สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 484 เจียวเจียวเกินต้าน
บทที่ 484 เจียวเจียวเกินต้าน
สภาพเมืองหลิงกวานหลังสงครามเต็มไปด้วยร่องรอยภัยพิบัติ ทั้งท้องถนนเต็มไปด้วยทหารมากกว่าผู้คน และมักมีภาพของผู้คนที่ถูกทหารจับตัวไปให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
กู้เฉิงเฟิงได้แต่เตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาเป็นถึงจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่ ชีวิตและความตายของผู้คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขา เลือดในร่างกายของเขาก็ไม่วายเดือดพล่านด้วยความโกรธแค้น
เขากำหมัดแน่น ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการห้ามตัวเองไม่ให้พุ่งตัวออกไปเล่นงานพวกทหารแคว้นเฉินที่กำลังรังแกประชาชน
เขาเปิดเผยตัวตนไม่ได้
ยังไม่ถึงเวลา…ยังไม่ใช่…
“หาห้องพักเถอะ!” กู้เฉิงเฟิงรีบเบือนหน้าหนีและหันมาทางกู้เจียว
“ได้” กู้เจียวพยักหน้า
สำหรับกู้เฉิงเฟิง ดูเหมือนกู้เจียวจะไม่แยแสกับทุกสิ่ง ทั้งชีวิตและความตายของคนอื่นดูไม่สำคัญสำหรับนาง แต่นางกลับเดินทางหลายพันลี้ไปยังสถานที่อันตรายเพียงเพราะคนที่นางเรียกว่าคนโง่และพี่น้องของนาง
จู่ๆ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่เข้าใจนางเลยแม้แต่นิด
และแล้วพวกเขาก็เจอห้องพักที่อยู่ละแวกใกล้ๆ
มีร่องรอยการถูกรื้อค้นในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ อีกทั้งใบหน้าของเถ้าแก่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือแดง แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือสภาพของพวกคนงานตัวเล็กๆ พวกเขาได้รับบาดเจ็บ แม้แต่เบ้าตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยช้ำ
ที่โรงเตี๊ยมไม่มีแขกคนอื่นๆ ไม่รู้เป็นเพราะไม่มีคนเข้าพักแต่แรกหรือเป็นเพราะหนีหัวซุกหัวซุนกันหมด
กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงเดินมาที่หน้าจุดรับแขก
เถ้าแก่ร้านพยายามรวบรวมสติในการเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสั่นเครือและแหบแห้ง “ท่านทั้งสอง ต้องการห้องพักหรือมารับประทานอาหารขอรับ”
“ขอห้องพักหนึ่งห้อง หากมีอาหารก็ส่งไปที่ห้องด้วย ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
“ท่านทั้งสองโปรดตามมาขอรับ” เถ้าแก่ระงับความเศร้าโศกของตัวเอง และพากู้เจียวกู้เฉิงเฟิงไปที่ชั้นสอง ชี้ไปที่ห้องที่ถือว่าสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “นี่คือห้องชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมของเรา รวมอาหารสองมื้อ ทั้งหมดหนึ่งร้อยอีแปะขอรับ”
“หนึ่ง หนึ่งร้อยอีแปะรึ” กู้เฉิงเฟิงคิดว่าตัวเองฟังผิด
เถ้าแก่รีบเอ่ย “ท่านว่าแพงไปหรือขอรับ เดี๋ยวลดราคาให้ แปดสิบอีแปะเป็นอย่างไรขอรับ”
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
หนึ่งร้อยอีแปะถือว่าถูกมาก ตลอดทางที่มาพวกเขาแทบไม่เคยเจอห้องพักที่ราคาถูกขนาดนี้มาก่อน แถมยังเป็นห้องชั้นหนึ่ง รวมอาหารสองมื้ออีกต่างหาก
“ร้อยอีแปะก็ร้อยอีแปะ” กู้เฉิงเฟิงทำใจต่อราคาไม่ลง
“ขอบคุณแขกทั้งสองท่านเป็นอย่างมากเลยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมอาหารให้พวกท่านก่อน อาจต้องรอสักประเดี๋ยวนะจอรับ”
กู้เฉิงเฟิงเข้าใจสิ่งที่เถ้าแก่จะสื่อ ทหารพวกนั้นคงเข้ามาปล้นเสบียงที่นี่จนเกลี้ยง เถ้าแก่คงต้องออกไปซื้อข้าวของมาใหม่
เขาได้แต่รู้สึกสับสน
ส่วนกู้เจียวคิดแค่ว่าถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ไม่ได้มีกะจิตกะใจมาพะวงเรื่องพวกนี้แต่อย่างใด
กู้เฉิงเฟิงหันไปมองเด็กสาวที่นอนกอดทวนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง ก่อนจะยกมุมปากหนึ่งที
เด็กนี่ใจกล้ายิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาเสียอีก!
หลังเสร็จจากมื้อเย็น ทั้งสองก็เตรียมออกเดินทาง
พวกเขาสวมชุดพร้อมกับหน้ากาก
และเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พอกู้เฉิงเฟิงแง้มบานประตูออกไปก็เป็นอันต้องรีบปิดลง
“มีคนมารึ” กู้เจียวถาม
กู้เฉิงเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ ทำหน้านิ่ง พลางตอบ “พวกทหารแคว้นเฉิน ทั้งคนทั้งม้าจำนวนไม่น้อยเลย”
คนกลุ่มใหญ่หมายถึงคนหลายสิบคนยืนอัดแน่นเต็มโรงเตี๊ยม
แวบแรก กู้เฉิงเฟิงคิดว่าพวกเขาคงถูกจับได้เสียแล้ว แต่ทหารพวกนั้นกลับกำลังจับจองที่นั่ง และดูเหมือนพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อกินดื่ม
กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจโล่งอก
ไม่ใช่ว่าเขากลัวทหารเหล่านี้ ถ้าเกิดเหตุจริงๆ เขาสามารถจัดการกับพวกนั้นได้ด้วยตัวเอง แต่มันคงไม่ดีหากข่าวไปถึงหูทหารใหญ่ของพวกจวนผู้ว่า
ด้วยความที่ห้องไม่มีหน้าต่าง จึงทำได้แค่รอให้ทหารพวกนั้นออกไป
ส่วนทหารพวกนั้นไม่รู้ว่าตอนนี้ที่โรงเตี๊ยมมีแขกพักอยู่ และเห็นว่าที่นี่มีแต่คนกันเอง ก็เลยพูดคุยอยากเปิดอกเปิดเผย ทั้งกู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงก็เลยได้ยินไปด้วย จนกระทั่งพวกเขาได้ล่วงรู้เรื่องสำคัญ
ที่แท้อีกหนึ่งสาเหตุที่ท่านเหล่าโหวถูกจับก็เป็นเพราะเจ้าถังเย่ว์ซาน!
หลังจากที่ลูกเขยขององค์หญิงหนิงอันจับตัวพระองค์ไว้ ท่านเหล่าโหวจึงขอให้ถังเย่ว์ซานไปไหว้วานนักธนูเพื่อแอบเข้าไปในจวนองค์หญิง แต่ถังเย่ว์ซานกลับปฏิเสธโหวเหย่ เหตุเพราะต้องการส่งทหารไปปราบปรามฝ่ายกบฏ
ท่านเหล่าโหวรู้ในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเตือนถังเย่ว์ซานว่าสิ่งต่างๆ อาจไม่ง่ายนัก ดังนั้นอย่าใจร้อน
ถังเย่ว์ซานเลยคิดว่าโหวเหย่พยายามขัดขวางเขา ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำ และยืนกรานที่จะโจมตีคนที่เหลืออยู่ในตอนกลางคืน แต่ก็ตกหลุมพรางของอีกฝ่ายจนได้
ท้ายที่สุด ทหารของราชวงศ์ก่อนและแคว้นเฉินบุกเข้าโจมตี ส่งผลให้ถังเย่ว์ซานพ่ายแพ้ และเสียเมืองเย่ไป
กองทัพของแคว้นเฉินชนะการรบครั้งแรกทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาสูงขึ้น ในทางกลับกัน กองทัพของแคว้นพอเห็นว่านายพลทหารม้าพ่ายแพ้ ก็ย่อมไม่มีขวัญกำลังใจมากนักที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำให้เมืองหลิงกวานและเมืองเป่ยหยางถูกกองทัพของแคว้นเฉินยึดครองอย่างง่ายดาย
กู้เฉิงเฟิงพูดด้วยความโกรธ “ถ้าหากเจ้าถังเย่ว์ซานฟังท่านปู่ของข้าสักครั้ง ท่านปู่คงไม่ถูกจับ และเราก็จะไม่เสียเมืองไป!”
