สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 495 เจียวเจียวลงมือ
บทที่ 495 เจียวเจียวลงมือ
กองทัพแคว้นเฉินรุกรานแคว้นเจาตั้งหลายวัน เหตุใดจึงไม่ไปฆ่าล้างเมืองตรงด้านหน้าทั้งสาม แต่กลับไปฆ่าล้างเมืองเมืองเล็กๆ อย่างเย่ว์กู่
เพราะเมืองเย่ว์กู่ต่อต้านรุนแรงที่สุดอย่างนั้นหรือ
ก็ไม่ใช่
เมืองที่ต่อต้านรุนแรงที่สุดคือเมืองเป่ยหยาง รองลงมาคือเมืองเย่เฉิงและเมืองด่านหลิงกวน ชาวเมืองเย่ว์กู่ต่างหลบหนีกันไปอย่างน้อยๆ ครึ่งหนึ่งแล้ว จะเอาอะไรไปต่อต้าน
ทว่าลูกชายคนเล็กของหรงเหยาถูกคนยิงตายในสนามรบ หรงเหยาจึงถล่มเมืองเย่ว์กู่ให้ราบเป็นหน้ากลอง ประการแรกเพื่อแก้แค้น ประการที่สองเพื่อทำให้ทหารและปวงชนในด่านชายแดนตกใจกลัว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่ข้าจะมาถึงในอีกห้าวัน” กู้เฉิงเฟิงไม่สงสัยที่กู้เจียวพูดจาส่งเดช เพราะระหว่างทางมาไม่ว่านางจะพูดเรื่องอะไรสุดท้ายก็เป็นจริงหมดเลย “เจ้าแอบติดต่อใครลับหลังข้ากับพี่ใหญ่และราชสำนักใช่หรือไม่”
“ข้าจะติดต่ออย่างไรเล่า” กู้เจียวย้อนถาม
กู้เฉิงเฟิงชะงักไปกับคำถาม
ก็จริง
เขากับเด็กคนนี้กินนอนด้วยกัน นางทำอะไรเขารู้หมด นางไม่มีทางแอบทำอะไรลับหลังแน่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำด้วย
นางแอบทำอะไรลับหลังถังเย่ว์ซานยังดูจะเข้าท่ากว่าเลย!
เมื่อนึกถึงถังเย่ว์ซาน กู้เฉิงเฟิงก็ลืมไล่ถามกู้เจียวต่อว่ารู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ย “ผ่านไปสามวันแล้ว ไม่รู้ว่าทางถังเย่ว์ซานเป็นอย่างไรบ้าง บอกตรงๆ ว่าข้าไม่ชอบถังเย่ว์ซานเลย แต่ยามนี้ข้ากลับไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป”
ในฝันนั้น ตอนที่กองทัพแคว้นเฉินมาฆ่าล้างเมืองถังเย่ว์ซานไม่ได้อยู่ในเมืองเย่ว์กู่ ดังนั้น หากถังเย่ว์ซานไม่เกิดเรื่องที่เมืองเย่ ก็จะเกิดเรื่องขึ้นกับถังเย่ว์ซานหลังจากออกจากเมืองเย่มาเมืองเย่ว์กู่
เพราะไม่ว่าถังเย่ว์ซานจะมาขอยาถอนพิษกู้เจียวหรือไม่ เขาก็ต้องกลับเมืองเย่ว์กู่ เพื่อใช้ที่นี่เป็นฐานเพื่อจัดการกับศัตรูอยู่ดี
ความสงสัยเกี่ยวกับถังเย่ว์ซาน กู้เจียวได้คำตอบในคืนวันที่สอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผู้ว่าเฉิงก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในเรือนพวกกู้เจียว “แย่แล้ว! แย่แล้วขอรับ! ใต้เท้าทั้งสอง! แม่ทัพหรงเหยาแห่งแคว้นเฉินนำทัพมาทางเมืองเย่ว์กู่แล้ว! ใต้เท้าทั้งสองรีบออกจากเมืองเย่ว์กู่ไปหลบที่เมืองอื่นดีกว่า! ข้าน้อยจะรีบส่งคนให้คุ้มกันใต้ทั้งสองกับท่านเหล่าโหวออกจากเมืองเอง!”
