สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 473 รังแกคนเกินไป
บทที่ 473 รังแกคนเกินไป
หลิวเฉวียนหันกลับมามองเซียวเหิง ก่อนเอ่ยถาม “ลิ่วหลัง พวกเราต้องถอยหรือไม่”
หากว่ากันด้วยเรื่องตำแหน่งขุนนางแล้ว ยามนี้เซียวเหิงเป็นซื่อตู๋ขั้นห้า แต่อีกฝ่ายเป็นอันจวิ้นอ๋อง จึงไม่อาจล่วงเกิน
“ไม่ถอย” เซียวเหิงบอก “หากจะต้องถอยก็ต้องเป็นเขาที่ยอมให้ข้า”
“เหอะ ปากดีจริงๆ!”
รถม้าของอันจวิ้นอ๋องเคลื่อนมาหยุดลงตรงข้ามกับรถม้าของเซียวเหิง สิ่งที่ลอยมาจากในนั้นหาใช่เสียงของอันจวิ้นอ๋อง แต่เป็นราชครูจวง
ท่ามกลางฝูงชนมีคนจำเสียงได้ จึงตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ราชครู!”
ใครก็ไม่ได้คาดคิดว่าราชครูจวงจะนั่งอยู่ในรถม้าของอันจวิ้นอ๋อง!
พวกขุนนางที่หลีกทางให้อันจวิ้นอ๋องเหล่านั้นลอบโล่งใจที่ตนไม่ได้วางท่าวางมาดและหลบทางให้แต่โดยดี มิฉะนั้นยามนี้คนที่จะถูกราชครูตบหน้าก็คงเป็นพวกเขาแน่แล้ว
ไอ้หนุ่มนี่เป็นใครกัน ฟังจากเสียงแล้วยังหนุ่มไม่น้อย คงจะเป็นหนุ่มน้อยผู้เย่อหยิ่งไม่รู้ความเตะโดนตอเข้ากระมัง!
คนอื่นจำเสียงเซียวเหิงไม่ได้ แต่ราชครูจวงจะฟังไม่ออกเลยรึ
คนที่เอาแต่เป็นปรปักษ์กับเขา แย่งความรักความเอ็นดูของไทเฮาไป ทำให้ไทเฮาเฉยเมยห่างเหินกับตระกูลจวง ล้วนเป็นไอ้หนุ่มที่ชื่อเซียวลิ่วหลังนั่นที่แอบวางแผนลับหลัง!
ราชครูจวงถูกจวงไทเฮาตักเตือนไม่ให้กลั่นแกล้งเซียวลิ่วหลัง แต่เรื่องที่มันถูกต้องตามกฎตามธรรมเนียมคงไม่เรียกว่าการกลั่นแกล้งแล้วกระมัง
ราชครูจวงจึงให้คนขับรถเลิกม่านขึ้น เขานั่งอยู่ในรถม้ากว้างขวาง ปวงชนลอบมองสภาพภายในรถม้าอันหรูหราของตระกูลจวงจากมุมของตัวเอง
ดูเหมือนคำพูดและการกระทำจะเป็นไปตามจรรยาบรรณและกฎหมาย ใครจะไปคาดคิดว่าที่วางแขนธรรมดาๆ จะเป็นไม้หนานลูกไม้สีทองสูงค่าเช่นนี้
ม่านเลิกขึ้นมาเพียงครึ่งเดียว บังเอิญเผยร่างราชครูจวงออกมาพอดี และข้างๆ เขา เห็นรองเท้าขุนนางไร้ตำหนิคู่หนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นของหลานชายเขาอย่างอันจวิ้นอ๋อง
ราชครูจวงยิ้มเย็นมองรถม้าฝั่งตรงข้าม “นี่เซียวซื่อตู๋มิใช่หรือไร เซียวซื่อตู๋มาขวางทางตรงนี้ไม่ยอมไปไหน กำลังรอให้ข้าหลีกทางให้อยู่รึ ขุนนางสำนักฮั่นหลินไม่เห็นหัวใครเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้แต่ราชครูของราชสำนักก็ยังจะต้องหลีกทางให้ซื่อตู๋ต่ำต้อยคนหนึ่ง”
ในถ้อยคำนี้ค่อนข้างไม่ไว้หน้าให้เซียวลิ่วหลังเลย ต่อให้เซียวลิ่วหลังเก่งกาจกว่านี้ ต่อให้เป็นจอหงวนคนใหม่ที่ฝ่าบาททรงไว้ใจอย่างไร ก็เป็นเพียงขุนนางฮั่นหลินตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะเหมือนราชครูจวงที่เป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งในราชสำนักแต่แรกแล้ว มาขวางทางของราชครูจวงแบบนี้ มันลนหาที่ให้เหยียดหยามชัดๆ
