สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 492 ได้ดีกลับมา
บทที่ 492 ได้ดีกลับมา
อ๋อ คนกลัวเข็มอีกคนแล้ว
ยาต้านพิษบาดทะยักต้องใช้การสะกิดผิวหนัง แต่กล่องยาใบน้อยนี้ไม่มีที่เครื่องมือสะกิดผิวหนัง ก็หมายความว่าจำต้องฉีดยาลดภูมิต้านทานให้ถังเย่ว์ซานเท่านั้น ปริมาณยาในหนึ่งครั้งจะแบ่งเป็นปริมาณเล็กน้อยและเติมน้ำเกลือฉีดเข้าไปไปในร่างกายของถังเย่ว์ซาน
ถังเย่ว์ซานโดนฉีดยาทั้งหมดสี่เข็ม
กู้เจียวมองกล่องยาใบน้อย
คงไม่ได้จงใจแกล้งถังเย่ว์ซานหรอกกระมัง
ลมหนาวพัดโชยมา กล่องยาใบน้อยเงียบงันไร้เสียง
เข็มแต่ละอันที่ทิ่มลงไปล้วนมีช่องว่างให้สังเกตเพียงน้อยนิด กู้เจียวไม่ได้อยู่ว่างเฉยๆ นางไปเก็บกวาดสนามรบมา ความหมายของการเก็บกวาดก็คือล้วงถุงเงินและเสบียงอาหารของนายทหารทุกคนเกลี้ยง รวมถึง…จูงม้าพันธุ์ดีที่จิ้งจอกเงินไม่ได้นำไปด้วย
นั่นเป็นม้าศึกที่เหมาะกับด่านชายแดนอย่างแท้จริง ร่างกายกำยำแข็งแรง ทนหนาวและแรงเยอะ
กู้เจียวพอใจมาก
นอกจากนี้ กู้เจียวยังดึงลูกธนูของถังเย่ว์ซานและพวกกบฏราชวงศ์ก่อนกลับมาด้วย ซ้ำยังเก็บโล่สภาพดีมาด้วยอีกสองอัน
ถังเย่ว์ซานเห็นนางแล้วมุมปากกระตุกยิกๆ มือฉมังยังไม่คล่องแคล่วเท่านี้เลย!
เมื่อเก็บกวาดสนามรบเสร็จ ถังเย่ว์ซานก็ฉีดยาเข็มสุดท้ายเสร็จพอดี
ทั้งคู่กำลังจะไปรวมตัวกันกับกู้เฉิงเฟิงและท่านเหล่าโหว
ตอนนี้พวกเขามีม้าทั้งหมดสามตัวแล้ว เมื่อรวมกับสองตัวก่อนหน้านี้
กู้เจียวกับถังเย่ว์ซานขี่ม้าคนละตัว ส่วนม้าตัวที่สามใช้บรรทุกของ
ม้าที่กู้เจียวขี่คือม้าที่จิ้งจอกเงินทิ้งไว้ ไม่พูดก็คงไม่ได้ว่าม้าของราชบุตรเขยกับม้าของชาวบ้านธรรมดานั้นแตกต่างกัน ไม่เพียงแต่สวยงามและสูงใหญ่เท่านั้น อานม้ายังทำจากทองคำด้วย น่าเกรงขามไม่น้อย!
กู้เจียวขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ ก่อนจะโคลงศีรษะไปมาอย่างอารมณ์ดี!
ถังเย่ว์ซาน “…”
ทั้งคู่เดินทางไปทางทิศตะวันตก
เมื่อครู่ถังเย่ว์ซานกับกู้เจียวเจอถ้ำแห่งหนึ่ง หลังจากวางท่านเหล่าโหวไว้ในถ้ำแล้ว ถังเย่ว์ซานก็หยิบธนูขึ้นมาดัดกลับไป กู้เฉิงเฟิงอยากห้ามแต่ก็ห้ามไม่ได้
กู้เฉิงเฟิงไม่สามารถทิ้งท่านเหล่าโหวที่บาดเจ็บสาหัสไปหาคนมาช่วยได้ไม่พอ ยังต้องรออยู่ในถ้ำอย่างกระวนกระวายใจอีก
รออยู่เนิ่นนานจึงได้ยินเสียงเกือกม้าใกล้เข้ามา
เขาเดินออกมาจากถ้ำ อาศัยแสงสะท้อนบนพื้นหิมะมองดู หลังจากเห็นคนบนหลังม้าชัดเจนแล้ว ในที่สุดก็คลายความกังวลใจลง
กู้เฉิงเฟิงมารับกู้เจียว พบว่ามีม้าเพิ่มมาอีกตัวพร้อมกับข้าวของมากมาย กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว มองกู้เจียวอย่างฉงน เจ้าไปรบหรือว่าไปปล้นกันแน่เนี่ย
กู้เจียวพลิกตัวลงจากหลังม้า
ถังเย่ว์ซานก็เช่นกัน
กู้เฉิงเฟิงเห็นผ้าพันแผลบนต้นขาเขา “เจ้าบาดเจ็บรึ”
ถังเย่ว์ซานอ้าปากพะงาบๆ กำลังจะตอบ กู้เฉิงเฟิงกลับหันไปมองกู้เจียว “เจ้าไม่ได้บาดเจ็บกระมัง”
“ไม่” กู้เจียวบอก
นางไม่มีทางบาดเจ็บง่ายๆ หรอก หากบาดเจ็บก็ไม่มีบุญตาแล้ว
“ไม่บาดเจ็บก็ดี เอามาให้ข้าเถิด เจ้าเข้าไปผิงไฟก่อนไป” กู้เฉิงเฟิงรับบังเหียนในมือกู้เจียวมา
ถังเย่ว์ซานก็ส่งบังเหียนให้กู้เฉิงเฟิงเช่นกัน
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ม้าตัวเองก็ไปผูกเองสิ!”
ถังเย่ว์ซานแค่นเสียงเอ่ย “นี่เป็นม้าของพวกเจ้านะ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
กู้เจียวเดินเข้าไปในถ้ำจึงพบว่านี่ไม่ใช่ถ้ำธรรมดา ปากถ้ำคับแคบ แต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับเป็นถ้ำหินที่ใหญ่มาก มิน่าเล่ากู้เฉิงเฟิงจึงกล้าจุดไฟ แสงไฟในถ้ำสาดส่องไปไม่ถึงปากถ้ำเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าสวรรค์อำนวยหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าตกค่ำหิมะจะตกลงมาอีก หิมะดุจขนห่านโปรยปรายลงมากลบรอยเท้าของพวกเขามิด
ส่วนทั้งสามคนนั่งล้อมกองไฟ ท่านเหล่าโหวนอนอยู่บนเปลข้างกู้เฉิงเฟิง
วิ่งวุ่นมาตลอดทั้งทาง พวกเขาจึงค่อนข้างหิวขึ้นมาแล้ว กู้เจียวล้วงหม้อเล็กๆ ออกมาจากในตะกร้าสะพาย
ชั่วขณะที่เห็นหม้อนั้น เปลือกตาถังเย่ว์ซานก็กระตุกยิกๆ
เด็กคนนี้พกแม้กระทั่งหม้อเลยเชียวรึ!
กู้เจียวไปตักหิมะสะอาดจากด้านนอก เอามาแขวนต้มบนกองไฟ แล้วเอาอาหารแห้งที่ไปล้วงมาจากทหารพวกนั้นออกมา
กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงต่างมีถุงน้ำของตัวเอง ถังเย่ว์ซานไม่มี
“เอาไปสิ” กู้เจียวส่งถุงน้ำให้เขา
ถังเย่ว์ซาน ‘เหตุใดเจ้าจึงมีทุกอย่างเลย!’
ถังเย่ว์ซานรับถุงน้ำมา เห็นสัญลักษณ์ของกองทัพราชวงศ์ก่อนอยู่บนนั้นก็กระจ่างทันใดว่านี่กู้เจียวไปล้วงมาจากตัวทหารอีกแล้ว
เวลาเดินทัพและสู้รบข้างนอก หากมีน้ำให้ดื่มสักอึกก็ไม่เลวแล้ว ย่อมไม่มีทางจู้จี้ว่าถุงน้ำถูกใครใช้มาก่อนหรือไม่ แต่ที่กู้เจียวให้เขามามันใหม่อย่างเห็นได้ชัดเลย ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเด็กคนนี้เลือกอันใหม่ให้เขาโดยเฉพาะ
ถังเย่ว์ซานมองกู้เจียวด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง
“ใกล้เสร็จแล้ว” กู้เจียวบอก
ถังเย่ว์ซานหลบสายตาลง ไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้กำลังรอกิน “อืม”
กู้เจียวแบ่งแป้งเปี๊ยะที่ย่างเสร็จออก พวกเขากินแป้งเปี๊ยะ ดื่มน้ำหิมะ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
ถังเย่ว์ซานเคยชินกับอาหารประเภทนี้แล้ว เขามองกู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยสัญชาตญาณ เดิมทีเขาคิดว่ากู้เจียวจะไม่ค่อยชินนัก ใครจะคิดว่ากู้เจียวกินได้สบายๆ ตรงกันข้ามกลับเป็นกู้เฉิงเฟิงที่มีท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์
ก็จริง
เด็กคนนี้เติบโตมาจากชนบท เคยลำบากมาก่อน ไม่เหมือนกู้เฉิงเฟิงที่เป็นคุณชายอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด กินดีอยู่ดี ไหนเลยจะกลืนของพรรค์นี้ได้ลงคอได้
พอคิดเช่นนี้แล้ว ถังเย่ว์ซานก็มองกู้เจียวด้วยแววตาที่ซับซ้อนขึ้น
หลังกินอาหารเสร็จแล้ว กู้เฉิงเฟิงก็ล้วงเอาแผนที่ออกมาจากอก กะว่าจะดูว่ายามนี้พวกเขาอยู่ที่ใด ใช้เส้นทางไหนกลับเมืองเย่ว์กู่จะเหมาะที่สุด
กู้เจียวโพล่งเอ่ยกับถังเย่ว์ซาน “เจ้ากะว่าจะไปเมืองเย่ใช่หรือไม่”
ถังเย่ว์ซานค่อนข้างแปลกใจ เขาไม่ได้ถามกู้เจียวว่าเดาออกได้อย่างไร และไม่ได้ปฏิเสธด้วย
กู้เฉิงเฟิงหันไปมองเขาอย่างสงสัย “เจ้าจะไปทำอะไรที่เมืองเย่ เมืองเย่ถูกกองทัพแคว้นเฉินกับพวกกบฏราชวงศ์ก่อนยึดครองไปแล้ว เจ้าจะไปตายที่นั่นรึ หากจะไปก็ไปเองคนเดียว พวกเราไม่มีทางไปด้วยแน่!”
ท่านปู่ของเขาบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ กระดูกแขนขาหักหมด ม้ามก็โดนเย็บด้วย จะไปสมรภูมิสงครามไม่ได้หรอก
“ข้าไม่ได้บอกให้พวกเจ้าไปด้วยกันนี่ รอให้หิมะหยุดแล้ว พวกเจ้าก็ไปตามทางพวกเจ้า ข้าก็ไปตามทางของข้า” ถังเย่ว์ซานเอ่ยจบก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยกับกู้เจียว “อีกนานเท่าใดที่พิษจะออกฤทธิ์”
กู้เจียวเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “หนึ่งเดือน”
ถังเย่ว์ซานครุ่นคิดพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็พอแล้ว ภายในหนึ่งเดือนข้าจะไปหาพวกเจ้าที่เมืองเย่ว์กู่”
กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “เหตุใดเจ้าจะต้องไปเมืองเย่ให้ได้ด้วย”
ถังเย่ว์ซานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กองทัพของข้าอยู่ที่นั่น ถูกกองทัพแคว้นเฉินจับไปเป็นเชลยแล้ว ข้าต้องไปช่วยพวกเขาออกมา”
กู้เฉิงเฟิงคิดจะพูดฉีกหน้าถังเย่ว์ซานสักสองสามคำ แต่ดันพูดไม่ออก แอบเข้าไปในเมืองที่ถูกศัตรูยึดครองโดยลำพัง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการไปตายก็ยังจะบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญโดยไม่ยอมหวนกลับ ไม่ว่าจะบอกว่าเขาอยากได้คุณูปการก็ดี หรือเขามีความจริงใจเต็มเปี่ยมก็ดี สุดท้ายครานี้กู้เฉิงเฟิงก็พ่นคำพวกนั้นออกมาไม่ได้
กู้เจียวหยุดเว้นก่อนจะเอ่ยถาม “ยามนี้สถานการณ์ทั้งสามเมืองเป็นอย่างไรหรือ”
ถังเย่ว์ซานบอก “เมืองเป่ยหยางกับเมืองเย่ถูกกองทัพแคว้นเฉินยึดครอง หนึ่งในนั้นที่ปักหลักเมืองเป่ยหยางคือปั๋วชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิน ซึ่งก็คือองค์ชายหกแห่งแคว้นเฉิน เสด็จลุงของหยวนถัง เขาเป็นผู้บัญชาการหลักของทัพแคว้นเฉินในครานี้ คนที่เฝ้ารักษาการณ์เมืองเย่คือตระกูลหรงของแคว้นเฉิน เป็นลุงแท้ๆ ของหยวนถัง แม่ทัพใหญ่หรงเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพแคว้นเฉินในครานี้”
กู้เจียวพยักหน้า สถานการณ์ไม่ต่างกับในฝันเท่าใดนัก
“แล้วเมืองด่านหลิงกวนเล่า” กู้เจียวถามต่อ
ถังเย่ว์ซานเล่า “เมืองด่านหลิงกวนก็มีกองทัพแคว้นเฉินเช่นกัน แต่หลักๆ เป็นพวกกบฏราชวงศ์ก่อนเฝ้ารักษาการณ์ สวามีขององค์หญิงหนิงอัน ใต้เท้าฝูอวิ๋นมีสายเลือดของราชวงศ์ก่อน ลุงแท้ๆ ของเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นอี้อ๋อง ว่ากันว่าจะแต่งตั้งตนเป็นฮ่องเต้ในไม่ช้า”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ประมาณตนเสียบ้าง! ราชวงศ์ก่อนล่มสลายมาสองร้อยปีแล้ว ไม่เป็นโล้เป็นพายตั้งนานแล้ว คิดจริงๆ รึว่าจะซื้อตัวคนมาและสมคบกับกองทัพแคว้นเฉินแล้วจะโค่นล้มอำนาจฮ่องเต้ได้! รอให้พี่ใหญ่ข้ามาก่อนเถอะ จะนำทัพตระกูลกู้เข่นฆ่าพวกมันให้หมด!”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยอะไร ในฝันกู้ฉังชิงชนะศึกจริง แต่เขาก็โดนลอบแทงข้างหลังเช่นกัน กองทัพตระกูลกู้เกือบจะพังพินาศทั้งกอง สองขาของเขาถูกตัดไปถึงโคน
หิมะในหม้อหมดแล้ว กู้เจียวเอ่ย “ข้าจะไปตักหิมะอีกหน่อย”
“ข้าไปเอง” กู้เฉิงเฟิงบอก
“ไม่ต้องหรอก” กู้เจียวยกหม้อออกไป
ภายในถ้ำจึงเหลือท่านเหล่าโหวที่สลบไสลกับกู้เฉิงเฟิงและถังเย่ว์ซานที่ถลึงตามองกันอยู่
“มองอะไรนักหนา” กู้เฉิงเฟิงกลอกตาใส่เขา ก่อนใส่ฟืนเปียกหิมะที่เก็บมาจากนอกถ้ำไปในกองไฟข้างๆ
ถังเย่ว์ซานโพล่งขึ้น “นางเป็นพี่สะใภ้ข้า”
กู้เฉิงเฟิงชะงักกับประโยคไม่มีที่มาที่ไปนี้
เหตุใดจึงมาเรื่องพี่สะใภ้เจ้าได้เล่า
ใครจะไปสนใจเรื่องเน่าๆ ในบ้านเจ้ากัน
ถังเย่ว์ซานเอ่ยจบก็ออกจากถ้ำไป ทิ้งกู้เฉิงเฟิงให้นั่งอยู่ท่ามกลางลมเพียงลำพัง
สักพักต่อมา กู้เฉิงเฟิงจึงได้ตบต้นขาตัวเองฉาดหนึ่ง “นึกออกแล้ว เขาหมายถึงเรื่องนั้น!”