หากท่านปู่ไม่ถูกจับ ไม่ว่าท่านปู่และถังเย่ว์ซานจะร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หรือท่านปู่จะนำกองทัพไปปะทะกับศัตรู อย่างไรชายแดนก็ไม่มีทางถูดยึดไปอย่างง่ายดายแน่นอน
กู้เฉิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “เจ้าว่า ถังเย่ว์ซานจงใจทำแบบนั้นหรือไม่”
“ทำอะไรรึ” กู้เจียวถาม
กู้เฉิงเฟิงพูดอย่างเย็นชา “ก็จงใจรบแพ้และปล่อยให้ปู่ของข้าถูกจับไปอย่างไรล่ะ! ดังคำโบราณกล่าวที่ว่า พ่อเป็นอย่างไรลูกเป็นอย่างนั้น เขาสามารถให้กำเนิดลูกชายที่ชั่วร้ายและนิสัยเสียอย่างถังหมิงได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนดี ข้าไม่รู้ว่าเขารู้ความจริงเกี่ยวกับการฆาตกรรมของถังหมิงมาจากไหน และที่แน่ๆ เขาเกลียดตระกูลกู้ของเรา!”
เหตุการณ์ที่ถังหมิงรังแกกู้เหยี่ยน และถูกกู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงเล่นงานอย่างรุนแรง หากถังเย่ว์ซานรู้ความจริงเข้า ก็อาจจะมีเหตุผลเพียงพอที่เขาจะแก้แค้นคนของตระกูลกู้
กู้เจียวถึงกับเงียบไป
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ได้จากพวกทหาร หลังเกิดเหตุ ถังเย่ว์ซานก็ได้หายตัวไป และตอนนี้พวกเขากำลังตามล่าถังเย่ว์ซานไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย
ยิ่งกู้เฉิงเฟิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าถังเย่ว์ซานน่าสงสัย แม้แต่ความพ่ายแพ้ของกองทัพก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนการของถังเย่ว์ซานเสียด้วยซ้ำ “ถังเย่ว์ซานเป็นคนกระหายอำนาจ ถ้าเขาวางอุบายเสียเมืองก่อน แล้วกลับไปทูลให้ฝ่าบาททรงเห็นว่าการสู้รบครั้งนี้ยากเพียงใด และเมื่อพอเขาเดินทางกลับเมืองหลวง พระองค์จะถวายบำเหน็จสองเท่ารวมถึงความไว้วางพระทัย”
กู้เจียวสะกิดไหล่เขา
กู้เฉิงเฟิงที่กำลังวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของถังเย่ว์ซาน พอถูกขัดจังหวะ ก็ถลึงตาแล้วหันไปถาม “มีอะไร”
กู้เจียวชี้ไปทางชั้นล่าง “พวกมันออกไปกันแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากหวอ “เอาละ เช่นนั้นเราก็เตรียมตัวกันเถอะ”
กู้เจียวมองเขาพลางเอ่ย “กลับมาค่อยเล่าต่อก็ได้”
กู้เฉิงเฟิงถึงกับหน้าเสีย “ข้าไม่ได้อยากพูดสักหน่อย! ข้าเป็นบุรุษนะ! บุรุษที่ไหนเขาพูดมากกันเล่า!”
บุรุษผู้พูดน้อยอย่างกู้เฉิงเฟิงกลับพูดไม่หยุดตลอดทางที่ไปจวนผู้ว่า
กู้เจียว “…”
จวนผู้ว่าได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับกู้เฉิงเฟิงที่เคยผ่านด่านทหารหลงอิ่งมาแล้ว
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ พากู้เจียวย่องเบาเข้าไปด้านใน
กู้เจียวหยิบหน้ากากขนนกยูงออกมาแล้วสวมมัน
กู้เฉิงเฟิงคิดในใจ จะใส่ไปเพื่ออะไร
ทั้งสองคนไม่รู้ว่าท่านเหล่าโหวถูกคุมขังอยู่ที่ไหน พวกเขาเลยใช้วิธีจับเหยื่อ กู้เฉิงเฟิงคว้าตัวทหารนายหนึ่งมาจากนั้นกู้เจียวก็วางยาจนทหารคนนั้นสลบไป
กู้เฉิงเฟิงมองดูหลอดยาของกู้เจียว “…”
ยาของเจ้าไม่ได้ผลทุกครั้งสักหน่อย…
กู้เจียวเก็บหลอดยาแล้วพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เจ้าไปตามหาเองนะ”
กู้เฉิงเฟิงตะคอก “ข้าจะหาในจวนหลังใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร มีหวังได้หาจนถึงฟ้าสางแน่ๆ ”
กู้เจียวตบมือเบาๆ “ขนาดจวนหนิงอ๋องเจ้ายังผ่านมาแล้ว กับแค่จวนผู้ว่าแค่นี้จะไปกลัวอะไร”
กู้เฉิงเฟิงพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เหมือนกันที่ไหนล่ะ จวนหนิงอ๋องมีห้องเก็บของเพียงไม่กี่ห้อง แต่จวนผู้ว่าหัวเมืองพื้นที่ส่วนหน้าเป็นที่ทำการของราชการ ด้านหลังเป็นเรือนส่วนตัว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะขังท่านปู่ไว้อย่างไร ที่ไหน อาจเป็นห้องฟืน อาจเป็นคุกใต้ดิน หรืออาจเป็นห้องลับ…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จู่ๆ กู้เจียวก็ผลักประตูที่อยู่ด้านข้างออก
ในนั้นเป็นห้องที่ใช้เก็บสุราชั้นดี
กู้เฉิงเฟิงเอามือก่ายหน้าผากพลางส่ายหัว สถานที่แบบนี้แทบไม่ต้องคิดเลย มันไม่ใช่สถานที่ที่ดีที่จะจับตัวประกันเลยด้วยซ้ำ
ในตอนนั้นเอง ขณะที่เขาชำเลืองมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ทะ ท่าน ท่านปู่”
ชายชราที่มีโซ่ตรวนที่มือและเท้า มีรอยฟกช้ำทั่วร่างกายและเป็นลมอยู่กับพื้น คือปู่ของเขา!
กู้เฉิงเฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เจ้า รู้ได้อย่างไรว่าปู่ของข้าถูกขังอยู่ที่นี่”
กู้เจียวแบมือทั้งสอง “ไม่รู้สิ ก็แค่มั่วเอา”
กู้เฉิงเฟิงเลิกมุมปากขึ้น พลางนึกแม่นางคนนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้! ขนาดคลำมั่วๆ ยังเจอ!
ที่บอกว่าจะหาจนฟ้าสาง คงไม่แล้วสินะ
อุตส่าห์คิดวิธีหลบหลีกพวกทหารแคว้นเฉินมาดิบดีแล้วเชียว! กลายเป็นว่าไม่ต้องใช้แล้วรึ!