สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 509 พี่ใหญ่เจียวเจียว (1)
บทที่ 509 พี่ใหญ่เจียวเจียว (1)
และเป็นอีกครั้งที่จอมพลกองทหารม้าผู้สูงศักดิ์ต้องกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของกู้เจียว
ในเมื่อเขายอมเป็นเด็กม้าให้นาง กู้เจียวจึงทำท่าตบหน้าอกเบาๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่านางรับเขาไว้แล้ว!
“เอาละ เอาละ เก็บกริชของเจ้าไว้เถิด ประเดี๋ยวเด็กม้าของข้าจะกลัวจนหัวหดเสียก่อน” กู้เจียวเอ่ยกับกู้ฉังชิง
เขาจึงยอมเก็บมันลง
กู้เฉิงเฟิงยกมุมปากขึ้น พลางคิด แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
ถังเย่ว์ซานรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยที่กู้ฉังชิงเชื่อฟังนางอย่างง่ายดาย จนเขาเริ่มสงสัยตัวเองว่าตัดสินใจวู่วามเกินไปหรือไม่
แต่พอลองมาคิดดูแล้ว กู้ฉังชิงเป็นสุภาพชนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้คนหมู่มากต้องมาเสี่ยงเพราะคนคนเดียว
หากการกำจัดถังเย่ว์ซานครั้งนี้ทำให้เขาช่วยเหลือคนอื่นไว้ได้ กู้ฉังชิงย่อมไม่ลังเลที่จะลงมือ
และนี่คือมุมมองของถังเย่ว์ซานที่มีต่อกู้ฉังชิง และเพราะเหตุนั้น เขาจึงเชื่ออย่างมากว่าเมื่อครู่นี้กู้ฉังชิงต้องการกำจัดเขาจริงๆ
นั่นสินะ เขาไม่ได้แค่ขู่แน่ๆ
ถังเย่ว์ซานคนนี้ไม่ถูกข่มเหงได้ง่ายๆ หรอก!
ไม่มีอะไรต้องเสียดายทั้งนั้น!
คนที่รู้สถานการณ์และยืดหยุ่นเป็นคือผู้ชนะ โบราณว่าไว้หากมีความมุ่งมั่นจะสามารถเข้มแข็งและเอาชนะความอับอาย ส่วนเขานั้นมุ่งมันเพื่อได้มาเป็นข้ารับใช้ของโจรยังไงล่ะ!
หลังจากกู้เจียวทำพิธีรับน้องเสร็จ พวกเขาก็เริ่มจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องสำคัญ
ที่จริงเดิมกู้ฉังชิงมีคำถามที่อยากถามถังเย่ว์ซานอยู่ ตอนแรกเขาวางแผนว่าหลังจะเยี่ยมท่านปู่เสร็จ จะเดินไปหาเขาที่เพิงพยายาล
“เรื่องที่เมืองกงงั้นรึ” ถังเย่ว์ซานถาม
สภาพของเขา ยังคงต้องนอนพักอยู่บนเตียง
กู้เจียวให้น้ำเกลือเขา
ด้วยความที่ตอนนี้เขาเป็นคนม้าของกู้เจียวแล้ว การรักษาดูแลจึงยกระดับขึ้น
กู้ฉังชิงนั่งลง หันหน้าไปทางเตียงของถังเย่ว์ซานและกู้เฉิงเฟิง กู้ฉังชิงเลือกที่จะขยับนั่งเข้าใกล้ถังเย่ว์ซานมากกว่าเพราะพวกเขาต้องปรึกษากัน
กู้เฉิงเฟิงได้แต่เบะปากและมองใบหน้าด้านข้างของคนเป็นพี่ และพยายามพลิกตัวไปมาเพื่อเรียกร้องความในใจ!
กู้ฉังชิงหมกมุ่นอยู่กับการพูดคุยเกี่ยวกับการปิดล้อมเมือง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สังเกตอารมณ์ของน้องชายเลยเสียด้วยซ้ำ กู้ฉังชิงเอ่ยกับถังเย่ว์ซาน “พรุ่งนี้เย็น ข้าจะมาวางแผนการโจมตีเมืองหลิงกวน”
ถังเย่ว์ซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “จริง ๆ แล้ว ข้าว่าจะแนะนำให้เจ้าโจมตีเมืองเป่ยหยางก่อน เพราะเป่ยหยางเป็นเมืองที่เคยต่อต้านอย่างดุเดือดที่สุด สาเหตุที่การต่อต้านรุนแรงนั้นเป็นเพราะอดีตราชวงศ์ไม่ได้วางแผนให้ดี ในเมื่อเจ้ายังใหม่กับป้อมปราการชายแดน รู้หรือไม่ว่าที่นี่มีพระอรหันต์อยู่รูปหนึ่ง”
“พระอรหันต์อย่างนั้นรึ”
ถังเย่ว์ซานพยักหน้า “ข้ากับปู่เจ้าก็เพิ่งรู้หลังจากที่มาเยือนที่นี่ พระอรหันต์รูปนี้เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้คนที่นี่มาก แม้แต่นายพลกับองค์หญิงหนิงอันยังนับถือเขา แต่ตอนนี้องค์หญิงหนิงอันไม่ได้นับถือเขาแล้ว เพราะนางมารู้ในภายหลังว่าพระอรหันต์ผู้นี้เป็นคนของอดีตราชวงศ์ น่าเสียดายที่มันสายเกินไป ผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อเขา กว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพที่เหลืออยู่ของอดีตราชวงศ์เองก็เป็นสาวกของพระอรหันต์ผู้นี้”
จู่ๆ กู้ฉังชิง ก็นึกขึ้นได้แล้วพึมพำ “ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาสามารถสร้างกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ที่ชายแดนได้โดยไม่ถูกค้นพบ”
ถังเย่ว์ซานเล่าต่อ “เมืองเย่นี่แหละคือเมืองที่มีสาวกของพระอรหันต์มากที่สุด และเป็นเมืองที่มีกำลังทหารอ่อนแอที่สุด”
กู้ฉังชิงเอ่ยถาม “แล้วเมืองเย่ว์กู่ล่ะ”
ถังเย่ว์ซานส่ายศีรษะ “เมืองเย่ว์กู่นั้นเล็กเกินไปและแทบไม่มีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์สำคัญ ก็เลยไม่มีสาวกของพระอรหันต์อยู่ในเมืองนี้”
กู่เฉิงเฟิงเบะปาก “กับแค่พระอรหันต์กำมะลอนั่นจะทำให้พวกเขาคิดต่อต้านราชสำนักเลยเชียวหรือ”
ถังเย่ว์ซานเล่าต่อ “พวกคนที่เลื่อมใสมากๆ แทบจะยอมอุทิศชีวิตให้กับพระอรหันต์ได้นั้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าพระอรหันต์มาเพื่อช่วยพวกเขาจากทะเลแห่งความทุกข์ แถมยังเป่าหูผู้คนอีกว่าอี้อ๋องเป็นบุตรที่พระเจ้าเลือกและเป็นจักรพรรดิที่พระเจ้าส่งมาเพื่อแก้ไขปัญหา หากอี้อ๋องได้ขึ้นครองบัลลังก์จะทำให้แคว้นเจริญรุ่งเรืองและราษฎรจะปลอดภัย มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเพียงพอ และพวกเขาจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอดอยากและความหนาวเย็นอีกต่อไป”
กู่เฉิงเฟิงไม่เชื่อสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมราษฎรพวกนั้นถึงได้หูเบาถึงเพียงนี้
“ราษฎรคงพบเจอแต่ความลำบากสินะ” กู้ฉังชิงตัดพ้อ
ถังเย่ว์ซานเองก็ถอนหายใจ
ความทุกข์ยากของชายแดนนั้นเหนือจินตนาการของผู้คนในเมืองหลวง พืชผลที่นี่ปลูกไม่ง่าย และการเก็บเกี่ยวก็ตกต่ำอย่างมาก
เป็นชีวิตที่มองไม่เห็นปลายทางสว่าง
ที่พวกเขาศรัทธาพระอรหันต์ ก็เพื่อต้องการมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง
แวบแรกเรื่องนี้อาจฟังดูไร้สาระ แต่ลึกๆ แล้วต่างก็มีที่มาที่ไปจากความเจ็บปวดใจ
“มีผู้ป่วยโรคระบาดในเมืองหลิงกวน หากเราโจมตีช้าเกินไป ข้ากังวลว่าพวกเขาจะโจมตีผู้คนในเมืองด้วยโรคระบาด” กู้ฉังชิงเอ่ย
ถังเย่ว์ซานถึงกับทำหน้าเหวอ “ว่าอย่างไรนะ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยรึ”
กู้ฉังชิงเล่าต่อ “เจียวเจียวได้ยินจากครั้งที่นางบุกไปยังจวนเทศมนตรีเมืองหลิงกวนเมื่อครั้งที่แล้ว”
กู้เฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นถึงกับเบิกตาโต “ไม่ใช่สิ ข้าเองก็อยู่ด้วยนะ ไม่เห็นจะเคยได้ข่าวเลย”
กู้ฉังชิงส่งสายตาค้อนให้ผู้เป็นน้องชายราวกับกำลังบอกว่า
น้องสาวเจ้าเก่งกว่าเจ้าอีก
กู้เฉิงเฟิง “…!!”
เรื่องแค่นี้ยังโดนเปรียบเทียบอีกเรอะ!
จะว่าไป เขาอยู่กับยัยเด็กนั่นตลอดเวลาเลยนะ ไม่ยักกะได้ยินเรื่องโรคระบาดอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ!
กู้เฉิงเฟิงหันไปหากู้เจียวที่กำลังให้น้ำเกลือ ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากถามว่าไปได้ยินข่าวที่ว่ามาตอนไหน ก็เจอกับเสียงถอนหายใจบ่นพึมพำของนาง “ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเหม่อลอย”
กู้เฉิงเฟิง “…”
“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่” ถังเย่ว์ซานเอ่ยถาม
กู้ฉังชิงพยักหน้า “พวกเราไปดูสถานที่จริงมากแล้ว อีกทั้งจัดการสังหารคนที่เป็นผู้คุม พวกเราทิ้งยารักษาโรคไว้ให้พวกเขา ทุกวันจะมีทหารของพวกอดีตราชวงศ์มาคอยส่งข้าวส่งน้ำ แต่ด้วยความที่พวกเขากลัวติดเชื้อ จึงไม่เข้าไปตรวจดูผู้คนที่อยู่ในกระโจม ตอนนี้ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวสือโถวคอยช่วยปลอมตัวเป็นผู้คุม แต่ไม่รู้ว่าจะยื้อไว้ได้อีกนานเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเราควรบุกเมืองหลิงกวนให้ได้เร็วที่สุด”
ผลที่ตามมาจากโรคระบาดไม่ได้น่ากลัวไปกว่าสงครามใดๆ
เกิดพวกมันเจอเบาะแสเข้าละก็ อาจบันดาลโทสะด้วยการปล่อยผู้ติดเชื้อออกมา หรือไม่ก็ทำการฆ่าพวกเขาทิ้งแล้วนำเสื้อผ้าหรือไม่ก็รอยเลือดของผู้ติดเชื้อกระจายให้ราษฎร
เช่นนั้น เมืองหลิงกวนจะต้องตกอยู่ในอันตราย
สีหน้าของถังเย่ว์ซานเริ่มนิ่งลง
แม้เขาจะรู้ว่าพวกมันไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะใช้วิธีที่เลวทรามต่ำช้าน่ารังเกียจเช่นนี้
เห็นทีคงต้องบุกโจมตีเมืองหลิงกวนก่อน
“โรคระบาดที่ว่านั่นรักษาได้ไหม”
ถังเย่ว์ซานเอ่ยถาม
เท่าที่เขาจำได้ โรคระบาดมักไม่ได้ถูกระงับโดยการรักษา ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะถูกกักกันและเสียชีวิต โรคระบาดจะถือว่าจบลงเมื่อไม่มีผู้ติดเชื้ออีก
คำถามนี้ มีเพียงกู้เจียวเท่านั้นที่ตอบได้