอันจวิ้นอ๋องตระกูลจวงน่ะสิ! ทำงานที่สำนักฮั่นหลินไปสี่เดือนก็ได้เลื่อนตำแหน่งเข้ามาอยู่ในคณะเสนาบดีแล้ว สมกับเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งของเมืองหลวง”
บัณฑิตอันอับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ผู้ใดขนานนามให้เขากัน
เป็นปั้งเหยี่ยนก็เรียกว่าที่อันดับหนึ่งแล้วหรือ แล้งลิ่วหลังของเป็นถึงจอหงวนจะเรียกว่าอะไร
สิ่งที่เซียวเหิงสนใจมิใช่คำว่า ‘อันดับหนึ่งของเมืองหลวง’ แต่เหมือนว่ายามที่องค์หญิงซิ่นหยางบอกเขาเรื่องที่อันจวิ้นอ๋องได้เลื่อนตำแหน่งไปทำงานในคณะเสนาบดี บอกว่าเขาได้รับแต่งตั้งเป็นราชเลขาชั้นเจ็ด แต่ว่าวันนี้ชาวเมืองกลับเรียกเขาว่าราชเลขาน้อยแล้ว
เก๋อเหล่ามิใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นชื่อเรียกมมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดี แต่ใช่ว่ามหาบัณฑิตทุกคนในคณะเสนาบดีจะได้รับขนานนามว่าเก๋อเหล่า มีเพียงราชเลขาที่เป็นมหาบัณฑิตจากตำหนักจงจี๋ ตำหนักเจี้ยนจี้และตำหนักเหวินฮว่าเท่านั้นที่จะถูกเรียกว่าเก๋อเหล่า
ส่วนมหาบัณฑิตจากตำหนักอู่อิง ตำหนักเหวินเยียน และตำหนักตงจะถูกเรียกว่าเก๋อเหล่าน้อย
ข่าวจากองค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางผิด อันจวิ้นอ๋องต้องได้เป็นจงซู ราชเลขาชั้นเจ็ดแน่นอน ส่วนที่เหนือกว่าจงซูนั้นยังมีซูเฉิงหรือราชเลขาชั้นหก เสวียเฉิงหรือราชเลขาชั้นห้า เก๋อเฉิงหรือราชเลขาชั้นสี่ ซื่อเสวียซื่อหรือราชเลขาชั้นสาม แม้คนเหล่านั้นตำแหน่งเหนือกว่าก็ไม่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าเก๋อเหล่าน้อย
สมญานามเก๋อเหล่าน้อยของอันจวิ้นอ๋องนั้นคงมาจากชาติกำเนิด
ว่าอีกอย่างก็คือเขาคือหลานชายของราชครูจวง ได้เขามาอยู่ในคณะเสนาบดีก็เท่ากับกุมอำนาจเสนาบดีได้แล้ว
เก๋อเหล่าน้อยก็แค่คำเรียกล่วงหน้าเท่านั้น สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นอัครราชเลขาหรือต้าเก๋อเหล่าอยู่ดี