ทว่าการโจมตีของราชครูจวงไม่ได้มีเพียงวาจาเมื่อครู่นี้เท่านั้น เขาเอ่ยขึ้นอีก “เจ้าคงไม่ได้อาศัยว่าคนในวังให้ท้ายเจ้า แล้วไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาหรอกกระมัง”
คนในวังให้ท้าย ใครล่ะเป็นคนให้ท้ายเขา
ราชครูจวงไม่ได้บอกว่าเป็นไทเฮาออกมาตรงๆ ทุกคนจึงย่อมต้องคิดว่าเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกันอยู่แล้ว
ฝ่าบาททรงรับผู้มีความสามารถด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ทว่าเขาอายุยังน้อยก็อาศัยว่าตนเองได้รับการโปรดปรานและความไว้วางใจมาวางท่าหยิ่งยโสโอหัง เห็นได้ชัดเลยว่าไม่เหมาะจะได้รับเกียรติจากฝ่าบาท
“มาจากชนบท ไม่เคยเห็นโลกน่ะสิ”
“มิน่า เขาคงไม่รู้ว่าพระทัยฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ไม่มีความโปรดปรานจากฝ่าบาท เขาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
“แค่นี้ก็วางท่ายโสโอหังเพราะได้รับความโปรดปรานเสียแล้ว คิดว่าตัวเองเหมือนกับอันจวิ้นอ๋องที่มีต้นทุนให้เย่อหยิ่งหรือไร”
“แต่อันจวิ้นอ๋องไม่เย่อหยิ่งนะ! อันจวิ้นอ๋องทั้งสุภาพทั้งถ่อมตัว รู้จักถอยรู้จักก้าวอย่างเหมาะสม ไม่เคยทำเกินตัว นี่ต่างหากที่เรียกว่าบุคลิกน่าเชื่อถือของตระกูลใหญ่!”
“มีคำคำหนึ่งว่าว่าอะไรนะ น้ำเต็มถังไม่แกว่ง น้ำครึ่งถังโยกเยก!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ทุกคนรู้สึกขบขันกับการเยาะเย้ยของชายชรา
มนุษย์นั้นโดยมากจะมีสภาพจิตแปลกๆ อยู่ คือชอบเห็นคนอื่นตกต่ำมาจากที่สูง และจะมีความสุขกับการวิจารณ์ตัดสินนั้น
ทุกคนต่างรอชมการเยาะเย้ยเซียวลิ่วหลัง เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ บุรุษรูปงามในอาภรณ์ม่วงตลอดร่างเดินมาจากด้านหลังฝูงชนอย่างสบายๆ
เขามีมาดและกลิ่นอายแข็งแกร่ง ฝูงชนที่เดิมทีเบียดเสียดกันจนหายใจไม่ออกแทบจะหลีกทางให้เขาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อราชครูจวงเห็นสีหน้าของคนผู้นี้ก็ชะงักไปทันที “เซวียนผิงโหวรึ”
เซวียนผิงโหวหยุดฝีเท้าลงข้างรถม้าของเซียวเหิง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองราชครูจวง “โอ๊ะ นี่ราชครูจวงมิใช่รึ บังเอิญจริง เจ้าก็จะไปประชุมเช้าเหมือนกันรึ”
นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ยังจะไปประชุมเช้าอะไรอีก
เขาประชุมเลิกกันไปหมดแล้ว!
ไม่สิ เขาใช้คำว่า ‘เหมือนกัน’ ในประโยค
เซวียนผิงโหวอย่างเจ้าอยากขายหน้านักรึ พูดอย่างกับว่าวันนี้เจ้าจะไปประชุมเช้าอย่างนั้นแหละ!
ราชครูจวงแค่นเสียงเย็นออกมา “เซียวผิงโหวไม่ได้ไปประชุมเช้าตั้งนานนมแล้ว เกรงว่าแม้แต่เวลาประชุมก็คงจะลืมไปแล้วกระมัง”
เซวียนผิงโหวหัวเราะ “ก็จริง ฝ่าบาททรงเมตตา และทรงเห็นใจในบาดแผลเก่าของข้าที่จะยังไม่หายดีจึงละเว้นไม่ให้ข้าเข้าประชุมเช้าให้ลำบาก”
ไม่หายดีกับผีน่ะสิ!
เซวียนผิงโหวอย่างเข้าไม่เคยไปเข้าประชุมเช้าดีๆ เลยสักวันต่างหาก!
แน่อยู่แล้ว ฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้จริงๆ แต่ไม่ได้ทรงเห็นใจเซวียนผิงโหวอะไรจริงๆ หรอก แต่เป็นเซวียนผิงโหวที่ทำผลงานมากเกินไป ฮ่องเต้กลัวว่าเขาจะทำขุนนางแคว้นเจาขายหน้า จึงได้คิดเหตุผลนี้ให้เขาก็แค่นั้น
“มีที่นั่งหรือไม่” เซวียนผิงโหวถามหลิวเฉวียนคล้ายไม่ได้ใส่ใจ
“อ๊ะ มีขอรับ”
“ไม่มี”
หลิวเฉวียนกับเซียวเหิงเอ่ยขึ้นพร้อมกันคนละความหมาย ประโยคที่สองเซียวลิ่วหลังเป็นคนเอ่ย
ทุกคนต่างถลึงตาโตขึ้นทันที
พวกเขาไม่ได้หูแว่วกระมัง นึกไม่ถึงว่าขุนนางฮั่นหลินจะปฏิเสธเซวียนผิงโหวกลางถนนโต้งๆ เขากลัวจะไม่โดนเซวียนผิงโหวตีตายหรือไร!
ราชครูจวงก็หัวเราะเฮอะๆ ขึ้นมาเช่นกัน
“มีรึ ดีเลย!”
เซวียนผิงโหวเมินคำปฏิเสธของเซียวเหิงไปทันที เขายิ้มแย้มขึ้นมานั่งบนรถม้าเซียวเหิงด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ รื่นไหลเนียนมาก!
เซียวเหิง “…”
ราชครูจวง “…”
ทุกคน “…”
หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว ราวกับไม่รู้ว่ารถม้าของเซียวเหิงขวางทางราชครูจวงอยู่
หากว่ากันตามตำแหน่งแล้ว เขาเป็นอู่โหวขั้นหนึ่ง ราชครูจวงเป็นหนึ่งในตำแหน่งซานกง มีลำดับขั้นหนึ่งตามแบบ
หากว่ากันตามฐานันดร เขาเป็นพี่น้องของฮองเฮาคนปัจจุบัน ราชครูจวงเป็นพี่น้องฮองเฮาคนก่อน
หากว่ากันเรื่องอำนาจ เขากุมอำนาจทางการทหารเอาไว้ในมือ ราชครูจวงลอบกุมอำนาจใหญ่ในราชสำนักเอาไว้
หากว่ากันเรื่องชาติตระกูล ตระกูลเซียวสู้ตระกูลจวงที่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ร่ำรวยไม่ได้เลย แต่เซวียนผิงโหวก็ยังมีอีกฐานันดรหนึ่งอยู่ เขาเป็นราชบุตรเขยของราชสำนักนี้
เป็นราชบุตรเขยที่มีอำนาจอย่างแท้จริง
ตั้งแต่สมัยโบราณมา ผู้ที่แต่งงานกับองค์หญิงนั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นขุนนางในราชสำนัก แต่เซวียนผิงโหวเป็นคนแรก
เซวียนผิงโหวไม่สนใจว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เขานั่งลงอย่างสบายๆ มองราชครูจวงอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย แววตานั้นแทบจะบอกว่า ข้าไม่มีวันหลีกทางให้เจ้าหรอก อยู่มันอย่างนี้ก็ได้! เซวียนผิงโหวก็อวดดีเป็นคนพาลไร้เหตุผลแบบนี้แหละ!
ราชครูจวงโมโหกัดฟันกรอด
เซวียนผิงโหวเอนหลังพิงเบาะรถอย่างเกียจคร้าน ก่อนเลิกคิ้วเอ่ย “ข้าไม่กลัวจะไปสายหรอก ไม่รู้ว่าราชครูจวงกับหลานชายของเจ้าก็ไม่กลัวเรื่องไปสายเหมือนกันหรือไม่”
ล้อเล่นอะไรอยู่ อันจวิ้นอ๋องเข้าคณะเสนาบดีวันแรกจะไปสายได้อย่างไร!
