สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 501 โอ๋เจียวเจียว
บทที่ 501 โอ๋เจียวเจียว
โชคชะตาของใครหลายคนได้เปลี่ยนไป เช่น ชาวเมืองหลังกำแพง แต่ก็มีโชคชะตาของใครบางคนที่ยังเหมือนเดิม เช่น หรงปินที่ต้องจบชีวิตลงที่นี่
หากจะบอกว่ามีสิ่งใดต่างจากในนิมิตฝัน เช่นนั้นก็คงจะเป็นศพของเขาไม่ครบสามสิบสอง
หัวของหรงปินหลุดกระเด็น ทหารแคว้นเฉินที่กำลังฮึกเหิมก็เป็นอันหัวหด แม้แต่กระบี่ที่ชูขึ้นในมือก็ยังไม่รู้ว่าจะเล็งไปทิศทางใด!
เหล่าทหารแคว้นเฉินที่คิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อมกำลังมองทัพทหารม้าตระกูลกู้ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก พวกเขาเคลื่อนทัพเร็วมาก ทรงพลังน่าเกรงขาม เหล่าทหารแคว้นเฉินพากันตกตะลึง!
ใช้เวลาเพียงไม่นานทัพทหารม้าตระกูลกู้ก็ตีค่ายทหารแคว้นเฉินจนแตกพ่าย ทว่าพวกเขานั้นไม่ได้รั้งรออยู่ที่นอกกำแพงเมือง แต่กลับตามกู้ฉังชิงเข้าไปปราบข้าศึกในเมืองต่อ
วินาทีที่ทหารแคว้นเฉินนอกกำแพงเมืองโล่งใจไปได้หนึ่งเปราะ กองทหารราบของตระกูลกู้ก็ยาตรามาถึง มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือกระบี่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถือโล่ ตะโกนโห่ร้องข่มขวัญทหารแคว้นเฉิน
นี่เรียกว่าการบดขยี้ศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย
กู้เฉิงเฟิงที่ฟาดฟันกับทหารแคว้นเฉินในกำแพงเมืองมาตลอดทั้งคืนก็เริ่มเสียสติแล้ว เขาแทบจะลืมว่าตัวเองเป็นใคร ลืมไปแล้วตนเองอยู่ที่ไหน จำได้เพียงแค่ว่าตนเองต้องมีลมหายใจต่อไป ต้องสู้ศึกนี่ต่อไปเรื่อยๆ…
“ระวัง! ใต้เท้ากู้!”
รองแม่ทัพหลี่ที่อยู่ห่างออกไปสิบก้าว กำลังยกแขนป้องกันการโจมของทหารแคว้นเฉินนายหนึ่ง แต่เหลือบไปเห็นกู้เฉิงเฟินกำลังถูกข้าศึกล้อมสามทิศ หนึ่งในนั้นคือกระบี่ของทหารแคว้นเฉินที่ฟันเข้ากลางแผ่นหลังของเขา ชุดเกราะชิ้นหลังของเขานั้นแตกร้าวตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เจอแค่เพียงดาบเล่มเดียวก็ทะลวงเกราะจนไม่เหลือชิ้นดี
กายบาดเจ็บสาหัสของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าศัตรู
กู้เฉิงเฟิงสิ้นแรงแล้ว
เขาไม่สามารถฟืนยืนหยัดได้อีกต่อไป
เขาใกล้จะสิ้นลมแล้วจริงๆ
ขอโทษ
พี่ใหญ่ ท่านปู่
เขาต้านทานต่อไปไม่ไหวแล้ว
ร่างทั้งร่างของเขาล้มลงกับพื้น
กระบี่ของทหารแคว้นเฉินพุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของเขา!
