สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 502 คลั่งน้องสาว
บทที่ 502 คลั่งน้องสาว
แม่สามีของนางอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงซิ่นหยางจะเป็นแม่สามีของนางได้อย่างไร
เซียวลิ่วหลังมิใช่ลูกชายขององค์หญิงซิ่นหยางเสียหน่อย องค์หญิงซิ่นหยางมีลูกชายคนเดียวซึ่งก็คือเซียวเหิง
เซียวเหิงตายไปแล้ว
เดี๋ยวนะ
หรือว่าองค์หญิงซิ่นหยางรับเซียวลิ่วหลังเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว
หากเทียบกับการเชื่อว่าเซียวลิ่วหลังคือเซียวเหิงที่ตายไปแล้ว ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวของกู้ฉังชิงกลับเป็นการรับเป็นบุตรบุญธรรม
ไม่แปลกที่กู้ฉังชิงจะคิดเช่นนั้น อันที่จริงก็มีข่าวลือในเมืองหลวงมาตั้งนานแล้วว่าเซียวลิ่วหลังหน้าตาเหมือนกับเซียวเหิงอย่างกับแกะ ด้วยเหตุนี้เซวียนผิงโหวถึงได้ดูแลเซียวลิ่วหลังเป็นพิเศษ
หรือว่าองค์หญิงซิ่นหยางเองก็เห็นเงาลูกชายของตัวเองทับซ่อนกับเซียวลิ่วหลัง ถึงได้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม เพราะความห่วงหาอาลัยที่มีต่อลูกชาย
หากรู้จักองค์หญิงซิ่นหยางมากพอจะรู้ว่านางไม่มีทางเอาใครมาเป็นตัวแทนของลูกชายที่ตายไปแล้วง่ายๆ แน่นอน แค่เหตุผลที่หน้าตาเหมือนกันนั้น ช่างฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
ตอนที่องค์หญิงซิ่นหยางรอกู้ฉังชิงอยู่หน้าประตูเมืองเพื่อยื่นยันต์กันภัยให้นั้น คือการสนทนาเพียงครั้งเดียวระหว่างทั้งสอง
เอ่อ…มีองค์หญิงเป็นแม่สามีนี่มันดีเช่นนี้นี่เอง
มีสามีนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง
สามี…
ใช่แล้ว น้องสาวของเขามีสามีแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาของกู้ฉังชิงดูหม่นหมองลง
“มือของเจ้า…” กู้เจียวเห็นว่ามือซ้ายของกู้ฉังชิงมีผ้าพันแผลพันอยู่
กู้ฉังชิงได้สติกลับมา มองมือของตัวเองก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นอะไรหรอก”
กู้เจียวจำไม่ได้มาว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่ในความฝันนั้นมือของกู้ฉังชิงไม่มีบาดแผล อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นต้องพันผ้าพันแผลเช่นนี้ เพราะอย่างนั้นกู้เจียวจึงเดาว่าบาดแผลของเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับตนเอง
นางควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ สินะ
“คิดอะไรอยู่รึ” กู้ฉังชิงมองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเอ็นดู “ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก อย่าได้คิดมากไป”
กู้เจียวชะงักไปก่อนจะเอ่ย “หากครั้งหน้าข้าเป็นเช่นนั้นอีก เจ้ารีบตีข้าให้สลบไปเลย”
เจ้าจะเจ็บเอาน่ะสิ
กู้ฉังชิงใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบหัวนาง ชี้ไปที่เครื่องรางในมือ “มีสิ่งนี้แล้วมิใช่หรือ”
กู้เจียวคิดในใจก่อนจะร้องอ๋อ “นั่นสินะ”
กู้ฉังชิงจ้องนางลึกเขาไปในดวงตา ไม่รู้ว่าแต่ก่อนนางประสบพบเจอเรื่องราวอันใดมาบ้าง ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
ในยุทธภพมีคำเรียกว่า ‘ปีศาจประทับร่าง’ คำเรียกนี้ค่อนข้างเกินจริงอยู่เหมือนกัน แต่ความจริงแล้วหมายถึงการฝึกวรยุทธ์มากเกินไปจนทั้งร่างกายและจิตใจเกิดปัญหา ตัวอย่างเช่นเหล่าทหารกล้าตายพวกนั้น
เขาสัมผัสได้ว่ากู้เจียวไม่ได้เหมือนคนพวกนั้น นางเหมือนกับควบคุมตัวเองไม่ได้กะทันหันเสียมากกว่า หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม
แต่ก็ไม่เป็นไร เขาจะหาวิธีรักษานางเอง
หนึ่งเดือนไม่หายก็หนึ่งปี หนึ่งปีไม่หายก็สิบปี แคว้นเจาไม่มีหมอก็ไปแคว้นเฉิน แคว้นเฉินไม่มีหมอก็ไปแคว้นอื่น!
“ไม่ต้องกังวลไป” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
กู้เจียวกะพริบตามองเขา “กังวลอะไรหรือ”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “…ข้าหมายถึงมือของข้า ไม่ต้องกังวลหรอก”
กู้เจียว “อ๋อ”
นางเก็บยันต์กันภัยลงในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างจึงเหลียวไปมองรอบกาย
“มองหาอะไรรึ” กู้ฉังชิงถาม
“ตะกร้าน้อยของข้า” กู้เจียวเอ่ย
กล่องยาใบน้อยของนางอยู่ในนั้น
“อยู่กับทหารนายหนึ่งที่ชื่อหูตงเฉียง ข้าบอกเขาว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้า ให้เอาข้าวของของเจ้ามาให้ข้า แต่เขาไม่ยอม” กู้ฉังชิงพูดไปพลางก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าบอกเขาว่าข้าเป็นเจ้านายของทหารตระกูลกู้ เป็นผู้บัญชาการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เขาก็ยังไม่ฟังข้า ข้าก็เลยฆ่าเขา”
กู้เจียวเอ่ย “เขาฟังคำสั่งข้าเท่านั้น!”
กู้ฉังชิงเผลอยิ้มออกมา “ใช่ ฟังเจ้าแค่คนเดียว”
แม่หนูนี่เลือกคนก็เลือกเสียเหมาะเจาะ
สาวใช้ที่จวนผู้ว่าเป็นคนมาให้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กู้เจียว เปลี่ยนเสร็จแล้วนางก็ผล็อยหลับไป ไม่ได้สวมใส่สิ่งใดที่พบกับบุรุษไม่ได้
กู้ฉังชิงเรียกหูตงเฉียงเข้ามา
หูตงเฉียงเห็นกู้เจียวก็ตื่นเต้นดีใจ “หมอกู้”
กู้ฉังชิงออกไปอ่านจดหมายอีกฝั่ง จะว่าไปก็ห่างจากเตียงอยู่เหมือนกัน แต่ช่วยไม่ได้การมีตัวตนของเขานั้นค่อนข้างจะรุนแรง หูตงเฉียงเกือบจะโผเข้าหากู้เจียวแล้ว แต่แผ่นหลังก็พลันเย็นวาบขึ้นมา เขาจึงถอยเท้ากลับ
เขายืนอยู่ห่างจากเตียงประมาณสามก้าว กระแอมให้โล่งคอก่อนจะเอ่ย “หมอกู้ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
กู้เจียวตอบ “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าเล่า”
มือข้างหนึ่งของหูตงเฉียงหอบตะกร้าใบน้อยเอาไว้ อีกข้างหนึ่งก็ทุบอกพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ไม่เป็นอะไร! โชคดีที่ทหารตระกูลกู้มาได้ทันเวลา ทหารแคว้นเฉินจึงบุกมาไม่ถึงค่าย ท่านหมอกู้ นี่คือของที่ท่านให้ข้าดูแล้ว เขากอดไว้แน่นเชียวล่ะ ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เลย”
ขณะที่เขาพูดนั้น แววตาก็แอบเหลือบมองกู้ฉังชิงที่อยู่ด้านหลัง
กู้ฉังชิงไม่พูดไม่จาจดจ่ออยู่กับการอ่านจดหมาย ราวกับว่าไม่สนใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
แต่กระนั้นหูตงเฉียงก็ยังกดเสียงให้ต่ำลงกระซิบเอ่ย “ท่านหมอกู้ ใต้เท้าผู้บัญชาการเป็นพี่ชายของท่านหรือ”
กู้ฉังชิงหูตั้งในทันใด
กู้เจียวพยักหน้า “อืม ใช่แล้ว”
เห็นแก่ที่เขาช่วยชีวิตนางไว้ ก็ให้เขาเป็นพี่ชายสักหนึ่งวันก็แล้วกัน
มุมปากของกู้ฉังชิงยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แผ่นหลังก็พลันตั้งตรงยิ่งกว่าเดิม
กู้เจียวพูดคุยกับหูตงเฉียงอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนใหญ่ก็ถามถึงสถานการณ์ที่ค่ายพักฟื้นทหารบาดเจ็บ กู้เจียวรู้จากคำบอกเล่าของหูตงเฉียงว่ากู้ฉังชิงนั้นพาหน่วยแพทย์มาจากเมืองหลวงนับร้อยคน บ้างก็เป็นหมอจากราชสำนัก บ้างก็เป็นหมอสามัญชนที่รวมตัวกันมา
หมอซ่งและหมอลู่จากเมี่ยวโส่วถังก็มาด้วยเช่นกัน
โดยหมอซ่งนั้นเป็นคนจัดการแบ่งหน้าที่ของเหล่าหมอสามัญชน
“หมอซ่งจัดการเหมือนท่านเลย ดียิ่งนัก!” หูตงเฉียงภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด ประโยคนี้ฟังดูเหมือนกำลังชมหมอซ่ง แต่แท้จริงนั้นกำลังชมกู้เจียวอยู่ต่างหาก ยามนี้เขาคือลูกมือของหมอกู้ หมอกู้เก่งที่สุด เขาภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน!
แต่เพราะเขาไม่ได้เรียนหนังสือ นอกจากคำว่าดีแล้ว ก็ไม่รู้จะหาคำใดมาชมได้อีก
หมอซ่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นหมอในเมี่ยวโส่วถังที่ได้รับถ่ายทอดวิธีการทำงานมาจากกู้เจียวโดยตรง จัดการงานได้อย่างเป็นระเบียบ มีขั้นมีตอนไม่มีวุ่นวาย
ทหารบาดเจ็บนั้นมีจำนวนมาก บวกกับหน่วยแพทย์เองก็มีกำลังไม่พออย่างที่ว่าจริงๆ ทว่าแม้จะคนไม่พอ แต่ก็ไม่เกิดความลนลานหรือวุ่นวายแต่อย่างใด สภาพจิตใจของคนเจ็บได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทหารย่อมได้รับการอบรมมาอย่างดีอยู่แล้ว แต่ก็อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความพยายามของหมอซ่งและหน่วยแพทย์ด้วย
หลังจากหูตงเฉียงกลับไป กู้เจียวก็มองกู้ฉังชิงด้วยความชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง “เหตุใดถึงมีความคิดว่าต้องพาหน่วยแพทย์มาเยอะขนาดนี้”
“มิใช่ความคิดของข้าหรอก”
สนามรบนั้นเป็นสถานที่อันตราย สำหรับหมอของราชสำนักนั้นเป็นหน้าที่อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่หมอสามัญชนนั้นก็เป็นชาวเมือง กู้ฉังชิงจึงไม่กล้าเกณฑ์พวกเขามา
ทว่ารองเถ้าแก่กลับเป็นฝ่ายมาหากู้ฉังชิงด้วยตัวเอง บอกว่าโรงหมอของพวกเขาพร้อมจะส่งหมอขึ้นเหนือไปกับพวกเขา หยูกยาและค่าเดินทางต่างๆ โรงหมอของพวกเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง
ไม่นานข่าวนั้นก็แพร่ไปทั่ว ยามแคว้นตกอยู่ในสงคราม เลือดนักรบในกายของชาวเมืองก็พุ่งพล่าน จากนั้นก็เริ่มมีโรงหมอแจ้งความจำนงไปยังราชสำนัก
ฮ่องแต้และจวงไทเฮาเองก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอกระทำได้ ด้วยเหตุนี้จึงคัดเลือกหมอที่รูปร่างสูงใหญ่ คนที่เคยเดินทางไกลหรือไปถึงชายแดนจากบรรดาชาวเมือง
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” กู้ฉังชิงเอ่ย
“เรื่องอะไรรึ” กู้เจียวถาม
“ตระกูลหลินจากโยวโจวบริจาคทองคำมาหนึ่งแสนชั่ง เพื่อต้านข้าศึกชายแดน” กู้ฉังชิงเอ่ย
คือครอบครัวของหลินเฉิงเย่สินะ
เดิมทีนายใหญ่หลินตั้งใจว่าจะบริจาคแค่ห้าหมื่นชั่งเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าหลินเฉิงเย่นั้นควบม้าเร็วกลับไป กอดแข้งกอดขาออดอ้อนท่านพ่อของตัวเอง แถมยังบอกว่าราชสำนักไม่มีเงินไปออกรบ อาจารย์หญิงของเขาอาจจะหิวตายอยู่ที่ค่ายชายแดน
นายใหญ่หลิวใจอ่อนกับคำพูดลูกชาย หรือว่าเป็นห่วงชีวิตของคนมีความสามารถอนาคตไกลอย่างกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ได้
เอาเป็นว่าหลังจากบริจาคเงินสร้างป้อมปรากการให้กับแคว้นแล้ว เขายังใจใหญ่ควงกระเป๋าเพิ่มให้อีก
ทั้งสองคนพูดคุยกัน จู่ๆ ท้องของกู้เจียวก็ดังโครกครากขึ้น
กู้ฉังชิงรีบเอ่ยในทันใด “เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปยกอาหารมาให้เจ้า”
กู้ฉังชิงออกไปจากกระโจม ลมหนาวลอยเข้ามา เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมอะไรไปบางอย่าง ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งแล้วก็ยังนึกไม่ออกเสียที
…
ท่ามกลางกระโจมทหารบาดเจ็บที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยก้าว กู้เฉิงเฟิงนอนอย่างเบื่อหน่ายอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ใช้แผ่นไม้ประกอบขึ้นเป็นการชั่วคราว
ทหารที่นอนอยู่ในกระโจมแห่งนี้ล้วนแต่เป็นทหารที่บาดเจ็บสาหัส อาการบาดเจ็บนับว่าควบคุมได้แล้ว ทว่ายังคงต้องสังเกตอาการและรักษาต่อ
ภายในกระโจมที่ไม่ใหญ่นักหลังนี้มีเตียงผู้ป่วยอยู่ประมาณสิบเตียง กู้เฉิงเฟิงนอนอยู่ริมในสุด ด้านข้างของเขาคือถังเย่ว์ซาน
ถังเย่ว์ซานเองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าตัวเองจะต้องมานอนอยู่ในกระโจมหลังเดียวกันกับกู้เฉิงเฟิง กลายเป็นเพื่อนร่วมห้องผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งพันแขน คนหนึ่งพันขา เรียกได้ว่าสภาพดูไม่จืดทั้งคู่
ไม่นานก็ถึงเวลากินข้าว เหล่าทหารเข้ามาส่งข้าวต้มเปล่าและก้อนแป้งนึ่ง ถังเย่ว์ซานกินแต่ของจืดชืดจนคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นนกอยู่แล้ว เขาขมวดคิ้วเอ่ย “มีผักดองหรือไม่”
เขารู้ว่ากู้ฉังชิงขนเสบียงขึ้นเหนือมาด้วย จะมีเนื้อด้วยหรือเปล่านั้นเขาไม่แน่ใจ แต่ผักดองต้องมีแน่นอน
หมอซ่งเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยกับถังเย่ว์ซาน “ท่านมีแผลเย็บ ต้องทานอาหารรสจืด”
นั่นคือคำสั่งจากปากของหมอ ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด ไม่อาจต่อร่องได้
ถังเย่ว์ซานหน้าหงิก จอมพลผู้ยิ่งใหญ่ก็ระเบิดเสียงออกมา “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงพูดจาเช่นนี้กับข้า!”
