สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 486 อสูรเจียวเจียว
บทที่ 486 อสูรเจียวเจียว
ด้วยความที่ลานบริเวณนี้อยู่ไกล มักจะไม่มีใครผ่านมา และตราบใดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนักในห้องเก็บสุรา พวกทหารตรวจตราจะไม่มายุ่มย่ามที่นี่อยู่แล้ว
แต่คราวนี้กลับมีคนเดินเข้ามาใกล้ห้องเก็บสุรา
ฟังจากเสียงฝีเท้าเสียดสีกับชุดเกราะ เหมือนจะเป็นทหารวัยกลางคนสองคน
ตามหลักแล้ว ผู้ที่ดูแลจวนผู้ว่าคือพวกราชวงศ์ก่อนหน้า ส่วนทหารของแคว้นเฉินจะประจำการอยู่นอกจวน กู้เฉิงเฟิงจึงอนุมานได้ว่าสองคนนั้นน่าจะเป็นสมุนของราชวงศ์ก่อนหน้า
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ ย่องมาที่ประตู เขาไม่สามารถมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน เขาจึงใช้วิธีฟังความเคลื่อนไหวแทน
ขณะเดียวกัน กู้เจียวก็กำลังเย็บปิดแผลผ่าตัด
พอกู้เฉิงเฟิงเห็นขั้นตอนนี้ของกู้เจียวก็เริ่มเข้าใจว่าการผ่าตัดใกล้สิ้นสุดแล้ว ยิ่งเป็นช่วงสำคัญแบบนี้ ยิ่งไม่ควรเกิดเรื่อง
ใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น
ทหารทั้งสองเดินมาทางห้องเก็บสุรา จากนั้นหนึ่งในนั้นก็เอ่ยขึ้น “เอาละ ตรงนี้ไม่มีคนอื่นแล้ว เอาออกมาเถอะ!”
“เบาๆ สิ! เดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก!” ทหารอีกคนกระซิบ
“เอาละ เอาละ ข้าจะไม่พูดเสียงดัง!” เสียงของทหารคนแรกเบาลง แต่น้ำเสียงของเขากลับเร่งเร้ามากขึ้น “อย่าเอาแต่มาบอกให้ข้าพูดเบาอยู่เลย ไหนล่ะของที่ข้าสั่งไว้ เอาออกมาสิ!”
กู้เฉิงเฟิงที่ดักฟังอยู่พอได้ยินบทสนทนาของทหารพวกนั้นก็โล่งอกที่อย่างน้อยพวกนั้นไม่ได้มาเล่นงานปู่ของเขา
กระนั้น เขายังประมาทไม่ได้ มือทั้งสองยังคงกำอาวุธไว้แน่น
ทหารคนที่สองหยิบขวดลายครามเล็กๆ ยื่นให้ทหารคนแรก “นี่!”
ทหารคนแรกเปิดจุกขวด ดมกลิ่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “กลิ่นอะไรตุน่ะ”
“มันก็เป็นกลิ่นแบบนี้เหมือนกันหมดแหละน่า!”
“จะใช้ได้จริงหรือ”
“จะใช้ดีไม่ดี ลองใช้เดี๋ยวก็รู้เอง”
“แล้วเจ้าเคยลองหรือยัง ว่าคืนนึงได้ถึงเจ็ดรอบอย่างที่ว่าไว้”
กู้เฉิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว คืนนึงเจ็ดรอบที่ว่ามันคืออะไร ให้ตายสิ เจ้าสองคนนี้เอาแต่พูดคำหยาบอยู่ได้ น่าหาอะไรมาอุดปากชะมัด!
เขาหันไปทางกู้เจียวที่กำลังช่วยเหลือท่านเหล่าโหว
พลางนึก คนอย่างนางคงไม่น่าจะเคยได้ยินคำหยาบๆ พวกนั้นหรอกกระมัง
“แล้วจะเอาไหม”
“เอาสิ! ไม่เอาได้ไง แล้วเท่าไหร่ล่ะ”
“ข้างนอกขายกันหนึ่งตำลึง พอดีข้าเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่เลยได้มาถูกหน่อย สองร้อนเหวิน ถ้าขายให้คนอื่นข้าบวกให้อีกห้าสิบเหวินนะ แต่นี่เห็นเป็นคนกันเองเลยไม่เก็บเพิ่ม”
กู้เฉิงเฟิงแอบฟังไปก็ก่นด่าไป
ของพรรค์นั้นขายแค่สิบเหวินยังแพงไปเลย มีหน้ามาพูดอีกว่าคนกันเอง
สุดท้ายทหารคนแรกก็ควักเงินสองร้อยเหวินเพื่อแลกกับยาปลุกพลัง
“ไปก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรรึ”
“ทางนั้น”
“ทางนั้นมีอะไรล่ะ อ๋อ ห้องเก็บสุราไงล่ะ”
หัวใจกู้เฉิงเฟิงแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
“ได้ยินว่าที่นี่มีเหล้านอวี่เอ๋อร์หงที่เก็บเป็นเวลาสิบกว่าปีไว้ด้วย” ทหารเอ่ยพลางตามองไปทางห้องเก็บสุรา
“นี่ ไหนบอกว่าไม่ให้ใครมาเห็นไง เจ้าวิ่งมาที่ห้องเก็บสุรากลางดึกแบบนี้ยังเสี่ยงถูกจับได้ไม่พออีกหรือ! ถ้าเจ้าอยากกินเหล้านักก็มาที่ห้องข้า! ยกให้ทั้งขวดเลย!”
“เฮ้อ…ก็ได้”
และพวกเขาก็เดินออกไป
กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจยกใหญ่
หลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ รวมถึงหน้าผาก เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อและถามกู้เจียว “เจ้าเสร็จหรือยัง”
กู้เจียวตัดไหมเส้นสุดท้ายออกและปิดแผล “ยังไม่เสร็จ ยังต้องดามจุดที่กระดูกหักอีก”
ท่านเหล่าโหวกระดูกหักทั้งแขนขา จึงต้องได้รับการดามก่อนมิฉะนั้นจะเป็นอันตรายมากในการเคลื่อนย้าย
กู้เจียวใช้แผ่นไม้ที่เหลือจากใช้เป็นเชื้อเพลิงนำมาตัดให้เป็นแผ่นกระดาน
ในขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังจะเข้าไปช่วยนั้น
ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
ทหารสองคนที่ตอนแรกเดินออกไปแล้วจู่ๆ ก็วิ่งกลับมาอีกรอบ!
“แย่แล้ว! หัวหน้าหลิวมา! ถ้าเขาพบว่าพวกเราไม่ได้ลาดตระเวนและแอบมาอู้งานที่นี่มีหวังโดนลงโทษแน่นอน!”
เสียงของหนึ่งในนั้นดังขึ้น
“รีบหาที่หลบสิ!”
หทารอีกคนเอ่ย
“ให้ไปหลบที่ไหนล่ะ”
“ห้องเก็บสุราไง!”
กู้เฉิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น!
เขาวางมือลง แล้วหันไปหากู้เจียว แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ยังคงง่วนกับงานตรงหน้าด้วยความใจเย็น
กู้เฉิงเฟิงหันไปทางประตูด้วยสายตาระแวง
“ข้าเปิดประตูไม่ได้ มันถูกลงกลอนจากข้างในรึ”
“เป็นไปไม่ได้ มา ข้าเอง!”