“แล้วท่านล่ะ” กู้เฉิงเฟิงถาม
ผู้ว่าเฉิงชะงักไป ก่อนจะเอ่ย “ขะ…ข้าจะเป็นคนคุ้มกันทั้งสามท่านออกจากเมือง”
กู้เฉิงเฟิงโมโหขึ้นมา เขาดึงคอเสื้อผู้ว่าเฉิงพลางเอ่ยด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “เจ้าเป็นผู้ว่าเมืองเย่ว์กู่ เป็นขุนนางของราชสำนัก! กองทัพเฉินยกทัพมาแล้ว เจ้าไม่เฝ้ารักษาเมืองจนตัวตายไม่พอ ซ้ำยังจะหลบหนีอีก! เจ้ายังมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ปกครองของประชาชนอีกรึ! เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่!”
ผู้ว่าเฉิงเอ่ยอย่างมึนๆ “ขะ…ขะ…ข้าก็จะคุ้มกันท่านเหล่าโหวกับใต้เท้าทั้งสองออกไปอย่างไรเล่า…”
กู้เฉิงเฟิงผลักอีกฝ่ายลงกับพื้นอย่างเย็นชา “ไม่ต้องคุ้มกันพวกเรา! พวกเราไม่ไป!”
ผู้ว่าเฉิงหมวกเอียงกระเท่เร่ เขาดันหมวกให้ตรง แล้วลุกขึ้นมาพร้อมเนื้อตัวสั่นก่อนจะเอ่ย “นะ…ในเมื่อใต้เท้าทั้งสองไม่ไป ชะ…เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่ไปเช่นกัน ขะ…ข้าน้อยจะปกป้องเมืองเอาไว้ให้ได้ ขอสาบานว่าจะร่วมเป็น…ร่วมตายไปกับชาวเมือง”
กู้เฉิงเฟิงขู่อย่างเย็นชา “ทางที่ดีก็ทำเช่นนั้นให้ได้ล่ะ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
ผู้ว่าเฉิงตัวสั่นเทา
กองทัพแคว้นเฉินจะมายึดครองเมืองเล็กๆ ที่ไร้ทหารรักษาการณ์อย่างเมืองเย่ว์กู่ ไม่ต้องใช้ลูกไม้ใดๆ เลยสักนิด บุกประชิดเมืองทันทีก็พอแล้ว พวกเขามีอานุภาพมากจนผู้ว่าเฉิงลาดตระเวนเจอความเคลื่อนไหว
ทว่าลาดตระเวนเจอแล้วจะไปมีประโยชน์อะไรเล่า
จะรบชนะอย่างนั้นรึ
จะอาศัยแค่ทหารรักษาการณ์ห้าพันนายที่ครึ่งหนึ่งเกณฑ์มาให้มันครบๆ น่ะรึ
“พวกเขามากันเท่าใด” กู้เจียวถาม
“ทหารม้าหะ…ห้าพันนาย…เป็นแนวหน้า” ผู้ว่าเฉิงตัวสั่นอย่างหวาดกลัวพลางเอ่ย “ด้านหลังยังมีทหารราบอีกหนึ่งหมื่นห้าพันนาย”
“ดังนั้นมีทั้งหมดสองหมื่น” กู้เจียวเอ่ย
“อื้ม…อะ…เอ๋!” ผู้ว่าเฉิงขานรับจบจึงมีปฏิกิริยาขึ้นว่าเด็กหนุ่มหน้าตาอนาถตรงหน้าพูดจาขึ้นมาแล้ว อีกทั้งฟังดูคล้ายเสียงสตรีด้วย
กองทัพแคว้นเฉินสองหมื่นนาย จากกำลังทหารในยามนี้ของเมืองเย่ว์กู่ สามารถคุกเข่ายอมจำนนได้ทันทีเลย
“รายงาน…รายงานขอรับ…”
ในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น เสียงองครักษ์ก็ลอยมาจากนอกประตูอย่างร้อนรน
“ให้เขาเข้ามา!” กู้เฉิงเฟิงตะโกนบอก
ผู้ว่าเฉิงให้คนรับใช้พาองครักษ์เข้ามา องครักษ์คนนั้นเป็นหน่วยลาดตระเวนของเมืองเย่ว์กู่ เขาเป็นคนลาดตระเวนเจอกองทัพใหญ่แคว้นเฉินเคลื่อนพลมาประชิดเมืองเย่ว์กู่ ผู้ว่าเฉิงสั่งให้เขาจับตาดูการเคลื่อนไหวของกองทัพแคว้นเฉินต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเขาลาดตระเวนเจอข่าวใหม่อีกแล้ว
“รายงานใต้เท้าเฉิง กองทัพแคว้นเฉินกับกองทัพราชสำนักเปิดศึกกันแล้ว!”
ผู้ว่าเฉิงเอ่ยอย่างตกใจระคนยินดี “ก…กองทัพราชสำนักรึ กำลังเสริมจากราชสำนักมาถึงแล้ว!”
องครักษ์รีบเอ่ย “ไม่ใช่ขอรับ ดูเหมือนจะเป็นกองทัพของราชสำนักของเมื่อก่อนหน้านี้”
กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงพลันกระจ่าง ถังเย่ว์ซานนำกองทัพของเขากลับมาแล้ว!
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าไอ้คนแซ่ถังนั่นจะมีปัญญาช่วยกองทัพของตัวเองออกมาจากเมืองเย่ได้จริงๆ หนึ่งกองทัพช่วยคนคนหนึ่ง เขาเคยได้ยินอยู่ แต่คนคนหนึ่งช่วยทั้งกองทัพมันหาได้น้อยยิ่ง
“ไอ้คนแซ่ถังนี่ ต้องมองเสียใหม่แล้ว” เขาพึมพำ
กู้เจียวถาม “รบกันตรงไหนรึ”
องครักษ์เอ่ย “ห่างเมืองเย่ว์กู่ออกไปยี่สิบลี้ขอรับ!”
กู้เจียวเอ่ยอีก “กำลังทหารของทั้งสองฝั่งมีเท่าใด”
“ทหารม้าแคว้นเฉินห้าพันนาย ทหารราบราชสำนักสองพันนาย มือธนูห้าร้อยนาย” องครักษ์หยุดเว้น ก่อนเกาหัวแกรกๆ อธิบาย “นี่เป็นจำนวนคร่าวๆ ไม่ได้นับรวมพวกที่บาดเจ็บล้มตายด้วย”
สองทัพประมือกัน ทุกวินาทีล้วนมีคนบาดเจ็บล้มตาย
กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่งพลางถาม “เจ้ามีนามว่าอะไรรึ”
องครักษ์บอก “ข้าน้อยชื่อหูตงเฉียง เป็นคนที่หกของบ้าน พวกเขาจึงเรียกข้าว่าเสี่ยวลิ่ว”
กู้เจียวเอ่ย “ต่อไปเจ้าเปลี่ยนชื่อเป็นเสี่ยวหูนะ”
หูตงเฉียงชะงัก
กู้เจียวหันไปหยิบหอกยาวบนที่ตั้งขึ้นมา นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถาม “เจ้ามีน้องชายชื่อหูซีเฉียงหรือไม่”
หูตงเฉียงชะงักไปอีกครั้ง “อ๊ะ ท่านรู้ได้อย่างไร”
กู้เจียว “…”
พ่อแม่เขาตั้งชื่อให้ส่งๆ มาก
กู้เจียวโยนตะกร้าใบน้อยให้หูตงเฉียง “สะพายไว้ ตั้งแต่นี้ไปเจ้ามาติดตามข้า”
กู้เฉิงเฟิงคว้าแขนกู้เจียวไว้ “ข้าไปเองดีกว่า”
พวกเขาสองคนจะไปกันหมดไม่ได้ ต้องรั้งอยู่เฝ้าที่นี่คนหนึ่ง
กู้เจียวโยนป้ายของตำหนักเหรินโซ่วให้เขา “เจ้าเฝ้าอยู่ที่เมือง! ผู้ใดฝ่าฝืนประหารทันที!”
…
เมืองเย่ว์กู่หิมะขาวโปรยปราย สองทัพกำลังรบรากัน
กองทัพของถังเย่ว์ซานจากจำนวนคนสู้อีกฝั่งไม่ได้ รวมพลธนูเข้าไปด้วยเหมาะกับการทำศึกระยะไกล หากทำศึกในระยะประชิดจะแสดงจุดเด่นของตัวเองออกมาไม่ได้ ถังเย่ว์ซานจึงไม่เลือกใช้ไม้แข็งกับกองทัพแคว้นเฉิน
เขาใช้ลูกไม้หลอกล่อสองสามหนก็เริ่มถอนกำลังทั้งกองทัพ
เพียงแต่สองเท้าสู้ขี่ม้าไม่ได้ ไม่ว่ากองทัพของเขาจะถอยอย่างไรก็ค่อยๆ ถูกทหารม้าแคว้นเฉินไล่ตามมาอยู่ดี
พวกเขาถูกล้อมไว้ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขามีเพียงเส้นทางเส้นเดียว หากตรงไปอีกสิบลี้จะเป็นทหารราบหนึ่งหมื่นห้าพันนายของแคว้นเฉิน ด้านหลังเป็นทหารม้าห้าพันนายที่ตามมาอย่างไม่ลดละ
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะเลือกสักข้อไล่วิ่งเข่นฆ่าออกไป มิฉะนั้นคงต้องถูกล้อมไว้ในหุบเขาจนตายแน่
ถังเย่ว์ซานอยู่บนหลังม้า มองด้านหน้าทีด้านหลังที อันที่จริงจากกำลังทหารของพวกเขาตอนนี้ จะบุกใส่ทหารม้าห้าพันนายหรือทหารราบหนึ่งหมื่นห้าพันนายก็ไม่ต่างเท่าใด ก็แค่สามารถดิ้นรนได้ในเวลาสั้นๆ หรือได้นานๆ หน่อยก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องมีผลลัพธ์อย่างการแตกพ่ายย่อยยับอยู่ดี
ใครให้กองทัพของเขาไม่ได้กินข้าวสักคำมาสามวันกันล่ะ!
นี่จำนวนคนแตกต่างกันไม่พอ พละกำลังกับกำลังรบก็เหลื่อมล้ำกันด้วย
มือธนูนายหนึ่งเอ่ย “ท่านแม่ทัพ พวกเราจะเปิดทางให้ท่าน ท่านไล่บุกออกไปได้เลย!”
พวกเขาหนีไม่ได้ แต่หากทุ่มสุดกำลังคุ้มกันถังเย่ว์ซานให้ไล่บุกสังหารทั้งไปตลอดทางนั้นยังพอจะทำได้
“ท่านแม่ทัพ ท่านไล่บุกเถิด! อีกเดี๋ยวพอกำลังเสริมจากราชสำนักมา อย่าลืมล้างแค้นให้เหล่าพี่น้องด้วยนะขอรับ!”
“นั่นสิท่านแม่ทัพ! พวกเราจะคุ้มกันท่านให้ไล่บุกเอง!”
ไม่มีใครมีความเห็นต่างเลย
ถังเย่ว์ซานเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากเมืองเย่ พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตตัวเองคุ้มกันเขาออกจากเงื้อมมือศัตรูด้วย
“ข้าถังเย่ว์ซานเหมือนคนอยู่ไปวันๆ เพื่อให้ชีวิตผ่านไปเช่นนั้นรึ! วันนี้ต่อให้สู้รบจนตัวตาย…”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ทหารม้าแคว้นเฉินก็ยิงธนูมาใส่ดอกหนึ่ง มือธนูคนแรกที่เสนอให้ถังเย่ว์ซานหลบหนีถูกยิงอย่างอนาถ
ถังเย่ว์ซานหันขวับกลับมา จดจ้องทหารม้าแคว้นเฉินที่ประชิดเข้ามาอย่างเดือดดาล “มือธนูเตรียมพร้อม!”
มือธนูห้าร้อยนายจัดกระบวนทัพ ก่อนจะง้างสายขึ้นพร้อมกัน
ทหารม้ามาเร็วมาก เหลือเวลาให้พวกเขาโจมตีได้ไม่มาก
ถังเย่ว์ซานโบกแขนครั้งหนึ่ง “ยิง!”
ธนูห่าแรกยิงออกไป มือธนูนั่งยองๆ เตรียมลูกธนูต่อ มือธนูด้านหลังลุกขึ้นอย่างไม่ปล่อยช่องโหว่ แล้วยิงห่าที่สองต่อ
มือธนูตระกูลถังยิงในระยะหนึ่งร้อยก้าวได้แม่นยำทุกดอก
เพียงแต่พวกเขามีลูกธนูไม่พอ
ก่อนที่ทหารม้าแคว้นเฉินจะเหยียบออกจากระยะยิงที่ดีที่สุด มือธนูตระกูลถังก็ยิงลูกธนูหมดทุกดอกแล้ว ธนูหนึ่งร้อยแปดดอกยิงออกไปหนึ่งร้อยแปดครั้ง
พวกเขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว
พวกเขาสมควรถูกขนานนามว่ามือธนูตระกูลถัง พวกเขาไม่ได้ทำให้จอมทัพหยวนไซว่ถังขายขี้หน้า
มือธนูเห็นความตายดั่งการคืนสู่มาตุภูมิชักมีดสั้นออกจากบั้นเอว
ถึงเวลาลากทหารแคว้นเฉินลงนรกแล้ว
ฆ่าหนึ่งคนก็เท่ากับเสมอ ฆ่าสองคนก็ได้กำไรแล้ว!
ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจะร่วมตกตายไปกับทหารแคว้นเฉินนั้น จู่ๆ เหนือศีรษะก็มีเสียงกัมปนาทดังขึ้น ทุกคนต่างเงยหน้ามอง นึกไม่ถึงว่าจะมีหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาจากภูเขาด้านหนึ่งของหุบเขา
ก้อนหินกลิ้งหลุนๆ เสียงกึกก้องแฝงด้วยกำลังทำลายล้าง กระแทกใส่กลางกองทัพทหารม้าแคว้นเฉินอย่างจัง
ได้ยินเสียงกัมปนาทดุจสายฟ้าฟาดลอยมาติดต่อกันไม่ขาดสาย ทหารม้าแคว้นเฉินรอบด้านถูกระเบิดกระเด็นกระดอน!
ถังเย่ว์ซานเงยหน้าขึ้น
เขาเห็นบนยอดเขาใต้ผืนฟ้ามีเด็กหนุ่มอาภรณ์สีครามถือหอกพู่แดงคนหนึ่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนก้อนหินอย่างอันธพาล กดตาลงมองทหารม้าแคว้นเฉินที่ถูกระเบิดจนโกลาหลวุ่นวาน
บนเทือกเขามหึมานั้น ร่างนางเล็กกระจิริด
ทว่ามาดของนางแข็งแกร่งยิ่ง แข็งแกร่งถึงขนาดชั่วขณะนั้น ถังเย่ว์ซานเหมือนเห็นเทพสังหารที่เกิดมาเพื่อสงคราม!