สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 513 ออกโจมตี
บทที่ 513 ออกโจมตี
หนึ่งเค่อต่อมา ไอสังหารที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งผืนป่าจะจางหายไป
กลุ่มคนทั้งยี่สิบตายไปแล้วสิบเก้า เหลือแค่ชายชุดดำสุดท้ายที่ตัวสั่นงันงกคุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ
กู้เจียวกดสายตามองต่ำไปยังเขา หัวทวนพู่แดงจ่อหน้าอกเขาไว้ “หน่วยกล้าตายที่เก่งกาจข้างกายราชบุตรเขยของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
ชายชุดดำได้ยินก็ชะงักไป อาจเพราะยังไม่ได้สติคืนมาจากการสังหารหมู่ครั้งใหญ่เมื่อครู่ เขาจะใช้เวลานานทีเดียวถึงได้รู้ตัวว่ากู้เจียวกำลังพูดอะไร
เขากลืนน้ำลายเอ่ยเสียงสั่น “จอมยุทธ์น้อย…”
ช้าก่อน นี่ไม่ใช่จอมมยุทธ์น้อย!
นี่มันสาวน้อยต่างหาก!
ใช่แล้วล่ะ นางเป็นสตรีชัดๆ !
ต่อให้เสียงไม่เปลี่ยน แต่เสียงของเด็กหนุ่มกับเด็กสาวก็ยังคงแตกต่างกันมากอยู่ดี เมื่อครู่ถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเข่นฆ่าจนขวัญหนี แม้แต่เสียงพูดจาของเขาก็ยังลืมตั้งใจฟังให้ละเอียด
ความกลัวในแววตาชายชุดดำไม่ได้ลดน้อยลงเพราะสตรีนางนี้เลย ตรงกันข้าม เขากลับกลัวมากขึ้นกว่าเดิม
สตรีบ้านใดจึงได้น่ากลัวเพียงนี้
คงไม่ใช่หน่วยกล้าตายที่ชนชั้นสูงแคว้นเยี่ยนเท่านั้นจึงจะครอบครองได้หรอกกระมัง
หน่วยกล้าตายเดิมทีก็มาจากแคว้นเยี่ยนอยู่แล้ว ที่เหลืออีกห้าแคว้นย่อมเป็นหน่วยกล้าตายที่แคว้นเยี่ยนจ่ายเงินมหาศาลซื้อตัวไม่ก็จ้างมา ทว่าไม่ได้ฝีมือร้ายกาจอะไรเทือกนั้น มีเพียงราชบุตรเขยของพวกเขาเท่านั้นที่จะได้ตัวหน่วยกล้าตายชั้นสูงมาจากแคว้นเยี่ยนโดยบังเอิญ
“จอม…แม่นาง…”
ชายชุดดำไม่รู้ว่าควรเรียกอีกฝ่ายว่าจอมยุทธ์น้อยหรือแม่นางดี เขาอึกอักอยู่นานก่อนจะเอ่ยติดๆ ขัดๆ “เจ้าหมายถึงเทียนหลังน่ะรึ”
“เทียนหลัง” กู้เจียวเอ่ยทวนเสียงนิ่งเรียบ
ต้องเก่งกาจเพียงไหนจึงได้มีสมญานามยิ่งใหญ่ขนาดนี้
กู้เจียวสังเกตเห็นว่าตอนที่ชายชุดดำเอ่ยถึงเทียนหลังนั้นแววตาเขาฉายแววหวาดกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เขาเก่งกาจมากหรือ” กู้เจียวถาม
ชายชุดดำเอ่ย “จะ…จะไม่เก่งกาจได้อย่างไร หน่วยกล้าตายของราชบุตรเขยรวมกันกับยี่อ๋องยังสู้เขาเพียงคนเดียวไม่ได้เลย!”