หนึ่งในทหารผลักประตูอย่างสุดแรงจนเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือกองไฟที่กำลังลุกโชน ขณะที่กำลังสงสัยอยู่ว่ามันมาจากไหน กู้เฉิงเฟิงก็ควักอาวุธขึ้นแล้วยิงเข้าไปที่ทหารคนนั้นอย่างรวดเร็ว
ร่างของอีกฝ่ายแข็งเป็นก้อนหินก่อนจะล้มคว่ำลง
กู้เฉิงเฟิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพยุงร่างเขาไว้
ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาจนแม้แต่ทหารอีกคนตั้งตัวไม่ทัน กู้เฉิงเฟิงรีบชักอาวุธออกและทำการเชือดคอเขาอย่างรวดเร็ว
กู้เฉิงเฟิงค่อยๆ ลากร่างของทหารทั้งสองเข้าไปเก็บในห้อง และรีบไปปิดประตู เขาทำอย่างเบามือและไร้เสียงให้ได้มากที่สุด
กู้เฉิงเฟิงวางร่างของทั้งสองลงบนพื้น ในขณะที่ตัวเขาเองนั่งทรุดตัวลงข้างๆ พร้อมกับหอบตัวสั่นด้วยความเหนื่อยล้า
เขาเป็นจอมโจร ไม่ใช่นักฆ่า
ทุกครั้งที่เขาจำเป็นต้องปลิดชีวิตคน ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกชินกับมันได้เลย
แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้
ในตอนนั้นเอง หัวหน้าหลิวที่ทหารสองคนพูดถึงก่อนหน้าก็ได้มาตรวจลาดตระเวนตรงบริเวณใกล้ๆ กู้เฉิงเฟิงได้ยินเข้าก็รีบกลั้นหายใจ
กู้เจียวตัดกระดานไม้ทั้งหมดเสร็จ จากนั้นก็นำมาดามไว้ตามร่างกายของท่านเหล่าโหวให้เบามือและส่งเสียงให้น้อยที่สุด
ทว่า ดูเหมือนท่านเหล่าโหวเริ่มรู้สึกตัวได้ และกระแอมไอออกมา
“เสียงอะไรน่ะ”
“น่าจะเป็นเสียงที่ดังมาจากทางห้องเก็บสุราขอรับ ในนั้นมีนักโทษถูกขังอยู่หนึ่งคนขอรับ”
หัวหน้าทหารหลิวเอ่ยถาม “เจ้าหมายถึง ท่านเหล่าโหวของกองทัพตระกูลกู้ใช่ไหม”
“ใช่ขอรับ เมื่อช่วงบ่าย…เขาถูกสอบสวน จนอยู่ในสภาพบาดเจ็บขอรับ”
“แล้ว เหตุใดถึงมาขังไว้ที่ห้องเก็บสุราแห่งนี้ล่ะ”
“คือว่า…” ลูกสมุนของหัวหน้าหลิวได้แต่ยิ้มเจื่อน
เหตุที่ถูกขังไว้ที่นี่แทนที่จะเป็นคุกใต้ดิน ก็คงหนีไม่พ้นมีคนไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาของเขาและแอบมาคิดบัญชีเอง อีกทั้งกลัวว่าจะถูกพบที่คุกใต้ดิน เลยต้องขังเขาไว้ในห้องเก็บสุราก่อน
หัวหน้าทหารหลิวไม่ใช่คนเขลา เขาจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว แม้เขาเป็นเพียงหัวหน้าทหารตัวเล็กๆ เขาไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องแบบนั้นได้ แต่ในเมื่อคืนนี้เขาเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจลาดตระเวน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวประกัน เขาต้องรับผิดชอบ
“พวกเจ้าไปดูทีว่ายังอยู่ดีไหม”
ทหารลูกน้องสองคนรับคำสั่งก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสุรา
ในตอนนั้นเองกู้เจียวก็เพิ่งจะดามแขนข้างซ้ายของท่านเหล่าโหวเสร็จ และกำลังจะดามแขนขวาต่อ
กู้เฉิงเฟิงสูดหายใจลึก หลับตาปี๋
มาแล้วสินะ…
กู้เฉิงเฟิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายผลักประตู รีบวิ่งออกไป และควักอาวุธชิงยิงทหารสองคนที่กำลังมาทางนี้
“มีผู้บุกรุก!” หัวหน้าทหารหลิวชักดาบที่เอวออกมา และนำคนที่เหลือพุ่งเข้าหากู้เฉิงเฟิง
ทหารกลุ่มนี้รวมถึงหัวหน้าหลิวเป็นเพียงทหารธรรมดาและทักษะของพวกเขาอยู่ในระดับทั่วไป กู้เฉิงเฟิงรับมือพวกเขาได้อย่างไม่กดดัน ส่วนหัวหน้าทหารหลิวที่ประเมินทุกอย่างได้ในพริบตา ก็คว้านกหวีดไม้ขึ้นมาเป่า
สิ้นเสียงนกหวีด ปรากฏร่างสูงและทรงพลังลอยลงมาจากท้องฟ้า และเข้าเตะกู้เฉิงเฟิงเข้าที่กลางอกทันทีทันใด จนร่างของกู้เฉิงเฟิงเซหงายหลังชนเข้ากับประตูห้องเก็บสุราพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
กู้เฉิงเฟิงเอามือกุมอก ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าชายชุดดำคนนี้คือหนึ่งในคนที่เขาและกู้เจียวสะกดรอยตามมาโดยตลอด
ยังมีพรรคพวกของเขาที่กระโดดเข้ามาทั้งจากทางซ้ายและขวา
ไม่แปลกใจเลยที่กู้เฉิงเฟิงจะไม่รู้ตัวตอนที่พวกมันเข้ามาวางยา เพราะวิชาตัวเบาของพวกมันเรียกได้ว่าเทียบเคียงกับองครักษ์หลงอิ่งได้เลย
กู้เฉิงเฟิงใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกที่เจ็บปวดของเขา อีกมือหนึ่งประคองร่างด้วยดาบ และยืนขึ้นด้วยสายตาดุร้าย
“เตรียมยิงธนู!” หัวหน้าทหารหลิวตะโกนสั่ง
ทหารธนูยืนเรียงแถว คุกเข่าลงแล้วเล็งไปที่กู้เฉิงเฟิงอย่างพร้อมเพรียง
ท่านเหล่าโหวที่กำลังนอนดามขาอยู่รับรู้ในทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลานชายของเขา จึงลืมตาขึ้นเล็กน้อยและหันศีรษะไปมองนอกประตู
หลังจากหลับไปเป็นเวลานาน สายตาของเขามีอาการพร่ามัวเล็กน้อย และเขาสามารถมองเห็นร่างที่คุ้นเคยอย่างคลุมเครือ เขาหยิบดาบยาวในมือของเขาอย่างดื้อรั้น
จู่ๆ ความชื้นก็เอ่อขึ้นมาในเบ้าตา
กู้เฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเขาถูกพวกคนในชุดดำเตะเข้ากี่ครั้ง ทุกครั้งที่เขาล้มลงเขาจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด แต่ทุกครั้ง เขาก็ลุกขึ้นยืนได้
พวกคนชุดดำดูจะเริ่มหน่าย พอร่างของกู้เฉิงเฟิงล้มลงบนพื้นหิมะ หนึ่งในนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบกดอย่างแรงบนหน้าอกของกู้เฉิงเฟิง
จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือให้ชายชุดดำอีกคน
เพื่อให้มุ่งหน้าไปยังห้องเก็บสุรา
กู้เฉิงเฟิงพยายามคว้าอาวุธชิ้นสุดท้ายออกมา แต่ยังไม่ทันได้ยิงออกไปก็ถูกคนพวกนั้นเหยียบเข้าที่มือ
ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้วสินะ
หนึ่งในชายชุดดำที่ดูเก่งที่สุดยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบเข้าไปที่ศีรษะของกู้เฉิงเฟิงเต็มๆ !
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะตกหนัก และเกล็ดหิมะก็โปรยปรายลงมา
“อ๊ากก”
เป็นเสียของหนึ่งในชายชุดดำที่ถูกลากตัวเข้าไปในห้องเก็บสุรา
และในเวลาใกล้กัน จู่ๆ กระสุนจากปืนพู่สีแดงก็พุ่งออกมาจากห้องเก็บกระสุนพร้อมกับเสียงดังสะท้าน ลูกกระสุนพุ่งตัวผ่านอากาศ เกล็ดหิมะ และท้ายสุดเจาะเข้าที่กลางอกของชายชุดดำจนร่างกระแทกกำแพง!
ทุกคนที่อยูตรงนั้นต่างตกตะลึง พลางมองไปทางห้องเก็บสุรา และพบกับร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่หน้าประตู
เกล็ดหิมะที่โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า ผมยาวดำขลับราวกับน้ำหมึก ดวงตาที่เผยให้เห็นความเย็นชาและอาฆาต ราวกับอสูรที่มาจากเมืองนรก