ราชครูจวงโมโหจนปวดหัวไปหมด หากเซวียนผิงโหวไม่ได้เกิดมาเพื่อเล่นงานเขา บนโลกนี้จะมีเซวียนผิงโหวที่ไร้ยางอายอันธพาลไร้เหตุผลเช่นนี้ได้อย่างไร!
ทว่า เขาไม่ได้โมโหนานก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงคลายลง “พวกเราไปสาย แล้วเซียวซื่อตู๋จะไม่สายไปด้วยรึ”
หากเขาจำไม่ผิด นี่ก็เป็นวันแรกที่เซียวลิ่วหลังได้เลื่อนขั้นเช่นกัน!
เซวียนผิงโหวอย่างเจ้าจะออกหน้าให้เซียวลิ่วหลังไม่ใช่หรือไร
เอาสิ เจ้าทำข้าสาย ดูซิว่าเขายังจะซาบซึ้งในบุญคุณเจ้าหรือไม่!
ดวงหน้าหล่อเหลาของเซวียนผิงโหวทะมึนขึ้นจริงๆ
โธ่เว้ย!
ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!
เขาหรี่ตามองจิ้งจอกเฒ่าแซ่จวงตรงหน้า แล้วหันมามองเซียวเหิงที่อยู่ข้างๆ ที่มีสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะขยับไปใกล้แล้วเอ่ยเบาๆ ราวกับปลอบเด็กน้อย “วางใจได้ ไม่ทำเจ้าสายแน่นอน”
เพิ่งจะเอ่ยจบ เขาก็ยืดตัวตรง น้ำเสียงเย็นชา เอ่ยขึ้นอย่างนิ่งเรียบ “ฉางจิ่ง เก็บกวาดสิ่งกีดขวางที”
ฉางจิ่งเร้นกายมาตรงหน้ารถม้าตระกูลจวง องครักษ์ตระกูลจวงยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฉงจิ่งก็ยกตู้โดยสารขึ้นมาทั้งคันแล้ว
“ยกเบาๆ วางเบาๆ มีมารยาทด้วย” เซวียนผิงโหวเอ่ยเตือน
“ขอรับ” ฉงจิ่งค่อยๆ วางตู้โดยสารลงอีกด้านหนึ่งอย่างช้าๆ จริงๆ
ราชครูจวงโมโหจนควันออกหู สบถคำหยาบขึ้นในใจทันที
มารดามันเถิด เจ้ามายกรถม้าข้าขนาดนี้แล้วจะมีมารยาทอะไรอีก!
เจ้าเอาหน้าที่ไหนมาพูดคำพรรค์นี้ออกมา!
ราชครูจวงเพลิงโทสะท่วมฟ้า ตัวสั่นไปหมด “เซวียนผิงโหว! เจ้าอย่ารังแกคนให้มันมากนักนะ!”
โดนคนรับใช้ของเซวียนผิงโหวยกรถม้าบนถนนกันโต้งๆ หากลือออกไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ตระกูลจวงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เซวียนผิงโหวเดิมทีจะจากไปแล้ว จู่ๆ มาถูกราชครูจวงตวาดใส่ เขาจึงเลิกม่านขึ้น ส่งสัญญาณให้หลิวเฉวียนจอดรถ
หลิวเฉวียนไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาจอดรถลงแต่โดยดี
เซวียนผิงโหวเดินลงจากรถม้ามาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยุดตรงหน้ารถม้าราชครูจวง
จู่ๆ ลางสังหรณ์ที่เป็นลางร้ายก็เกิดขึ้นในใจของอันจวิ้นอ๋อง เขากำลังจะเกลี้ยกล่อมปู่ แต่น่าเสียดายที่สายไปแล้ว
เซวียนผิงโหวใช้ฝ่ามือผ่ารถม้าให้แหลกทันที ผนังรถแตกออกทั้งสี่ด้านร่วงกราวลงกับพื้น อันจวิ้นอ๋องกับราชครูจวงเผยสู่สาธารณะชนอย่างไม่ทันตั้งตัว
รถม้าถูกทำลายเหลือแต่ม้านั่งยาว ทั้งสองนั่งอยู่บนม้านั่งยาวนั้น ราวกับถูกถอดเปลื้องผ้าจนเกลี้ยงทันใด กระอักกระอ่วนจนหน้าแดงเห่อ
เซวียนผิงโหวมองราชครูจวง ก่อนจะหยักยกมุมปากอย่างลำพอง “นี่ต่างหากที่เรียกว่ารังแกคนมากเกินไป”
ราชครูจวง “…!!”