กู้เจียวไม่รู้ว่าหน่วยกล้าตายในมือราชบุตรเขยกับยี่อ๋องนั้นล้วนมีฝีมือเหมือนสี่คนเมื่อครู่หมดเลยหรือไม่ บอกตรงๆ ว่าสี่คนนั้นไม่ได้อ่อนหัด แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายเช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามองครักษ์หลงอิ่งสามคนที่ก่อนหน้านี้ถังเย่ว์ซานพูดถึงล้วนได้รับบาดเจ็บจากชายผู้นี้ซึ่งค่อนข้างทำให้กู้เจียวต้องมองใหม่
กู้เจียวไม่รู้ว่าที่เขาสามารถเอาชนะองครักษ์หลงอิ่งทั้งสามนั้น เขาเอาชนะทั้งสามคนได้ หรือองครักษ์ทั้งสามยอมอ่อนข้อให้เขากันแน่
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นแบบใด พละกำลังของหน่วยกล้าตายคนนี้ก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวมากอยู่ดี
“เทียนหลังอยู่ที่ใดรึ” กู้เจียวถาม
“ยะ…อยู่ที่จวนท่านราชบุตรเขย” ชายชุดดำเอ่ยด้วยความกลัวจนตัวสั่น คงจะเดาได้ว่ากู้เจียวอาจจะไม่เข้าใจ จึงเอ่ยอธิบายเพิ่ม “ห่างจากจวนผู้ว่าไปไม่ไกล ออกจากประตูใหญ่จวนผู้ว่ามาแล้วตรงไปทางตะวันออกสองลี้ก็ถึงแล้ว”
กู้เจียวใช้ทวนจัดการเขาไปหนึ่งที แล้วค้นของมีค่าบนตัวพวกเขาจนเกลี้ยงเหมือนเคย เลือกม้ามาตัวหนึ่งขึ้นควบ มุ่งตรงไปยังด่านหลิงกวนทันที
นางไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ ก่อนเข้าเมืองจึงได้ทำการป้องกันนิดหน่อย
ทางเข้าเมืองด่านหลิงกวนถูกกองทัพตระกูลกู้ตีแตกแล้ว สองฝ่ายกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดอยู่ในเมือง กู้เจียวจึงใช้ทางอ้อมไปยังจวนของราชบุตรเขยแทน
เพลิงศึกยังไม่ลุกลามมาถึงที่นี่ ทว่าข่าวสงครามน่าจะลือสะพัดไปทั้งเมืองแล้ว บ้านเรือนต่างปิดงับประตูหน้าต่างแน่นสนิท ถนนหนทางเวิ้งว้างเงียบงัน ไม่เห็นชาวบ้านมาเดินเพ่นพ่านแม้แต่คนเดียว
เสียงเกือกม้าของกู้เจียวดังก้องกุบกับอยู่บนถนนทอดยาว มีทหารกำลังเสริมจากจวนผู้ว่ามุ่งไปช่วยเหลือเป็นระยะ
กู้เจียวไม่ได้ไปปะทะกับพวกเขาตรงๆ
เป้าหมายของนางคือเทียนหลัง
เมื่อใกล้จะถึงจวนราชบุตรเขย กู้เจียวก็ลงจากหลังม้า แล้วทิ้งมันไว้ในตรอก
คราก่อนตอนที่กู้เจียวมาที่จวนผู้ว่าเมืองด่านหลิงกวนเคยผ่านถนนเส้นนี้แล้ว ตอนนั้นนางยังไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนราชบุตรเขย
หากพูดถึงความแตกต่างก็ย่อมมีอยู่แล้ว
อย่างน้อยๆ ตอนนั้นที่นางผ่านทางนี้ก็ไม่ได้มีทหารเฝ้าไว้มากมายเพียงนี้ แต่ครานี้แทบจะมีทหารทั้งกองทัพล้อมจวนไว้
การเคลื่อนไหวนี้ชวนให้คิดไม่น้อย
เมืองหลิงกวนอยู่ในภาวะสงคราม ทหารของตระกูลกู้เคลื่อนทัพมาประชิดเมือง ร่วมต่อสู้ให้ตายกันไปข้างกับกบฏราชวงศ์ก่อน กำลังทหารทุกคนต่างสำคัญทั้งสิ้น ทว่าราชบุตรเขยกลับให้ทหารมากมายมาเฝ้าจวนมากมายเพียงนี้
เกรงว่าสิ่งที่เขาต้องการป้องกันคงไม่ใช่กู้ฉังชิงและกองทัพตระกูลกู้ หรือลุงแท้ๆ ของตัวเองกับทหารแคว้นเฉินหรอก
เมื่อกบฏราชวงศ์ก่อนพ่ายแพ้ที่แดนเหนือ องค์หญิงหนิงอันจะกลายเป็นหมากเพียงตัวเดียวที่พวกเขาจะเอามาบีบแคว้นเจา ยี่อ๋องคงคิดจะจับหนิงอ๋องออกมาเป็นโล่ หรือไม่ก็เอาไปต่อรองกับกองทัพใหญ่แคว้นเฉินแน่
กู้เจียวสังเกตการณ์อยู่ภายในตรอกฝั่งตรงข้ามพักหนึ่ง จู่ๆ องครักษ์จำนวนหนึ่งก็ควบม้ามาหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนราชบุตรเขย คนที่เป็นหัวหน้าล้วงป้ายคำสั่งออกมาจากบั้นเอว เอ่ยกับทหารเฝ้ายาม “ราชบุตรเขยมีคำสั่งให้พาองค์หญิงไปยังที่ที่ปลอดภัย!”
ทหารยามหลีกทางให้
พวกองครักษ์เข้าไปในจวน
ในเมื่อจะย้ายตัวองค์หญิงหนิงอัน คนชื่อเทียนหลังอะไรนั่นก็น่าจะติดตามคุ้มกันองค์หญิงหนิงอันออกไปด้วย
กู้เจียวตัดสินใจรอเขาออกมา แล้วระหว่างทางค่อยหาจังหวะลงมือกับเขา
กู้เจียวรออยู่ในตรอกราวหนึ่งเค่อ พวกองครักษ์ก็ขี่ม้าออกมาอีกครั้ง ยังคงเป็นหัวหน้าคนนั้นที่เอ่ยกับพวกทหารยาม “พวกเจ้าตามพวกเราคุ้มกันส่งองค์หญิง!”
“ขอรับ!”
ทหารทุกคนขานรับ
ดวงตากู้เจียวเย็นเยียบ
พวกทหารตั้งแถวอยู่สองฝั่ง เพียงไม่นานรถม้าที่ปิดมิดชิดคันหนึ่งก็เคลื่อนออกมาจากจวน
คนที่นั่งอยู่บนรถน่าจะเป็นองค์หญิงหนิงอัน
เป้าหมายกู้เจียวชัดเจนมาก คือการสังหารเทียนหลัง
ส่วนองค์หญิงหนิงอันนั้น หลังจากฆ่าเทียนหลังแล้วหากยังมีโอกาส นางค่อยพาอีกฝ่ายไปด้วย
ทว่านางไม่มีทางทิ้งโอกาสสังหารเทียนหลังเพื่อช่วยองค์หญิงแน่นอน
หลังจากรถม้าออกจากจวนแล้ว ม้าพันธุ์ดีสีนิลทั้งตัวก็ทะยานออกจากหลังธรณีประตูพร้อมกับเสียงเกือกม้าหนักๆ บนหลังของมันมีบุรุษในเกราะสีดำนั่งอยู่
แม้จะนั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังมองลักษณะท่าทางเขาออกว่าสูงใหญ่กว่าบุรุษทั่วไป
เขาสวมหมวกศึกที่มีหน้ากากเหล็กเช่นเดียวกับกู้เจียว เผยแค่ดวงตาเย็นเยียบออกมาเท่านั้น
เมื่อมองจากไกลๆ แววตาเขาแดงชาดเจือไอสังหารชวนให้หวาดกลัว
ชั่วขณะที่เขาควบม้าออกมา ม้ารอบด้านต่างพยศอยู่ไม่สุข
กู้เจียวจ้องเขานิ่ง กำทวนพู่แดงในมือแน่น
จากนั้นรถม้าอีกสองสามคันก็ออกมาจากจวน
เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว กู้เจียวจึงไปเอาม้าจากในตรอก
เพื่อไม่ให้โดนจับได้ กู้เจียวจึงตามอยู่ห่างๆ หิมะหยุดลงแล้ว พื้นจึงเต็มไปด้วยรอยเท้า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะตามไม่ทัน
เพียงแต่คนผู้นั้นไม่ใช่คนไร้สมอง พวกเขาคงเดาได้คร่าวๆ ว่ารอยเท้าบนพื้นหิมะง่ายต่อการติดตามร่องรอย เดินไปได้ไม่ไกลก็เริ่มแยกกันเป็นสองทาง เมื่อถึงทางแยกต่อไปก็เริ่มแยกกันเป็นสี่ทาง
“มิน่าถึงเอารถม้ามามากมายขนาดนี้ คงจะใช้หลอกล่อแน่ๆ”
ทว่าสิ่งที่กู้เจียวจดจำนั้นหาใช่รอยรถม้า แต่เป็นรอยเท้าม้าของเทียนหลังต่างหาก
ม้าของเขาพันธุ์ดีสูงใหญ่เป็นพิเศษ รอยเกือกม้าจึงลึกกว่ามาก
พูดน่ะมันง่าย พอไปแยกรอยเกือกม้าที่ถูกสับขาหลอกให้ยุ่งเหยิงว่าอันไหนลึกอันไหนตื้นกลับไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น โชคดีที่กู้เจียวเคยฝึกการติดตามตอนอยู่ในทีมมาก่อน
นางตามเกือกม้าของเทียนหลังผ่านเขตเมืองหลิงกวนไป จนมาถึงชานเมืองที่เงียบสงบและอ้างว้างกว่าเดิม
ในขณะที่ผ่านไหล่เขาเล็กๆ จู่ๆ รอยเกือกม้าของเทียนหลังก็หายไป!