มันเป็นเรื่องเมื่อหลายวันก่อน ถังเย่ว์ซานเหน็บท่านปู่เขาว่าแกล้งสุภาพ ซ้ำยังเหน็บเขากับกู้เจียวอีกว่าเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น เขาจึงตอกหน้าถังเย่ว์ซานกลับไปยกหนึ่ง
หนึ่งในประโยคนั้นพูดว่าถังเย่ว์ซานครอบครองภรรยาน้องชายอย่างโอหัง
“ข้าจำผิดเสียแล้ว ถังเย่ว์ซานเป็นคนรองของบ้าน ฮูหยินใหญ่ถังเป็นพี่สะใภ้เขา ดังนั้นความหมายที่เขาพูดกับข้าก็คือจะบอกข้าว่า เขาไม่ได้ครอบครองภรรยาน้องชาย แต่เป็นพี่สะใภ้อย่างนั้นรึ”
กู้เฉิงเฟิงหมดคำจะพูดทันที ในสมองถังเย่ว์ซานมีปัญหากระมัง!
…
ตกค่ำยังคงต้องผลัดกันเฝ้ายาม เพื่อป้องกันไม่ให้กู้เจียวไม่ปลุกตัวเองให้ตื่น กู้เฉิงเฟิงจึงเฝ้ามันค่อนคืนไปเสียเลย ค่อนคืนหลังเขาก็ไม่ได้ปลุกกู้เจียว แต่ปลุกกถังเย่ว์ซานแทน “ถึงเวรเจ้าแล้ว”
ถังเย่ว์ซานกอดธนูใหญ่ไว้ในอกลืมตาขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้น ลากขาข้างซ้ายที่บาดเจ็บไปปากถ้ำ
ปากถ้ำจุดไฟไม่ได้ มันจะสะดุดตาเกินไป ง่ายต่อการพบเห็น
ลมหนาวพัดหวีดหวิว จนถังเย่ว์ซานค่อยๆ หนาวยะเยือกขึ้นมา
ขาเขาถูกแทงจนทะลุจึงลุกขึ้นไม่ได้ จำต้องนั่งอยู่กับพื้นเย็นเยียบ
ทันใดนั้น เงาเล็กๆ ร่างหนึ่งก็เดินมา
ถังเย่ว์ซานไม่ต้องหันกลับไปก็เดาได้ว่าเป็นใคร เขามองไปยังหิมะเบื้องหน้าพลางเอ่ย “เจ้ามาทำอะไร”
กู้เจียวโยนบางอย่างใส่อกเขา “ถึงเวลายาแล้ว”
ถังเย่ว์ซานหยิบแคปซูลเล็กๆ แปลกๆ ขึ้นมา “ยาถอนพิษรึ”
กู้เจียวบอก “ยาแก้อักเสบ”