ทว่ากระบี่ของพวกเขายังไม่ทันสัมผัสร่างของกู้เฉิงเฟิน ก็มีกระบี่ยาวเงาวับเข้ามาขวางเอาไว้ คมกระบี่ยาววาดออกไปดั่งอรพิษ ทหารแคว้นเฉินสามนายตายคาที่ในพริบตา
ร่างของกู้เฉิงเฟิงยังไม่ทันร่วงลงกับพื้นดิน ก็มีท่อนแขนพละกำลังมหาศาลรองรับเขาเอาไว้
กู้ฉังชิงชันเข่ากับพื้น พยุงร่างอาบเลือดของน้องชายขึ้นมา
สายตาของกู้เฉิงเฟิงพร่ามัว พยายามมองเบื้องหน้าทว่ากลับมืดมิด ก่อนจะหมดสติไป
ทหารม้าตระกูลกู้ควบคุมสถานการณ์หน้าประตูได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายนำทัพทหารม้าห้าพันนายบุกโจมตี ไล่ล่าฟาดฟันทหารแคว้นเฉิน กู้ฉังชิงส่งน้องชายให้รองแม่ทัพคนหนึ่งดู ส่วนตัวเขานั้นนำทัพทหารราบสองพันนายขึ้นสู่ป้อมปราการบนกำแพงเมือง
เพื่อต่อกรกับทหารแคว้นเฉินที่ขวัญหนีดีฝ่อบนกำแพงเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กำลังพลถึงห้าพันนาย ทว่าศึกครั้งนี้ยิ่งจบลงเร็วเท่านั้นก็ยิ่งจะเป็นการดีเท่านั้น
เมื่อข้าศึกคนสุดท้ายสิ้นลม ดวงตะวันก็ส่องสว่างในทิศบูรพา แสงแห่งรุ่งอรุณเจิดจ้า แผ่แสงไปทั่วป้อมปราการที่ถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต
ลมหนาวโบกโชย บาดผิวหน้าราวกับคมดาบ
ทหารองครักษ์ที่เข่นฆ่าศัตรูมาทั้งคืนกำอาวุธในมือแน่น นิ้วมือทั้งห้าแข็งเกร็งจนไม่อาจคลาย
กู้เจียวถือทวนพู่แดงยืนอยู่บนหลังคาที่แสงอาทิตย์สาดส่อง ธงแคว้นเจาที่อยู่เบื้องหลังนางปลิวไสว
นางยกมือที่แข็งค้างจนปวดร้าวขึ้นแล้วจึงถอดหมวกเกราะที่อาบไปด้วยเหงื่อโชกและเลือดสีแดงสด
ไฟศึกดับมอดลง ซากศพเกลื่อนพื้น ทหารบาดเจ็บสาหัส
กู้เจียวถือทวนพู่แดงกอดหมวกเกราะของตนเองไว้ ทอดสายตามองดูเมืองที่บอบช้ำจากสงคราม
แสงอรุณสาดส่องใบหน้าเปื้อนเลือดของนาง สะท้อนเป็นแสงพราวระยับ
เหล่าทหารองครักษ์บ้างก็ถูกทหารตระกูลกู้พยุงออกไป บ้างก็ถูกแบกขึ้นหลัง บ้างก็ถูกหาม พาพวกเขาออกจากสนามรบที่พวกเขายืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ถังเย่ว์ซานนอนอยู่บนเปล ทหารตระกูลกู้สองนายหามร่างของเขาออกไป
ไม่รู้ว่าเขาหมดสติหรือว่าเหนื่อยล้าถึงได้นอนหลับไป
ทั้งสนามรบเงียบสงัด
กู้ฉังชิงหยุดอยู่บนป้อมปราการ แหงนหน้ามองนาง “ลงมาไหวหรือไม่”
“ลงไม่ไหว” กู้เจียวตอบ
กู้ฉังชิงทะยานตัวขึ้นไปบนหลังของป้อมปราการ ก่อนจะอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงแขนขาแข็งทื่อของกู้เจียวลงมา
เขาใช้เวลาอยู่กว่าจะคลายมือของนางออกจากทวนพู่แดงได้
นางนั่งเหม่อลอยอยู่บนซากรถศึกที่เหลือเพียงครึ่งคัน กู้ฉังชิงชันเข่าอยู่ตรงหน้านาง เช็ดใบหน้าของนางด้วยผืนผ้า
ความเย็นชาและความเหี้ยมโหดยามศึกของเขาได้จางหายไป เหลือเพียงแววตาแสนอ่อนโยน
ทหารตระกูลกู้ที่อยู่ข้างกันตกใจแทบจะอ้าปากค้าง
นะ…นี่คือท่านชายพญายมไร้หัวใจตัวจริงอย่างนั้นหรือ นี่เขากำลังปลอบขวัญทหารหนุ่มตัวน้อยๆ คนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ท่านชายพญายมไร้หัวใจมองทหารหนุ่มตัวน้อยแสนเก่งกาจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราชนะแล้ว”
“อืม” กู้เจียวยังคงเหม่อลอยเช่นเดิม
กู้ฉังชิงเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าและฝ่ามือของนางอย่างอ่อนโยน ทุกครั้งที่เช็ดก็ทำเอาหัวใจของเขาปวดร้าว กระทั่งเช็ดจนสะอาดแล้วถึงได้เห็นว่าเป็นเลือดของผู้อื่น เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
น้องสาวของเขาปกป้องเมืองเอาไว้ได้ ทั้งยังปกป้องตัวเองได้อย่างดี
เก่งกาจยิ่งนัก
ไม่มีผู้ใดรู้วินาทีกู้ฉังชิงรู้สึกเบาใจเหมือนยกภูเขาออกจากออกมากแค่ไหน ยามที่รู้ข่าวว่านางกับกู้เฉิงเฟิงหายตัวออกไปจากเมืองหลวง เขาก็รู้ในทันที่ว่าทั้งสองนั่นต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ใจของเขาหวาดหวั่นทุกค่ำคืน ไม่ได้เป็นห่วงแค่ชาวเมืองแถบด่านชายแดนหรือแผ่นดินของแคว้นเจา แต่เขานั้นเป็นหัวเจ้าสองคนนี้ด้วย
ว่ากันตามตรงกู้เฉิงเฟิงก็ไม่ใช่เด็กแล้ว
แต่ในใจของคนเป็นพี่ใหญ่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นน้องชายตัวน้อยๆ เหมือนเดิม
“เกราะหนักยิ่งนัก ข้าช่วยเจ้าถอด” กู้ฉังชิงเอ่ย ก่อนจะลงมือถอดชุดเกราะให้นาง ทว่านางยังคงไม่ตอบโต้เช่นเคย นั่งอยู่อย่างนั้น ว่าง่ายเสียเหลือเกิน
เพียงแต่หลังจากกู้ฉังชิงปลดเกราะออก เขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ร่างทั้งร่างของนางจิกเกร็ง สองมือกำแผ่นไม้ของตัวรถศึกแน่น ราวกับพยายามอดทนอดกลั้นอะไรบางอย่าง
กู้ฉิงมองนาง “เจียวเจียว”
กู้เจียวเอ่ยด้วยสายตาเลื่อนลอย “ห้าม…ห้ามฆ่าคนอีกต่อไป”
กู้ฉังชิงไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้นัก เขาพยายามทำหาความหมายที่เหมาะสม ก่อนจะพยักหน้า “อืม ไม่ต้องฆ่าคนแล้ว”
“ไม่ฆ่าแล้ว” กู้เจียวเองก็พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
ร่างเล็กของนางเริ่มผ่อนคลาย แววตาสังหารก็ค่อยๆ เลือนหายไปในบัดดล
ที่ผ่านมานางช่วยชีวิตคนไว้มากมาย ทั้งยังคร่าชีวิตคนไปไม่น้อยเช่นกัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเหลือเกิน ทั้งยังตลบอบอวลมายาวนานเกินกว่าขอบเขตที่นางจะรับไว้ ต่อให้มีสิ่งใดมาปลุกเร้าอย่างรุนแรง นางก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว
“ข้า…ข้าควบคุมไม่ได้แล้ว…”
สัญชาตญาณอันป่าเถื่อนในร่างกายพุ่งพล่าน สองตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ
นัยตาของกู้ฉังชิงฉายแววประหลาดใจ เขาวางผ้าในมือลง สองมือกุมใบหน้าของนางเอาไว้ “เจียวเจียว เจียวเจียวเจ้ามองข้า”
กู้เจียวผลักเขาออก!
ทวนพู่แดงตั้งตระหง่านอยู่ข้างกายนาง นางเอื้อมไปคว้าทวนพู่แดง ทว่าสิ่งที่คว้าได้กลับไม่ใช่ด้ามทวน แต่เป็นปลายทวนอันคมกริบ!
สีหน้าของกู้ฉังชิงเปลี่ยนไปในทันที
นางต้องการความเจ็บปวดเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นอย่างนั้นหรือ เพราะฆ่าคนไม่ได้ จึงเลือกที่จะทำร้ายตัวเองแทนอย่างนั้นหรือ
กู้ฉังชิงฉับไวพอที่จะลุกยืนตามนางได้ทัน ชิงคว้าปลายทวนมาไว้ก่อน
มือของนางจึงคว้าหลังฝ่ามือของเขาเอาไว้แทน
แทบจะในวินาทีเดียวกัน กู้ฉังชิงยื่นมืออีกข้างอออกมา แล้วกดเข้าไปที่จุดชีพจรของนาง
สองตาของกู้เจียวปิดลง ก่อนจะทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของเขา
…
ยามกู้เจียวตื่นขึ้นก็นอนอยู่ในกระโจมแสนแปลกตา นางกะพริบตากวาดมองไปรอบตัว พลางใช้ความคิด
“ตื่นแล้วหรือ”
กู้ฉังชิงวางจดหมายในมือ ลุกขึ้นจากตั่งก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ริมแคร่ที่มีทั้งฟูกหนาและหนังสือ เขานั่งลงแล้วเอื้อมมืออกไปลูบหน้าผากของนาง
“ที่นี่คือกระโจมของข้า” กู้ฉังชิงถาม “เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง”
กู้เจียวพยายามรับรู้ความรู้สึกของตนก่อนจะเอ่ยออกไป “ดีมาก หนังนี่ช่างอุ่นดีแท้” ไม่นานนางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
กู้ฉังชิง “…”
ข้าถามถึงสภาพร่างกายเจ้าต่างหาก
กู้ฉังชิงหัวเราะไปกับท่าทางแสนเคร่งขรึมขณะเดียวกันก็ดูเหม่อลอยของนาง นางเย่อหยิ่งเย็นชามาโดยตลอด แต่ในตอนนี้กลับไม่อาจปกปิดความเป็นเด็กในตัวเองได้
ทว่าหากนางพูดจาเช่นนี้ได้ ก็แปลว่าไม่มีอะไรจริงๆ แล้วมั้ง
เจ้ามีปัญหาอะไรรึ” กู้เจียวเหลียวไปมองกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงส่ายหน้าพลางยิ้มบาง “ข้าไม่มีอะไร”
กู้เจียว “อ๋อ…”
“เจ้า…” กู้ฉังชิงตัดสินใจถามว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่น ทว่าพอคำพูดมาจากอยู่ที่ปากก็เปลี่ยนเป็นถามว่า “เจ้าเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนหรือไม่”
กู้เจียวนึก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งยังพยักหน้า
กู้ฉังชิง “เป็นประจำเลยรึ”
กู้เจียวส่ายหน้า
นางหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบนคอของตัวเองมีอะไรบางอย่าง นางเอื้อมมือออกไปหยิบเจ้าของสิ่งนั้นออกมา แล้วก็พบว่านั่นคือกระเป๋าผ้าใบน้อยทั้งใบถักด้วยเชือกสีแดง
“นี่คืออะไรรึ” นางถาม
กู้ฉังชิงตอบ “ยันต์กันภัยน่ะ ก่อนข้าออกจากเมืองหลวงมา องค์หญิงซิ่นหยางมาหาข้า ให้ข้ามอบของสิ่งนี้ให้เจ้า นางบอกว่านางไปบูชามาจากวัดด้วยตนเอง สั่งให้ข้ากำชับเจ้าให้พบติดตัว เมื่อครู่หลังจากที่ให้สิ่งนี้กับเจ้า อาการของเจ้าก็สงบลง”
จิตสังหารได้หายไปแล้ว
กู้เจียวดมเครื่องรางกันภัย ภายในมียาสมุนไพร น่าจะอบรมควันมาก่อนจึงไม่กลิ่นที่แท้จริงของตัวยา
ทว่าดมแล้วก็สบายดี
ชอบยิ่งนัก!
กู้ฉังชิงจ้องมองน้องสาวของตัวเองอยู่อย่างนั้น ราวกับเข้าใจแล้วว่าเหตุในองค์หญิงซิ่นหยางถึงได้กำชับหนักหนาว่าต้องให้นางพกติดตัวเองไว้ เจ้าสิ่งนี้คงช่วยให้กู้เจียวสงบจิตใจลงได้
เช่นนั้นแล้วก็เห็นได้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางก็ทราบอาการของนางเช่นกัน ทั้งยังเป็นห่วงนางเป็นอย่างมาก
กู้ฉังชิงถามอย่างสงสัย “เจ้ารู้จักกับองค์หญิงซิ่นหยางหรือ”
สองมือของนางกำเครื่องรางคุ้มภัยเอาไว้ก่อนจะพยักพยักหน้า “นางเป็นแม่สามีของข้า!”