สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 476-3 เด็กน้อยเจ้าบทบาท (3)
บทที่ 476 เด็กน้อยเจ้าบทบาท (3)
หยวนถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ค่อนข้างเดือดดาลขึ้นมา “เจ้าหมายถึงเสด็จลุงปั๋วชินอ๋องของข้ารึ ไม่มีทาง! เขาเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับเสด็จพ่อ เป็นพี่น้องที่เสด็จพ่อไว้ใจที่สุด! ใครจะคิดกบฏก็ได้แต่ไม่มีทางเป็นเขาได้!”
“อย่างนั้นรึ” กู้เจียวเลิกคิ้ว
หยวนถังมั่นใจว่าเสด็จลุงตัวเองไม่มีทางคิดกบฏ “อีกอย่าง ครานี้มีเสด็จตาและเสด็จลุงใหญ่ของข้าร่วมทางไปด้วย ต่อให้เสด็จลุงข้าคิดจะกบฏ พวกเขาก็ไม่มีทางนั่งนิ่งดูดายแน่นอน”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมาคำหนึ่ง เอ่ย “หากพวกเขาร่วมมือกันคิดก่อกบฏเล่า”
หยวนถังคล้ายโง่งมไป เขามองกู้เจียวแวบหนึ่ง “เหตุใดท่านตาข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย ทำเช่นนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร”
กู้เจียวเมินสายตาจ้องเขม็งของเขา เอ่ยอย่างเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้าน “นั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลหรงของพวกเจ้า”
หากไม่ใช่เพราะปั๋วชินอ๋อง ไหนจะตระกูลหรงอีก กองทัพตระกูลกู้จะเสียเปรียบขนาดนั้นได้อย่างไร
หยวนถังรู้สึกว่ากู้เจียวช่างเหลวไหลสิ้นดี “ข้าไม่เชื่อ! เจ้าไปฟังข่าวลือบ้าๆ นี่มาไหน”
“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” กู้เจียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุด เดิมทีที่นางมาที่นี่ก็ไม่ได้จะทำให้หยวนถังเชื่ออะไรอยู่แล้ว แต่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าฝันตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นล่วงหน้า
เป้าหมายของนางลุล่วงแล้ว เนื่องจากมีคุณธรรม นางจึงเตือนเขาด้วยความหวังดีก็เท่านั้น
เขาเชื่อก็จะดีที่สุด ไม่เชื่อนางก็ไปคิดหาวิธีอื่นแทน นางไม่ได้สนใจเขาอีก
“นิ้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” กู้เจียวมองหลิ่วอีเซิงที่อยู่ข้างๆ
หลิ่วอีเซิงแววตาขยับไหว เอ่ย “ดีขึ้นมากแล้ว”
“ข้าขอดูหน่อย” กู้เจียวยื่นมือไปหา
หลิ่วอีเซิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นนิ้วไปให้บนฝ่ามือนาง
นางจับปากแผลที่เย็บสนิทเบาๆ “ยังเจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้ว”
ค่อนข้าง…คันนิดหน่อย
หลิ่วอีเซิงหลบตาลง
กู้เจียวงอนิ้วเขาไปมา นางลองทดสอบกำลังของเขา หลิ่วอีเซิงก็รู้ดีว่านางเป็นหมอ ทว่าการกระทำนี้สำหรับเขาแล้วก็ยังค่อนข้างสนิทสนมอยู่ดี
เขาลมหายใจขาดห้วง
“เจ็บรึ” กู้เจียวถาม
“ปะ…เปล่า” หลิ่วอีเซิงรีบปฏิเสธ
“อืม ฟื้นฟูได้ไม่เลว” กู้เจียวไม่ได้คิดอะไรมาก นางวางมือหลิ่วอีเซิงลง ก่อนก้มลงไปลูบเจ้าแมวของเขา ลูบจนดวงตาสองข้างก็เจ้าแมวหรี่ลงอย่างพออกพอใจ
หลิ่วอีเซิงมองกู้เจียวทำแบบนี้ เด็กสาวภายใต้แสงตะวันช่างงดงามชวนใจสั่น ไม่ได้ขี้ขลาดเพราะปานบนใบหน้าแม้แต่น้อย นางใช้ชีวิตตรงไปตรงมา ราวกับดวงตะวันกล้าอันร้อนแรงบนฟากฟ้า
กู้เจียวลูบเจ้าแมวจนพอใจจึงได้ลุกขึ้นกลับ
ระหว่างทางนางคิดถึงเรื่องกากเดนในราชวงศ์ก่อนกับโจรสลัดมาตลอดทาง
ทั้งสองอย่างนี้แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน นางรู้สึกว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญ ราวกับมีใครจงใจปลุกปั่นเหตุขัดแย้งบนเกาะขึ้นมาก่อน อาศัยสิ่งนี้ล่อเซวียนผิงโหวไป จากนั้นก็ลงมือกับจวนติ้งอันโหวและกองทัพตระกูลกู้
นี่เป็นแผนการใหญ่ที่มุ่งมายังแคว้นเจา การทำลายกองทัพตระกูลกู้ก็เหมือนกับตัดแขนแคว้นเจาไปข้างหนึ่ง เพียงแต่กู้เจียวสัมผัสได้รางๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
