สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 505 ความจริงถูกเปิดเผย
บทที่ 505 ความจริงถูกเปิดเผย
พอผู้ว่าเฉิงเอ่ยจบ ก็พบว่าคนตรงหน้ากำลังแสดงท่าทีงุนงง
…สงสัยจะดีใจจนอึ้งเลยสินะ แต่ก็ไม่แปลก ที่อุตส่าห์เดินทางหลายหมื่นลี้ก็เพื่อช่วยเหลือท่านปู่ของท่านนี่นา
ดูทำหน้าเข้าสิ นี่มันหลานบังเกิดเกล้าชัดๆ !
แต่เขาจะอึ้งอีกนานไหมนั่น
เหตุใดเขาถึงได้ทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าตัวเองก็มีปู่กับเขาด้วยล่ะ
พอผู้ว่าเฉิงคิดได้ดังนั้นก็รีบส่ายหัว เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
นายทหารกู้เป็นคนกตัญญู ไม่ใช่คนที่พอมีน้องสาวแล้วก็ลืมปู่ของตัวเองหรอก!
ผู้ว่าเฉิงยิ้มหวานหนึ่งที ก่อนยกมือคำนับ “เช่นนั้น ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนขอรับ ยังมีงานหลวงที่ต้องสะสาง ไว้จะมาใหม่ในวันถัดไปนะขอรับ”
“อืม เจ้าไปเถอะ” กู้ฉังชิงกระแอมหนึ่งทีก่อนให้เขาออกไป
พอผู้ว่าเฉิงเดินออกไป กู้ฉังชิงถึงกับยกมือปาดเหงื่อ
จากนั้นเขาเดินไปด้านใน สายตาจับจ้องไปที่กู้เจียว
กู้เจียวกำลังชื่นชมปืนพู่สีแดงคู่ใจของนาง หลังจากที่มันต้องผ่านศึกหนักจนเชือกเปียมีรอยเปื้อน ลอดลายดอกไม้เกิดลอกออก จนได้กู้ฉังชิงมาช่วยกอบกู้และซ่อมแซมจนกลับมาเหมือนใหม่อีกครั้ง
“เจ้าชอบรึ” เขาเอ่ยถามผู้เป็นน้องด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“ชอบสิ” ที่จริงกู้เจียวก็ไม่ได้ชอบลวดลายหรือเชือกเปียอะไรพวกนี้หรอก เพียงแต่มันเป็นงานฝีมือของเจ้าตัวเล็กจิ้งคง เลยทำให้กู้เจียวทะนุถนอมมันมาก
หากจิ้งคงรู้ว่าของของเขาเสียหายคงไม่พอใจแน่ๆ
พอกู้ฉังชิงได้ฟังคำตอบของนาง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นทันที แล้วเอ่ย “ท่านปู่ตื่นแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปดูที่ผู้ว่าฝู่”
เขารู้ว่ากู้เจียวอาจยังไม่ยอมรับปู่คนนี้ของเขา ก็เลยไม่ได้เอ่ยชวนให้กู้เจียวไปด้วยกัน
ทว่ากู้เจียวกลับเป็นฝ่ายขอไปด้วยเสียเอง “ไปด้วยกันสิ”
พี่น้องร่วมสาบานฟื้นแล้วทั้งที ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย
อีกอย่างคือกู้เจียวต้องคอยคุ้มกันกู้ฉังชิงไม่ให้คนพวกนั้นเข้ามาทำร้าย
ในเมื่อนางอยากไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะห้าม
ตลอดเวลาที่อยู่ชายแดน กู้เจียวมักแต่งตัวเฉกเช่นชายหนุ่มเพื่อให้ตัวเองเดินเหินได้สะดวก วันนี้เองก็เช่นกัน ซ้ำยังใส่หน้ากากเพิ่มด้วย
กู้ฉังชิง “…”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังผู้ว่าฝู่
ท่านเหล่าโหวยังคงอาศัยอยู่ในห้องที่กู้เจียวเคยอาศัยอยู่เป็นครั้งแรก ลานบ้านค่อนข้างว่างเปล่าในตอนแรก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ค่ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บไม่เพียงพอและผู้ป่วยรายอื่นๆ ก็ย้ายเข้ามา
ใช่ว่าที่ผ่านมากู้ท่านเหล่าโหวไม่เคยรู้สึกตัวเลยเสียทีเดียว เพียงแต่ครั้งนี้ เขาฟื้นเต็มตัวแล้วจริงๆ
ในที่สุดเขาก็ไร้ซึ่งอาการมึนงงและเริ่มจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองเย่และเมืองหลิงกวน ผู้คนที่เขาเห็น การคุกคามเจอ และการข่มเหงที่เขาได้รับ…
แต่เขากลับจำเหตุการณ์หลังจากนั้นที่ถูกช่วยเหลือไว้ไม่ได้เสียแล้ว
เหล่าบ่าวเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงได้แต่ส่งคนไปแจ้งข่าวให้ผู้ว่าได้ทราบ
ส่วนผู้ว่าเฉิงเองก็อยากจะเข้ามารู้จักมักคุ้นกับเขา ด้วยความที่เขามิบังอาจอู้งานต่อหน้านายน้อยกู้ได้
ท่านเหล่าโหวได้ยินจากบ่าวว่ามีทหารที่บาดเจ็บได้ย้ายเข้าไปในผู้ว่า เขาจึงได้รู้ว่ากองทัพของตระกูลกู้เดินทางมาถึงชายแดนแล้ว
เช่นนั้น เขาก็ใกล้จะได้พบเจอกับหลานๆ ของเขาแล้วสินะ
แต่จนแล้วจนเล่า ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพวกเขาสักที!
ณ โถงทางเดิน ฝีเท้าของกู้ฉังชิงและกู้เจียวพลันหยุดลง
กู้ฉังชิงหันไปถามกู้เจียว “เจ้าจะเข้าไปหาท่านปู่ไหม”
กู้เจียวยื่นมือเล็กๆ ของนางออกมาแล้วจัดปกเสื้อของเขาให้ดูเรียบร้อย และมองเขาด้วยท่าทางใจดี “เจ้าไปก่อน”
กู้ฉังชิง ‘เดี๋ยวก่อนนะ ใครพี่ใครน้องกันแน่…’
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ เจ้าก็ทำหน้าที่เป็นพี่ชายข้ามาทั้งวันแล้วนี่นา
ต่อไปก็ถึงเวลาที่ข้าต้องสวมบทพี่น้องร่วมสาบานของปู่เจ้าแล้วนะ
เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่รึ!
กู้เจียวเอามือตบหัวไหล่ของเขา “ไปสิ!”
กู้ฉังชิง “…”
กู้ฉังชิงเดินเข้าไปด้านในห้องของท่านเหล่าโหว โดยมีกู้เจียวที่คอยส่งสายตาเอ็นดูให้เขา
เมื่อเห็นว่าห้องพยาบาลข้างๆ ยังว่างอยู่ กู้เจียวเลยจะเข้าไปนั่งข้างใน แต่พอกู้เจียวกำลังยื่นมือผลักประตู ก็เจอกับนายทหารสองคนกำลังอุ้มทหารที่บาดเจ็บเดินไปทางด้านนี้
พวกเขาหยุดยืนที่เบื้องหน้ากู้เจียว
“ท่านหมอกู้” นายทหารเอ่ยทักทาย
สายตากู้เจียวมองไปที่ร่างที่อยู่บนเปลหาม ซึ่งก็คือกู้เฉิงเฟิง
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ทั้งสองเอ่ยทักพร้อมกัน
กู้เฉิงเฟิงตอบด้วยท่าทีภูมิใจ “ข้าก็มาเยี่ยมท่านปู่น่ะสิ! ได้ยินว่าท่านฟื้นแล้ว อีกทั้งค่ายพยาบาลใกล้เต็มแล้ว ข้าก็เลยจะย้ายมาที่จวนผู้ว่า แล้วเจ้าล่ะ มารักษาคนไข้รึ”
นางคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านปู่เหมือนเขาหรอกกระมัง
นางไม่ใช่คนของตระกูลสักหน่อย
“ข้ามาเยี่ยมพี่น้องของข้าน่ะ!” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
“หืม พี่น้องเจ้าอยู่ที่จวนผู้ว่าอย่างนั้นรึ” กู้เฉิงเฟิงถึงกับหลุดหัวเราะ ยัยเด็กคนนี้นับวันยิ่งโม้เก่งขึ้นเรื่อยๆ เลยเชียว ที่ผ่านมาเขาก็หลงเชื่อมาตลอดว่านางร่วมมือกับไอ้หน้าโง่ที่ไหนก็ไม่รู้เพื่อช่วยเหลือพี่น้องของนาง
จะว่าไป เขารู้จักกับนางมาก็ตั้งนาน เขาไม่ยักกะเคยเจอคนที่นางพูดถึงเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
นางคงกำลังโกหกเขาอยู่แน่ๆ !
“ใช่ เขาอยู่ที่นี่แหละ” กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“อ๋อ” กู้เฉิงเฟิงหัวเราะแห้ง “แล้วเขาเป็นใครล่ะ ไหนเจ้าชี้ให้ดูที”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก “ข้าเกรงว่าเจ้าจะตกใจเอาน่ะสิ”
“เจ้าเด็กขี้โม้ โม้ต่อไปเถิด มีหน้ามาบอกว่าข้าจะตกใจงั้นเรอะ ถ้าไม่นับท่านปู่ล่ะก็ ต่อให้เจ้าบอกว่าถังเย่ว์ซานเป็นพี่น้องเจ้าข้าก็ไม่ตกใจหรอก!”
“เจ้าเรียกข้ารึ”
เสียงของถังเย่ว์ซานดังขึ้นจากด้านหลังเปล
“เวรเอ๊ย!” กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งจนตกจากเปลหามอย่างแรง!
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ผีหลอกกลางวันแสกๆ หรืออย่างไร
จะบอกว่าตายยากก็จริง แต่ก็ไม่น่าจะโผล่หัวออกมาแบบนี้นี่นา!
ถังเย่ว์ซานทำท่าไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อเจ้าย้ายเข้ามาได้ ไยข้าจะทำไม่ได้ล่ะ”
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการมาจริงๆ แต่เป็นเพราะค่ายพยาบาลแออัดเกินไป และการเคลื่อนย้ายมายังจวนผู้ว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะของพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บ ซึ่งถังเย่ว์ซานและกู้เฉิงเฟิงจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ยังทรงตัวไหว
“จะย้ายไม่ย้ายก็เรื่องของเจ้า แล้วเหตุใดต้องมาอยู่จวนเดียวกันด้วย!” กู้เฉิงเฟิงไม่พอใจ
ถังเย่ว์ซานตะคอกกลับ “จวนเดียวกันแล้วมันยังไง! ก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันสักหน่อย!”
“พวกท่านอยู่ในห้องเดียวกัน” หมอที่ติดตามมาด้วยดูรายชื่อในมือของเขาและพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ทั้งสองคน “…”
เปลของพวกเขาถูกหามเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างๆ ห้องพักของท่านเหล่าโหว
พวกเขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันในสนามรบ แต่พอสงครามจบลง ต่างคนต่างกลับมาอยู่ในสถานะจงเกลียดจงชังกันตามเดิม
เรียกได้ว่ามองยังไงก็ไม่ถูกชะตา
แต่สำหรับกู้เจียวแล้ว นางรู้สึกถูกชะตากับถังเย่ว์ซานเสียมากกว่า
กู้เจียวเอ่ยกับหมออีกคน “เดี๋ยวข้าจัดการตรงนี้เอง เจ้าไปทำธุระของเจ้าต่อเถิด”
“รับทราบขอรับท่านหมอกู้”
แล้วเขาก็ไปดูแลคนไข้คนอื่นต่อ
เดิมทีในห้องนี้มีเตียงอยู่เพียงเตียงเดียว แต่มีการเพิ่มเตียงอีกหลังจากมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มเข้ามา ถังเย่ว์ซานไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับเตียง กู้เฉิงเฟิงก็เลยได้เตียงที่มีขนาดใหญ่กว่าไปครอบครอง
เตียงไม้ไผ่ขนาดเล็กของถังเย่ว์ซานอยู่ใกล้กับผนัง ซึ่งติดกับห้องของท่านเหล่าโหว
ที่จริงเดิมทีทั้งสองห้องที่ว่านั้นก็คือห้องห้องเดียว เพียงแต่ภายหลังพวกเขานำไม้มากั้นให้เป็นสองห้อง
ดังนั้นห้องชั่วคราวแบบนี้จึงไม่มีการเก็บเสียงใดๆ ทั้งนั้น
พวกเขาสามารถได้ยินเสียงที่ดังจากห้องข้างๆ
แม้ว่าถังเย่ว์ซานจะไม่ใช่สุภาพบุรุษที่มีคุณธรรมและมีชื่อเสียง แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้มารยาทขนาดนั้นเช่นกัน เขาสาบานว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง
สีหน้าของถังเย่ว์ซานเริ่มเปลี่ยน
กู้เฉิงเฟิงคอยจับตาดูถังเย่ว์ซานเป็นครั้งคราว จนเขาเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับถังเย่ว์ซาน
เจ้าบ้านี่กำลังทำอะไรอยู่นะ
เอาหูแนบกำแพงเสียขนาดนั้น…หรือว่า กำลังดักฟังอะไรอยู่
ห้องข้างๆ นั่นก็คือห้องของท่านปู่ เจ้าถังเย่ว์ซานหน้าไม่อาย บังอาจดักฟังปู่ของเขาอย่างนั้นรึ!
เขาก็อยากฟังด้วยเหมือนกัน!
ขณะที่กู้เจียวหยิบที่วัดอุณหภูมิขึ้นมาจากกล่องยา พอหันกลับมาอีกทีก็เจอกับภาพชายทั้งสองกำลังเอาหูแนบกำแพงอยู่บนเตียงไม้ไผ่
กู้เจียว เฮ้อ จริงๆ เลยนะ…
ไม่เรียกกันบ้างเลย
กลายเป็นว่าตอนนี้มีหูสามใบแนบเข้าที่กำแพง
ขณะเดียวกันที่ห้องข้างๆ ท่านโหวกู้ตื่นขึ้นแล้ว แม้จะเริ่มได้สติ แต่กำลังภายในของเขายังไม่กลับมาทั้งหมด ทำให้เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกคนดักฟังอยู่
ขณะที่กู้ฉังชิงรู้ว่าห้องข้างๆ มีคนอยู่ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีแค่กู้เจียว เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก
เหล่าโหวเหย่มีอาการไออยู่เป็นระยะ กู้ฉังชิงจึงยื่นถ้วยน้ำร้อนให้เขา
ท่านเหล่าโหวรับถ้วย พลางมองไปยังหลานชายที่ไม่ยอมสบตากับเขา ก่อนถอนหายใจ “เจ้ากำลังโทษข้าอยู่สินะ”
กู้ฉังชิงทำหน้านิ่ง “ท่านปู่พูดเรื่องอันใดกัน ข้าไม่เข้าใจ”
ท่านเหล่าโหวตอบด้วยท่าทางหนักแน่น “เจ้าเป็นหลานชายคนโตของข้า ข้าเลี้ยงเจ้ามาเองกับมือ มีหรือที่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าคิดอะไร มีคำพูดบางคำที่ข้าตั้งใจจะให้มันเน่าตายไปพร้อมกับศพของข้า… แต่ไม่นานมานี้ ตอนที่ข้าคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย สิ่งเดียวที่ข้าเสียใจที่สุดคือการไม่ได้บอกเจ้าทุกๆ เรื่อง”
กู้ฉังชิงไม่ได้เอ่ยอะไร
ราวกับไม่แยแสว่าท่านปู่ปิดบังอะไรไว้
ท่านเหล่าโหววางถ้วยชาไว้บนเก้าอี้ข้างๆ เขาแล้วเอ่ย “สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อจากนี้ เจ้าอาจพบว่ามันยากที่จะยอมรับ”
กู้ฉังชิงเยาะเย้ยตัวเองและพูดอย่างตรงไปตรงมา “มีอะไรที่ข้าไม่สามารถยอมรับได้อีกหรือ”
“เจ้ามี” ท่านเหล่าโหวมองดูเขา สีหน้าของเขาค่อยๆ เป็นจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าแม่เจ้าหรือ”
กู้ฉังชิงกำมือแน่น
ท่านเหล่าโหวกล่าวว่า “ให้ข้าเดานะ อนุหลิงเป็นคนมาบอกเจ้าใช่ไหม ข้าก็ไม่คิดว่านางจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แล้วนางบอกเจ้าหรือไม่ว่าอาการของแม่เจ้าดีขึ้นในตอนนั้น แต่หลังจากที่ข้าไปดู จู่ๆ อาการของเธอนางก็ทรุดหนัก เลยกลายเป็นว่าข้าเป็นฆาตกร แล้วเจ้าก็เชื่อแบบนั้น”
“ที่ผ่านมาข้าเข้าใจผิดมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ท่านปู่ไม่ได้สั่งให้ทหารองครักษ์ลับฆ่าท่านแม่หรอกหรือ” ถ้ากู้ฉังชิงไม่พบหลักฐาน เขาจะเชื่อได้อย่างไร
ท่านเหล่าโหวไม่แปลกใจเลยที่กู้ฉังชิงสามารถตามหาต้นตอได้ นี่คือหลานชายของเขาและเขาก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับความสามารถของเขา
ท่านเหล่าโหวพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าเคยคิดจะฆ่าแม่ของเจ้า”
กู้ฉังชิงกำฝ่ามือของเขาแน่นและขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เขากัดฟันพูด “เพราะอะไร! แม่ของข้าทำอะไรผิด ท่านถึงได้คิดเช่นนั้น!”
“แม่ของเจ้า…” ท่านเหล่าโหวหลับตาลงด้วยความรู้สึกที่สับสน “แม่ของเจ้าเป็นสายลับของพวกอดีตราชวงศ์”