กู้เจียวขมวดคิ้ว
ครู่ต่อมา ไอเย็นยะเยือกสายหนึ่งก็พุ่งพรวดขึ้นจากใต้ฝ่าเท้านาง ไอสังหารแทรกซึมออกมาทุกอณู!
กู้เจียวยกทวนพู่แดงขึ้นทันที ก่อนหันไปต้านทวนที่พุ่งมาจากเหนือศีรษะ!
เสียงเคร้งดังขึ้นกึกก้อง อาวุธปะทะกันรุนแรง เสียดสีกันเป็นประกายสีทองท่ามกลางราตรีสีมืด!
เป็นเทียนหลัง!
เขาเห็นนางแล้ว!
เขาตัดสินใจจะรอสังหารนางที่นี่!
ม้ารับแรงกดดันมหาศาลไว้ไม่ไหว มันส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา พร้อมกับวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง!
ในขณะที่กำลังควบวิ่งนั้น ร่างกายกู้เจียวเสียการทรงตัว นางแหงนหงาย จึงถือโอกาสยกเท้าขึ้นเตะปลายคางเทียนหลังไปที!
เทียนหลังฟาดฝ่ามือใส่พื้นรองเท้านาง!
กู้เจียวอาศัยแรงพลิกตัว ยันทวนพู่แดงกับพื้นหิมะ ช่วยให้นางทรงตัวได้หลังจากพลิกตัวกลางอากาศ
กู้เจียวมือถือทวนพู่แดง ยืนอยู่บนพื้นหิมะอย่างระแวดระวัง
ห่างจากตรงหน้านางไปราวๆ หนึ่งจั้ง เทียนหลังยืนสูงตระหง่าน ไอสังหารพวยพุ่ง
กู้เจียวพบว่าตัวเองประเมินเขาสูงไป
นึกไม่ถึงว่าอาวุธของเขาก็เป็นทวนพู่แดงเช่นกัน เป็นทวนพู่แดงที่มีขนาดพอๆ กันกับของกู้เจียว ทว่าเห็นได้ชัดว่าทวนพู่แดงของเขาสู้ของกู้เจียวไม่ได้
แววตาเขาหยุดอยู่บนทวนพู่แดงของกู้เจียว หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังแปลกใจ
กู้เจียวมองทวนพู่แดงในมือตัวเองตามสายตาของเขา การโจมตีเมื่อครู่น่าหวาดหวั่นจริงๆ หากเป็นอาวุธอื่นเกรงว่าคงได้ขาดเป็นสองท่อนแล้ว
ทวนพู่แดงของนางกลับไร้รอยแตกแม้แต่น้อย
พี่น้องร่วมสาบานของนางมีคุณธรรมพอที่จะมอบอาวุธวิเศษไร้เทียมทานให้แก่นาง!
เทียนหลังจ้องทวนพู่แดงของกู้เจียวเขม็ง แววตาปกปิดความละโมบอยากได้จนน้ำลายหกเอาไว้ไม่มิด
เขาถูกใจอาวุธของนางเข้าแล้ว!
กู้เจียวปัดหิมะที่กระเด็นจากพื้นมาบนหมวก แววตาเย็นเยียบไม่ยอมแพ้มองไปยังเทียนหลัง
ดียิ่งนัก ข้าก็ถูกใจชีวิตเจ้าเช่นกัน!