หมอซ่งไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “หมอกู้ขอรับ นางบอกว่าหากคนป่วยไม่เชื่อฟัง ให้เรียกนางมาฉีดยาสักสองเข็ม”
ไฟโกรธของถังเย่ว์ซานดับมอดในทันใด
อีกฟากหนึ่ง เพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างหนุ่มน้อยกู้เฉิงเฟิงเองก็ไม่อยากอาหารสักเท่าไร กู้เฉิงเฟิงไม่ได้รังเกียจที่อาหารรสชาติจืดชืด แต่เขากำลังคิดว่าหลังจากนี้จะเผชิญหน้ากับพี่ใหญ่อย่างไร
เรื่องที่เขามีวรยุทธ์ เหมือนว่าท่านปู่จะไม่เคยบอกกับพี่ใหญ่มาก่อน
ต่อให้เคยบอกแล้ว ท่านปู่เองก็คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฝีมือของเขาแก่กล้าเพียงใด นึกว่าเขาใช้วิชาย่องเบาได้พอถูไถ ไม่มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจนัก
ทว่าเขากลับขึ้นเหนือมาในสถานการณ์แบบนี้ พี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงเขาแทบบ้า แล้วก็เดือดดาลสุดๆ อย่างแน่นอน
แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากที่ใช้ชีวิตในชายแดนก็แสดงให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าฝีมือของเขาก็ใช้ได้อยู่เหมือนกัน
เขาฆ่าศัตรูในสนามรบไปตั้งมากมาย เหล่าทหารองครักษ์เองต่างก็เห็น พี่ใหญ่เองก็เห็นเช่นกัน
พี่ใหญ่จะมองเขาเปลี่ยนไปหรือไม่นะ
‘น้องรอง แต่ก่อนพี่ใหญ่ประเมินเจ้าต่ำเกินไป ที่แท้เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ พี่ใหญ่ภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก’
พอคิดว่าพี่ใหญ่จะเอ่ยชมเขา กู้เฉิงเฟิงก็ยิ้มราวกับคนเสียสติอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
ถังเย่ว์ซานที่กำลังกินข้าวต้มและก้อนแป้งนึ่ง เหลียวไปมองกู้เฉิงเฟิงที่ใบหน้าเจือสีระเรื่อยิ้มอย่างเลื่อนลอยอยู่ข้างๆ ก็พลันตกใจจนมือไม้สั่น ก้อนแป้งหลุดมือเลยเห็นไหม!
กู้เฉิงเฟิงเฝ้ารอการมาเยี่ยมของพี่ใหญ่
ทว่าแม้เขาจะรอตั้งแต่เที่ยงวันไปจนคล้อยบ่าย คล้อยบ่ายแล้วก็รอจนค่ำ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ใหญ่
พี่ใหญ่ต้องยุ่งมากเป็นแน่!
เมืองเย่ว์กู่เพิ่งผ่านศึกสงครามมา มีเรื่องใหญ่จัดการเยอะแยะไปหมด!
ท่านพี่คงยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น จนไม่มีเวลามาเยี่ยมเขาที่นี่!
พี่ใหญ่ที่ยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นนั้นสั่งการต่างๆ นานาเรียบร้อยตั้งนานแล้ว
ยามนี้เขากำลังนั่งเงียบอยู่ในกระโจมหลังหนึ่ง ฟังรายงานการเคลื่อนไหวของทหารแคว้นเฉินไปพลาง ซ่อมพู่แดงที่ติดกับทวนพู่แดงของกู้เจียวไปพลาง