วิธีที่คนเหล่านี้ทำกับท่านเหล่าโหวและกู้เฉิงเฟิง รวมถึงการตัดขาทั้งสองข้างของกู้ฉังชิง ไม่เพียงจะทำลายพวกเขาอย่างง่ายดายแล้ว ยังเหมือนเป็นการแก้แค้นและเหยียดหยามสูงสุดด้วย
คนตระกูลกู้ไปล่วงเกินพวกกบฏราชวงศ์ก่อนเข้ารึ
จิ้งไท่เฟยเป็นกบฏราชวงศ์ก่อน แต่การตายของนางเหมือนจะไม่เกี่ยวกับคนตระกูลกู้เลยนี่นา
กู้เจียวยังคงคิดไม่ตกกับจุดสำคัญในเรื่องนี้
แน่นอนว่าแก้แค้นและเหยียดหยามนั้นอาจเป็นเพียงสิ่งที่นางเข้าใจผิดก็ได้
ไม่รู้ว่ากบฏราชวงศ์ก่อนสบคบคิดกับโจรสลัดจริงหรือไม่ นางหวังว่าจะไม่ หากเป็นเช่นนั้นช่วงเวลาที่โจรสลัดก่อความวุ่นวายก็คงไม่ได้เกิดขึ้นล่วงหน้า เซวียนผิงโหวก็จะยังมีเวลาขึ้นเหนือ
เซวียนผิงโหวขึ้นเหนือ ขวัญกำลังใจกองทัพแคว้นเฉินอย่างน้อยจะได้ลดฮวบลงกึ่งหนึ่ง
น่าเสียดายที่ความเป็นจริงมันมักจะโหดร้ายเสมอ
ในคืนนั้นเอง เมืองหนานไห่ก็มีรายงานทางการทหารเร่งด่วนส่งมาว่า เมืองหนานไห่เกิดการโจรกรรมขึ้นวุ่นวาย เกาะสูญเสียการป้องกัน ผู้บังคับการกองทัพเรือถูกสังหาร ขอราชสำนักส่งกำลังสนับสนุน
เมื่อตอนที่ข่าวลอยเข้าวังหลวง ฮ่องเต้กับกู้เจียวก็ต่างอยู่กันที่ตำหนักเหรินโซ่ว
ท่านย่ากับฮ่องเต้ต่างไม่ได้หลบเลี่ยงกู้เจียว ให้นางได้ฟังรายงานขององครักษ์ด้วย และได้ฟังความเห็นของทั้งคู่ที่มีต่อเรื่องนี้ด้วย
ฮ่องเต้ตรัสอย่างทำอะไรไม่ถูก “ผู้บังคับการถูกสังหาร ทหารเรือไร้ผู้นำ เหล่ารองแม่ทัพก็ยังอายุน้อยๆ กันเกินไป ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ไม่ได้ ราชสำนักยามนี้มีแม่ทัพที่มีประสบการณ์อยู่สองสามคน แต่จนใจที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับทหารเรือ”
“ข้าจำได้ว่าเซวียนผิงโหวเคยไปเป็นทหารเรือสองสามปีนี่” จวงไทเฮาเอ่ยขึ้น
“อ๊ะ จริงด้วย” ฮ่องเต้เพิ่งจะนึกขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด “ตอนเขาหนุ่มๆ ก็ติดตามลุงกับพ่อไปรับตำแหน่งที่เมืองหนานไห่ นั่งตำแหน่งทหารเรือจนถึงผู้บังคับการเลย”
หากเซวียนผิงโหวรับตำแหน่งอยู่เมืองหนานไห่ อันที่จริงก็สามารถดูเป็นผู้บังคับการทหารเรือได้ จนใจที่เขากลับมาแล้ว
กลับมาเพื่อแต่งงานกับองค์หญิงซิ่นหยาง
เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าการแต่งงานดีๆ แท้ๆ กลับใหญ่โตจนถึงขั้นนี้จนได้
“ความจริงแล้ว…” ฮ่องเต้หยุดเว้นจังหวะ เอ่ยถึงที่อยู่ของกู้ฉังชิง “กู้ฉังชิงอยู่ใกล้ๆ เขาเฟิงตู ห่างจากเมืองหนานไห่ไปแค่สิบวันเดินทาง”
กู้ฉังชิงไปเขาเฟิงตูเพื่อรับทหารองครักษ์สามหมื่นนายที่ท่านเหล่าโหวฝึกฝนไว้อย่างลับๆ นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของราชวงศ์ เดิมที่ใช้ในการจัดการกับจวงไทเฮา ยามนี้ไม่จำเป็นแล้ว
ทว่าจะใช้งานสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เช่นกัน
จวงไทเฮาไม่ได้ถามว่ากู้ฉังชิงไปแถวเขาเฟิงตูทำไม นางแค่รับเรื่องเมืองหนานไห่พลางเอ่ย “เขาไม่มีประสบการณ์การเป็นทหารเรือ บารมีไม่แก่กล้าพอ ยากจะทำให้ประชาชนเชื่อถือได้”
ทหารเรือกับทหารบกแตกต่างกันอย่างมาก กู้ฉังชิงเป็นแม่ทัพทหารบกที่ยอดเยี่ยม ทว่าวิธีกรำศึกของเขาอาจจะไม่เหมาะกับทหารเรือ
ยิ่งไปกว่านั้น…สถานที่อย่างกองทัพเรือปลิ้นปล้อนกว่ากองทัพของเมืองหลวงมากนัก เรื่องหน้าไหว้หลังหลอกมีอยู่บ่อยๆ ทั้งลากคนไปซวย วิธีการชั่วร้าย ซ้ำยังทำเอาพูดอะไรไม่ออก มันต้องใช้คนพาลและตัวโกงอย่างเซวียนผิงโหวถึงจะทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตากันเสียบ้าง ว่าอะไรคือธรรมะชนะอธรรม!
ฮ่องเต้พยักหน้า “เสด็จแม่ตรัสได้ถูกยิ่งนัก”
กู้เจียวที่ฟังอยู่ข้างๆ รู้ดีว่าการที่เซวียนผิงโหวลงใต้เช่นนี้ เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว