สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 510 พี่น้องลุยศึก
บทที่ 510 พี่น้องลุยศึก
คืนก่อน กองทัพตระกูลกู้ได้เตรียมกำลังทหารเพื่อบุกโจมตี และนอกจากกู้ฉังชิงแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าพวกเขาจะต้องเดินทางไปยังเมืองไหน
หลังจากสอดแนมลาดเลาของกองทัพตระกูลกู้แล้ว กองทัพแคว้นเฉินจึงคาดการณ์ว่ากู้ฉังชิงอาจบุกโจมตีเมืองเป่ยหยางก่อน กองทัพจากเมืองเย่ได้เดินทางไปเสริมกำลังเป็นที่เรียบร้อย
“ดีล่ะ กองกำลังทหารสามหมื่นนายของเมืองหลิงกวนไม่ใช่คู่ปรับของพวกเราด้วยซ้ำ” ณ ค่ายทหาร ผู้บัญชาการฝั่งขวาเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ ระยะทางระหว่างเมืองเป่ยหยางถึงเมืองหลิงกวนนั้นไกลยิ่งกว่าเมืองเย่ถึงเมืองหลิงกวน หากกองทัพของแคว้นเฉินไปที่เมืองเป่ยหยางจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะพบว่าถูกหลอก ก็ไม่อาจกลับมาได้ทัน”
กู้ฉังชิงมองดูแอ่งน้ำในทะเลทราย พลางคำนวณระยะทาง
เมืองเป่ยหยาง เมืองหลิงกวน เมืองเย่ว์กู่ เมืองเย่ ทั้งสี่เมืองตั้งอยู่ตามทิศทั้งสี่พอดิบพอดี โดยเมืองเป่ยหยางตั้งอยู่ทิศเหนือ ส่วนหลิงกวนเฉิงอยู่ทิศใต้ และมีระยะทางที่ห่างกัน
ขณะเดียวกัน หากต้องเดินทางจากเมืองเป่ยหยางไปยังเมืองเย่ว์กู่ระยะทางก็จะสั้นลงมา
หากอีกฝ่ายไหวตัวทัน อย่างแรกที่พวกนั้นทำคงไม่ใช่การเสริมกำลังเมืองหลิงกวน แต่ให้นำกองทัพเข้าโจมตีเมืองเย่ว์กู่
หลังกู้ฉังชิงวิเคราะห์เสร็จ ทหารบัญชาการทั้งฝั่งซ้ายและขวาต่างมีความเห็นที่ต่างกันออกไป
ผู้บัญชาการฝั่งขวา “เราจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง กำจัดพวกมันให้เร็วที่สุด แล้วค่อยกลับมา เราอาจทำความเร็วได้ดีกว่ากองทัพของแคว้นเฉิน”
ผู้บัญชาการฝั่งซ้าย “เมืองเย่ว์กู่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลิงกวนแปดสิบลี้ และเมืองเย่ว์กู่ก็อยู่ห่างจากเมืองเป่ยหยางแปดสิบลี้เช่นกัน หากพวกเราบุกโจมตีเมืองใดเมืองหนึ่ง เมืองเป่ยหยางจะต้องได้รับสารอย่างแน่นอน การปิดล้อมเมืองนั้นใช้เวลานานเท่าไหร่ เกรงว่าทุกอย่างจะไม่ทันการ”
ผู้บัญชาการฝ่ายขวาเอ่ยด้วยความมั่นใจ “เช่นนั้น พวกเราก็ตีเมืองเย่ว์กู่เฉิงไปด้วยเลย!”
ผู้บัญชาการฝั่งซ้ายกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่ผู้คนในเมืองจะต้องทนทุกข์ทรมานจากเปลวไฟแห่งสงคราม ทหารรวมถึงองครักษ์ที่บาดเจ็บก็จะถูกสังหารด้วย”
คราวนี้ ผู้บัญชาการฝั่งขวาเงียบไป
แม้เขาอยากใส่ไม่ยั้งแค่ไหน แต่ก็มิอาจเพิกเฉยต่อชีวิตและความตายของผู้คน
กู้ฉังชิงไม่เอ่ยอะไร
วันนี้เขาได้ไปสอบถามเส้นทางจากไต้เท้าหูและเทศมนตรีเฉิง และได้รู้ว่าเส้นทางจากเมืองเย่ว์กู่ไปยังเมืองเป่ยหยางนั้นเท่ากับเมืองหลิงกวน เพียงแต่หากเทียบกันแล้ว ภูมิประเทศเมืองหลิงกวนมีลักษณะสูงกว่า ส่วนเมืองเป่ยหยางนั้นมีลักษณะภูมิประเทศต่ำ การเดินทางของพวกเขาคือการลงเขา กลับกันกองทัพของแคว้นเฉินจะต้องขึ้นเขา ดังนั้นความเร็วย่อมไม่เท่ากันแน่นอน
ขอแค่พวกเขาใช้เวลาปิดล้อมเมืองได้เร็ว ก็อาจได้ปะทะกับพวกทหารแคว้นเฉินระหว่างทาง
ตอนนี้เขาต้องเผชิญกับทางเลือกสองทาง อย่างแรกคือออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ทำลายเมืองหลิงกวนอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปเผชิญหน้ากับกองทัพของแคว้นเฉิน หรือสอง เหลือทหารบางส่วนไว้ที่เมืองเย่ว์กู่ และเริ่มศึกทั้งสองที่ในเวลาเดียวกัน
หากเป็นอย่างหลัง คำถามต่อมาก็คือกองทัพของแคว้นเฉินจะส่งกองกำลังไปเท่าไหร่
จะเป็นสามหมื่น หรือว่าห้าหมื่น
ท้ายที่สุดกู้ฉังชิงตัดสินใจเลือกอย่างที่สอง การให้ทหารเร่งถอยร่น อาจส่งผลต่อกำลังรบ อาจนำไปสู่การการบาดเจ็บล้มตายเพิ่มมากขึ้น มันจะดีกว่าถ้าทั้งสองเมืองเริ่มศึกพร้อมกัน โดยให้ทหารที่อยู่ในเมืองเย่ว์กู่ตั้งหลักรอ แม้จำนวนของพวกเขาอาจเทียบไม่ได้ แต่พวกเขาเหนือกว่าในแง่ของกำลังรบอย่างแน่นอน
กู้ฉังชิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะอธิบายต่อ “บางทีเราอาจได้เปรียบในแง่ของจำนวน เมืองเป่ยหยางกับเมืองเย่สองเมืองนี้ต้องมีทหารคอยคุ้มกันตลอด และพวกเขาก็อาจกลัวว่าถ้าเรายึดเมืองหลิงกวนได้ เราจะเดินหน้าล้อมเมืองเป่ยหยางและเมืองเย่เฉิงต่อ ตอนนี้กำลังรวมของทั้งสองเมืองคือแปดหมื่นคน และแต่ละเมืองจะต้องมีทหารอย่างน้อยสองหมื่นคน ดังนั้นขีดจำกัดสูงสุดของกองกำลังของพวกเขาคือราวสี่หมื่นคน”
หลังจากหารือกับถังเย่ว์ซานและปู่ของเขาแล้ว พวกเขาทั้งสามตกลงที่จะเหลือกองทหารตระกูลกู้จำนวนสามหมื่นนายไว้ต่อกรกับกองทัพของแคว้นเฉิน และกองทหารที่เหลือที่จะติดตามกู้ฉังชิงเพื่อโจมตีเมืองหลิงกวน
การบาดเจ็บมักจะเกิดขึ้นในสงคราม ดังนั้นจำเป็นต้องมีหมอร่วมเดินทางด้วย
ในกลุ่มหมอมีไม่กี่คนที่มีทักษะการรักษาที่ยอดเยี่ยม แต่ท่ามกลางสงครามและอันตราย กู้ฉังชิงเลือกหมอหลวงปฏิบัติการเพียงยี่สิบคนจากราชสำนัก
กู้เจียวเองก็จะติดตามไปในศึกครั้งนี้ด้วย ไม่ใช่ในฐานะหมอ แต่นางต้องไปแจ้งข่าวให้คนในหมู่บ้านโรคระบาดให้ทราบ
แม้ว่าสิ่งที่นางบอกกับเสี่ยวสือโถวในตอนนั้นว่ารอคนมาส่งข่าวแล้วให้เขานำผู้คนอพยพ
แต่กู้เจียวจะปล่อยให้กลุ่มผู้ติดเชื้อวิ่งหนีท่ามกลางน้ำแข็งและหิมะได้อย่างไร
อาจเกิดหายนะได้
ส่วนกู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการรู้สึกตื่นเต้นราวกับว่าเขาคลานเข้าไปในรังมดนับหมื่นตัว เขาพลิกตัวบนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ เป็นครั้งคราวซึ่งทำให้ถังเย่ว์ซานตกใจตื่น
ถังเย่ว์ซานเริ่มชินและนิ่งขึ้นแล้ว จากที่ตอกช่วงแรกๆ อาจมีตกใจเล็กน้อย
เจ้าเด็กนี่สติฟั่นเฟืองไปแล้ว
กู้เฉิงเฟิงไม่แม้แต่จะกินข้าวเย็น เขาคิดแค่ว่าจะต้องโจมตีเมืองหลิงกวน พลางคิด ในเมื่อเขาคือกองทัพของตระกูลกู้ เขาจะนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เขาต้องร่วมศึกด้วย!
เขาถอดเฝือกที่แขนออก เดินก้าวใหญ่กำลังจะออกไปด้านนอก เท้าข้างแรกของเขายังไม่ทันพ้นประตู หมอซ่งก็เข้ามาห้ามไว้เสียก่อน
“แม่นางกู้กำชับแล้วว่าห้ามใครออกจากห้องนี้โดยเด็ดขาดขอรับ!” หมอซ่งเอ่ยเสียงหนักแน่น
“แต่ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก เจ้าจะฉีดยาข้าหรือไง มาสิ มาสิ มาสิ มาเลย!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยพลางยื่นก้นให้
หมอซ่งพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ข้าจะริบยาปลูกผมของเจ้าหนึ่งขวดนะ”
กู้เฉิงเฟิงรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ !
ด้วยความที่ช่วงนี้มัวแต่ออกศึก เขาจึงลืมเรื่องน้ำยาปลูกผมไปเสียสนิท!
กู้เฉิงเฟิงผู้ไม่กลัวสิ่งใดกลับยอมให้กับน้ำยาปลูกผม
หลังเสร็จจากอาหารค่ำ กู้ฉังชิงก็มุ่งหน้านำทัพทหารออกเดินทาง ส่วนผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายพร้อมกับทหารอีกสามหมื่นนายคอยอยู่เฝ้าเมืองเย่ว์กู่
วันที่มีพายุหิมะรุนแรงเช่นนี้ ทำให้การเดินทางอันตรายยิ่ง
หลังจากผ่านการเดินทางอันยาวนานทั้งคืน ในที่สุดทหารตระกูลกู้ก็ได้มาถึงจุดที่อยู่ใกล้กับเมืองหลิงกวน
หิมะยังคงตกหนัก เหล่าทหารจึงหยุดพักในป่าเขาแห่งหนึ่ง
พวกเขาตั้งค่ายพักแรกที่นี่ ตามคำสั่งของกู้ฉังชิง
เมืองหลิงกวนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขา ส่วนพวกเขาอยู่ทางตะวันตก มีทั้งพายุหิมะหนาและภูเขาคอยกำบัง ต่อให้พวกเขาจุดไฟคงไม่เป็นที่สังเกต
กู้เจียวเตรียมตัวออกเดินทางไปตามหาเสี่ยวสือโถว
สองพี่น้องได้ตกลงเรื่องรายละเอียดภารกิจครั้งนี้ ด้วยความที่กู้ฉังชิงไม่สามารถออกจากทัพได้ แต่เขามีองครักษ์ จึงสั่งให้องครักษ์ทั้งหกคนติดตามกู้เจียวไปด้วย
ก่อนออกเดินทาง กู้เจียวได้คัดสตรีที่รู้งานเย็บปักถักร้อยมาสองสามคนเพื่อทำชุดป้องกันโรคจากกระดาษเคลือบน้ำมัน
ส่วนถุงมือและหน้ากากไม่ต้องทำขึ้นใหม่เพราะในกล่องยายังมีเหลืออยู่เต็ม
ส่วนนแว่นตามีเพียงแค่อันเดียว และนางจะให้ผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดสวมหน้ากาก
กู้ฉังชิงมองดูผู้เป็นน้องที่กำลังหอบกล่องยาและแบกปืนพู่สีแดง “จะไปแล้วหรือ”
กู้เจียวพยักหน้า “หากข้าพาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัยได้แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาเจอกัน”
“ตกลง” กู้ฉังชิงมองนางด้วยสายตากังวล แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจความสามารถของกู้เจียว เขายื่นมือจัดปอยผมของนาง พลางเอ่ย “ดูแลตัวเองด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ถ้าไม่ดูแลตัวเอง ทุกอย่างที่ทำคงเสียเปล่า
เนื่องจากพวกเขาต้องผ่านด่านตรวจ มีไม่กี่คนที่ไม่ได้ขี่ม้า เหล่าองครักษ์จึงใช้วิชาตัวเบาเพื่อนำทางตลอดทั้งคืน
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมาย
กู้เจียวจัดแจงหยิบถุงมือ หน้ากาก และชุดป้องกันโรคออกจากตะกร้า และช่วยพวกเขาแต่งตัวให้เรียบร้อยทีละคน
ทหารองครักษ์นายหนึ่งขอไปดูลาดเลา
กู้เจียวห้ามเขาไว้ “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ส่วนข้าจะรุดหน้าไปก่อน”
เหล่าองครักษ์พยักหน้า
กู้เจียวมุ่งหน้าไปยังห้องของทหารหน่วยกล้าตายก่อน แล้วเคาะประตู
มีเสียงลุกขึ้นดังจากในห้อง การเคลื่อนไหวฟังดูทั้งรวดเร็วและระแวดระวัง
กู้เจียวพยักหน้าพลางนึกในใจ ไม่เลวเลยเสี่ยวสือโถว
“ข้าเอง” กู้เจียวกระซิบ
“ท่านหมอกู้!” เสิ่นเซวียนรีบเปิดประตูให้นาง
กู้เจียวรีบเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว แง้มประตูไว้เล็กน้อยเพื่อให้แสงจันทร์ลอดเข้ามา “ช่วงนี้เจ้าได้กินยาตรงเวลาไหม”
“ขอรับ!” เสิ่นเซียนพยักหน้า “ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก!”
“คนอื่นๆ ล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เสิ่นเซวียน “พวกเขาเองก็ทานยาตรงเวลา ส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นเหมือนข้า แต่บางคนก็ไม่ดีขึ้นเลยขอรับ”
“ไม่ได้ผลรึ” กู้เจียวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยต่อ “ดูเหมือนฤทธิ์ของยาจะไม่ได้ผลกับทุกคนสินะ ลองเฝ้าดูอาการอีกสักสองวัน ถ้ายังไม่ได้จริงๆ ข้าจะเปลี่ยนยาให้พวกเขา”
คราวก่อนกู้เจียวใช้สเตรปโตมัยซินและยาซัลโฟนาไมด์ ไว้นางจะลองดูว่าในกล่องยามีตัวยาเตตราไซคลินหรือคลอแรมเฟนิคอลอยู่หรือไม่
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เมืองหลิงกวนกำลังจะเกิดศึกแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าหนีไปจากที่นี่” กู้เจียวเอ่ย
เสิ่นเซวียนกลับโบกมือปฏิเสธ “ท่านหมอกู้รีบหนีไปก่อนเถิด ข้าจะพาพวกเขาไปซ่อนตัวที่ภูเขา รับรองว่าไม่มีใครพบเห็นพวกเราแน่นอน!”
“พวกมันเลี้ยงสัตว์ล่าเหยื่อไว้ด้วย คงไม่ยากที่จะตามหาพวกเจ้าจนเจอ”
“อ๋า!” เสิ่นเซวียนถึงกับผงะ
กู้เจียวโพล่งขึ้นด้วยท่าทีหนักแน่น “ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปกันเถอะ!”
เสิ่นเซวียนไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงรีบปลุกคนอื่นๆ
พวกเขาไม่คิดว่ากู้เจียวจะกลับมาช่วยจริงๆ ไฟแห่งความหวังอันริบรี่ในตอนแรกบัดนี้กลับค่อยๆ ลุกโชนขึ้น
กู้เจียวให้ทุกคนสวนหน้ากาก จากนั้นพาพวกเขาข้ามสะพาน
แต่ตัวกู้เจียวเองจะยังอยู่ที่นี่ นางจึงกำชับกับทหารองครักษ์ “พาพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย”
“ท่านไม่ไปรึ” เสิ่นเซวียนเอ่ยถาม
“เดี๋ยวข้าตามไป” กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ
ใกล้จะรุ่งสางแล้ว ทหารของแคว้นเฉินกำลังจะมาส่งอาหารเช้า ต้องมีคนอยู่เคาะประตู ไม่เช่นนั้น หากพวกมันพบว่าคนในหมู่บ้านหายไปหมด ก็คงเดาได้ไม่ยากว่ากองทัพตระกูลกู้มาถึงที่นี่
จะให้พวกมันรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด