สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 487 ฆ่าล้างบาง (3)
บทที่ 487 ฆ่าล้างบาง (3)
“ข้าไม่ได้เสียสติ” กู้เจียวเอ่ย
กู้เจียวไม่ได้คลุ้มคลั่งไปเสียทุกครั้ง มิฉะนั้นป่านนี้คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้แน่นอน และกู้เจียวเองก็ไม่รู้ว่าเวลาที่ตัวเองสูญเสียการควบคุมนั้นจะมีสภาพออกมาเป็นอย่างไร แต่องค์หญิงซิ่นหยางเคยบอกไว้ว่าจิตสังหารของนางนั้นมีความรุนแรงยิ่งกว่าหน่วยกล้าตายเสียอีก และแน่นอนว่านางคงพลั้งมือฆ่าคนแน่ๆ หากสูญเสียการควบคุม
หลังจากฆ่าทุกคนแล้ว หากยังควบคุมตัวเองไม่ได้ กู้เจียวอาจเลือกที่จะฆ่าตัวตายเสียเอง
เมื่อชาติก่อนของนาง มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่รู้วิธีที่จะทำให้นางสงบเวลาเกิดอาการสูญเสียการควบคุม การสอนของอาจารย์คือให้กู้เจียวถือมีดผ่าตัดไว้ในมือ เพื่อที่สามารถเรียนรู้ที่จะต่อต้านความกระหายเลือดไว้ได้
ตอนนี้นางพัฒนากว่าแต่ก่อนแล้ว
ตั้งแต่มาที่นี่ กู้เจียวสูญเสียการควบคุมตัวเองไปด้วยกันสองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ท่านย่าบาดเจ็บ แต่ตอนนั้นท่านย่าห้ามได้ทันก็เลยยังพอคุมสติได้
ครั้งที่สองคือตอนที่หลิ่วอีเซิงนิ้วขาด แม้จะจำรายละเอียดเรื่องราวได้ไม่มาก แต่เดาว่าหลงอีมาช่วยคุมไว้ได้
บัดนี้ ทั้งท่านย่าและหลงอีไม่อยู่ตรงนี้ กู้เจียวจะไม่ยอมให้ตัวเองปะทุขึ้นอีก
“มองข้าแบบนั้นทำไม” กู้เฉิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเขาเห็นกู้เจียวกำลังหรี่ตาลง
ก็ไม่อย่างนั้นป่านนี้เจ้าคงม่องเท่งไปแล้วน่ะสิ กู้เจียวตอบเขาในใจ
กู้เฉิงเฟิงถูกเย็บห้าเข็มที่แขนขวา และอีกสามเย็บที่หน้าผาก
“จะไม่ทิ้งแผลเป็นใช่ไหม” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามขณะที่มือลูบผ้าพันแผลบนหน้าผาก
กู้เจียวถามกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นี่เจ้ายังมีหน้ามากังวลแผลเป็นอีกรึ”
กู้เฉิงเฟิงตอบกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ “ใบหน้าหล่อเหลาแบบนี้ ทิ้งรอยแผลเป็นไว้น่าเสียดายแย่”
กู้เจียว “…”
กู้เจียวเปิดกล่องยาและควานหาอะไรบางอย่าง
กู้เฉิงเฟิงทำหน้าไม่เข้าใจ “เจ้าหาอะไร”
“ยาหยอดตา” กู้เจียวเอ่ย “ข้าสงสัยว่าเจ้าตาบอดน่ะสิ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
หลังจากที่กู้เจียวทำแผลให้เขาเสร็จทั้งหมด ก็พบว่าเกือบครึ่งของร่างเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลราวกับผีดิบ โดยเฉพาะที่ใบหน้าของเขาซึ่งถูกพันปิดแทบจะทั้งหน้าเว้นแค่ดวงตา
กู้เฉิงเฟิงกวาดตามองไปรอบๆ
พลางนึกในใจว่านี่เขาเป็นแผลเยอะขนาดนี้เลยรึ หรือว่าเจ้าจงใจบดบังความงามของข้ากันแน่!
พอเห็นว่าไฟที่ก่อไว้เริ่มมอดแล้ว กู้เจียวจึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อเติมเชื้อเพลิง
กู้เฉิงเฟิงมองไปทางร่างเล็กที่กำลังง่วนกับการก่อไฟ “เจ้าพักก่อนเถอะ คืนนี้ข้าเฝ้ายามเอง”
“ผลัดเวรกันเถอะ ช่วงแรกเจ้าพักก่อน ข้าต้องคอยทำแผลน่ะ” กู้เจียวเอ่ยจบก็หันศีรษะไปตรวจสอบเฝือกที่แขนขาของท่านเหล่าโหว ด้วยสภาพแวดล้อมและเวลาที่จำกัด กู้เจียวทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน และตอนนี้กู้เจียวจะทำใหม่อีกรอบ
รวมถึงรอยแผลต่างๆ ที่ต้องดูให้ละเอียดกว่านี้
“ท่านปู่ของข้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามพลางมองไปทางท่านเหล่าโหว
กู้เจียวทำการตรึงเอวและหน้าท้องของท่านเหล่าโหวเพื่อลดแรงกระแทก ส่วนบาดแผลอยู่ในสภาพดีและความดันโลหิตค่อยๆ กลับสู่ปกติ แต่มีไข้ต่ำๆ เล็กน้อย ต้องระวังการติดเชื้อหลังการผ่าตัด
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” กู้เจียวเอ่ย “เจ้าพักเถอะ เดี๋ยวข้าปลุกเอง”
“ต้องปลุกข้านะ” กู้เฉิงเฟิงครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ต้องยอม
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
กู้เฉิงเฟิงดึงผ้าห่มคลุมร่าง กระนั้นเขากลับนอนไม่หลับ
แสงไฟกำลังริบหรี่ เขาลืมตาขึ้น หันไปทางกู้เจียว
กู้เจียวที่เพิ่งดามแขนซ้ายให้ท่านเหล่าโหวเสร็จ ก็หันมาสบตาเข้าพอดี “มีอะไรรึ”
พอกู้เฉิงเฟิงมองจากมุมนี้ แม้นางจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่เงาของนางกลับสูงจากแสงไฟที่ส่องสว่าง
กู้เฉิงเฟิงเปิดปากถาม “นี่เจ้า… ยังมีครอบครัวเหลืออยู่ไหม หมายถึงที่ที่เจ้าจากมา”
กู้เจียวเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตอบ “ไม่รู้สิ”
หากว่าตามหลักแล้ว ก็ยังเหลืออยู่ แต่หากพูดถึงความผูกพัน แน่นอนว่าไม่เหลือแล้ว
พวกเขาไม่ต้องการนาง
พวกเขาไม่ต้องการลูกสาวคนนี้ และไม่ต้องการพี่สาวแบบนี้
นางเองก็ไม่อยากอยู่กับพวกเขาเช่นกัน
กู้เฉิงเฟิงนึกในใจ แค่ถามถึงครอบครัวยังตอบว่าไม่รู้ออกมาได้ หรือว่านางเป็นเด็กกำพร้า
พอเขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นอย่างหลัง ก็เลยไม่ถามต่อ จากนั้นกระแอมในลำคอและพูดว่า “งั้นอย่ากลับไปเลย อยู่ที่นี่ดีกว่า”
ก็ไม่ได้อยากกลับไปสักหน่อย แถมกลับไปไม่ได้แล้วด้วย กู้เจียวพูดในใจ
“ถ้าเช่นนั้น อืมๆ …ก็ดีเหมือนกัน” กู้เฉิงเฟิงพึมพำ
“เจ้าว่าอะไรนะ” กู้เจียวฟังไม่ชัด
“ไม่มีอะไรน่า!” กู้เฉิงเฟิงเถียงกลับพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
เด็กโง่เอ๊ย!
ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป
กู้เจียวหยอดน้ำเกลือให้กู้เฉิงเฟิง อีกทั้งช่วยดามแขนขาของท่านเหล่าโหว
ด้านนอก เกล็ดหิมะที่เหมือนขนห่านโปรยลงต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าตอนไหนที่พายุเริ่มสงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงการเต้นรำของหิมะที่มีสีสันและความเงียบงันตลอดทั้งคืน
กู้เจียวไม่ได้ปลุกให้เขาตื่น
นางถือทวนพู่แดงและเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ตลอดทั้งคืน
มีหิมะปลิวว่อนอยู่เบื้องหน้า และคนที่นางต้องปกป้องก็กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ข้างหลัง
…
อรุณเบิกฟ้า กู้เฉิงเฟิงลืมตาขึ้น
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้นอนเต็มอิ่มขนาดนี้ เขารู้สึกได้ว่าพละกำลังของเขาเริ่มกลับมาอีกครั้ง
พอเห็นแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างก็ถึงกับสะดุ้ง!
นี่เขาหลับเพลินใช่ไหม
หรือเด็กนั่นไม่ได้ปลุกเขา!
เขามองไปรอบๆ ปู่ของเขายังคงนอนอยู่บนเตียง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง
“เอ๋ ยัยเด็กนั่นไปไหนแล้วนะ” เขายกผ้าห่มขึ้นและลุกขึ้นนั่ง ความปวดเมื่อยแผ่ซ่านทั่วร่างกาย เขาขมวดคิ้วและผ่อนคลายการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
เขาเข้าไปสำรวจอาการของท่านปู่ก่อน ซึ่งดูเหมือนยังไม่ฟื้นตัวดีนัก แต่ฟังจากเสียงลมหายใจแล้วดูราบรื่นกว่าที่ฟังเมื่อคืน
ทั้งเขาและปู่ต่างก็บาดเจ็บ ภาวนาอย่าให้ยัยเด็กนั่นเป็นอะไรไปด้วยเลย
กู้เจียวกำลังออกไปหาอาหาร เพราะให้ห้องแทบไม่เหลืออะไรให้กินเลย
นางหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมา แต่ก็ล่าอะไรกลับไปไม่ได้เลย
กู้เจียวกะว่าจะแบกกิ่งไม้แห้งกลับไปก่อน แต่ทันทีที่หันกลับมา มีคนคนหนึ่งเดินช้าๆ จากอีกฟากหนึ่งของป่าและมุ่งหน้าไปทางกระท่อม
หรือว่า เขาจะเป็นเจ้าของกระท่อมหลังนั้น
ชายคนนั้นสวมชุดหนังสัตว์และหมวกสักหลาด แม้จะมองไม่ชัด แต่รู้สึกว่าชายผู้นั้นสูงใหญ่เดินบนหิมะสูงได้อย่างคล่องตัวราวกับเดินบนพื้นราบ
ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
เป็นความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวกู้เจียว
กู้เจียวกอดกิ่งไม้แห้งมุ่งหน้าไปยังกระท่อม ทั้งสองพบกันโดยไม่คาดคิดระหว่างทาง พอพวกเขาได้เผชิญหน้ากัน กูก็เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนในที่สุด
และอีกฝ่ายก็เห็นกู้เจียวแล้วเช่นกัน
ทั้งสองต่างตกใจซึ่งกันและกัน