สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 515 เจียวเจียว (1)
บทที่ 515 เจียวเจียว (1)
สงครามเมืองหลิงกวนสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะเริ่มการโจมตีในยามซวี[1] เมื่อหิมะหยุดลง เมื่อใกล้ยามไฮ่[2]ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามสงครามนี้ก็สิ้นสุดลง
กองทัพตระกูลกู้รวบรวมกองกำลังที่เหนือกว่าไว้ทั้งหมด ด้วยจำนวนคนและกำลังรบที่เหนือกว่าจึงกวาดล้างกองทัพใหญ่ของกบฏราชวงศ์ก่อนสามหมื่นนายจนอเนจอนาถไป
ยี่อ๋องถูกยิงบาดเจ็บ ราชบุตรเขยพากองทัพห้าพันนายคุ้มกันเขาหลบหนีจากอีกฝั่งของเมืองหลิงกวนออกไป
ส่วนทหารที่เหลือสองหมื่นห้าพันนาย ตายในสนามรบห้าพัน อีกสองหมื่นกลายเป็นเชลย
ในบรรดาเชลยสองหมื่นนายนี้ส่วนใหญ่เป็นทหารจากชายแดนและจากหลายๆ ที่ พวกเขาบ้างเป็นสาวกพระดาไลลามะ บ้างถูกยี่อ๋องบังคับและล่อลวงให้มาเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพกบฏ
แน่นอนว่ายังมีลูกหลานของขุนนางและชนชั้นสูงในราชวงศ์ก่อนบางส่วนที่ดำรงตำแหน่งสำคัญกับยี่อ๋อง ที่น่าขันก็คือตอนที่ยี่อ๋องทิ้งเมืองหลบหนีกลับไม่ได้พาพวกเขาไปด้วย
กู้ฉังชิงสวมชุดเกราะสีเงินตลอดร่างนั่งควบอาชาสูงใหญ่ในเกราะสีเงินเช่นเดียวกัน ด้านหลังเขาคือทหารม้าตระกูลกู้ที่ตั้งแถวเรียงราย
เหล่าทหารราบถูกรั้งให้อยู่ทำความสะอาดสนามรบหน้าประตูเมือง รวมถึงจัดกลุ่มเดินลาดตระเวนจับปลาที่รอดแหอย่างกบฏของราชวงศ์ก่อนด้วย
เมืองหลิงกวนไม่ได้ทำสงครามเป็นครั้งแรก ครั้งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเมื่อไม่นานมานี้ถูกกองทัพแคว้นเฉินยึดครอง วันนั้นก็เหมือนกันกับวันนี้ ทหารม้าแคว้นเฉินจำนวนมหาศาลฝ่าแนวกั้นของเมืองหลิงกวนและยึดป้อมปราการของเมืองหลิงกวนได้
ซ้ำกองทัพใหญ่โตของพวกเขายังเคยขี่ม้าอยู่บนถนนสายยาวอย่างโอหังด้วย
พวกเขาเห็นผู้หญิงก็ลักพาตัวไป เห็นชายฉกรรจ์ก็จับตัวไป ทั้งวางเพลิงปล้นสะดมและเข่นฆ่าสังหารล้วนมีหมด
เพลิงสงครามลุกโชนอีกครั้ง สถานการณ์เมืองหลิงกวนอันตรายมาก ทุกครัวเรือนพากันปิดประตูหน้าต่างแน่นสนิท เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้าอีกครา ก็ไม่ได้ไปดูว่าใครเป็นฝ่ายชนะ ทุกคนต่างหลบซ่อนอยู่ในบ้านอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ทว่าเสียงเกือกม้าเข้ามาใกล้และจากไปไกลอีกหน ถนนสายยาวก็ไม่มีเสียงกรีดร้องของสตรี ไม่มีเสียงตวาดอย่างเดือดดาลของบุรุษ และไม่มีเสียงโวยวายทุบประตูปล้นสะดมของเหล่าทหาร
ในที่สุด คนที่ใจกล้าหน่อยก็ค่อยๆ แง้มประตูส่องมองด้านนอก
เขาส่องเห็นธงแคว้นเจาโบกสะบัดอยู่ท่ามกลางลมหนาวและราตรีสีมืด และเห็นธงกองทัพตระกูลกู้คุ้มกันอยู่ด้านหลังธงแคว้นเจา
“กองทัพตระกูลกู้!”
เขาตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าเป็นกองตระกูลกู้ ก็พากันเกิดความหวังขึ้นมา เพียงแต่ไม่มีความกล้าถึงขั้นรีบวิ่งไปบนถนน พวกเขาแค่แง้มประตูออกเป็นช่องสอดส่องมองด้านนอกเท่านั้น
กองทัพตระกูลกู้เดินจากหัวถนนฝั่งตะวันตกไปยังหัวถนนฝั่งตะวันออก ก่อนจะมุ่งไปทางจวนผู้ว่า
พวกเขาไม่ได้ไปปล้นสะดมชาวบ้านในเมือง และไม่ได้จูงแพะจูงไก่ตัวไหนติดไม้ติดมือมาด้วยระหว่างทางเลย
พวกเขาเคร่งครัดในกฎทหาร เข้มงวดและมีคุณธรรม!
ก่อนจะเริ่มมีชาวบ้านเดินออกมาจากบ้าน แรกเริ่มมีคนเดียว จนค่อยๆ รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาเดินตามกองทัพตระกูลกู้ไปทางจวนผู้ว่าอย่างสนใจใคร่รู้
บัดนี้จวนผู้ว่าถูกกองทัพตระกูลกู้ล้อมไว้หมดแล้ว
นายพลจางค้นจวนผู้ว่าทั้งนอกทั้งในจนทั่ว เจอที่ปรึกษาของยี่อ๋องหลายสิบนาย นอกจากนี้ยังกวาดล้างกองทหารของแคว้นเฉินที่หนีจากเมืองไม่ทันได้อีกหลายพันนาย
เมื่อกู้ฉังชิงนำทัพทหารม้ามาหน้าประตูใหญ่จวนผู้ว่า เหล่าประชาชนก็พากันตามมาแล้ว
จู่ๆ นายพลจางก็จับกุมภิกษุหัวโล้นที่ห่มจีวรออกมาจากเรือนที่อยู่ละแวกนั้น
นักบวชอายุราวห้าสิบปี ท่าทางใจดีมีเมตตา ใจกว้างร่างอ้วนท้วม
เหล่าชาวบ้านไม่น้อยที่รู้จักเขา สตรีนางหนึ่งร้องอย่างตกใจ “เป็นพระดาไลลามะ! พวก…พวกเขาจับตัวพระดาไลลามะ!”
ได้ยินเสียงร้องของสตรีนางนี้ นักบวชหัวโล้นที่เดิมทีตื่นตกใจก็แววตาเป็นประกายวาบ เขายืดตัวตรง เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความหวาดกลัว “อามิตตาพุทธ เจริญพรเจริญพร เหตุใดโยมทุกท่านจึงได้ก่อกรรมทำเข็ญในเมืองด้วยเล่า”
“โยมกับมารดาเจ้าน่ะสิ!” นายพลจางถีบบั้นท้ายของภิกษุหัวโล้นไปทีหนึ่ง จนล้มหน้าคะมำกับพื้น “ไอ้พระปลอม! ทำท่าทำทางโอ้อวด หลอกลวงปวงชน!”
พระดาไลลามะมีชื่อเสียงในเมืองหลิงกวนไม่น้อย การกระทำนี้ของนายพลจางกระตุ้นโทสะจากประชาชนบางส่วนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
นายพลจางไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของปวงชน อย่างไรเสียปวงชนก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ล้วนเป็นเพราะไอ้พระปลอมหน้าไม่อายนี่ที่สมรู้ร่วมคิดกับยี่อ๋อง หลอกทหารและชาวบ้านในชายแดนให้หลงงมงาย
นายพลจางแทบอยากจะระเบิดโทสะทั้งหมดใส่ไอ้พระปลอมนี่เต็มแก่ ทว่าถูกกู้ฉังชิงยกมือห้ามไว้เสียก่อน
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเรียบ “หยุด”
นายพลจางประสานมือถอยไปด้านข้าง “ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”
พระปลอมล้มแรงไม่น้อย เจ็บเสียจนก่นด่าในใจไปยกใหญ่ แต่สีหน้ากลับไม่กล้าแสดงอารมณ์ใดแม้แต่นิด
เขาเลยนั่งขัดสมาธิบนพื้นมันเสียเลย มือถือลูกประคำข้างหนึ่ง ทำท่าสักการะ ก่อนเอ่ยประหนึ่งโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน “อามิตตาพุทธ โยมก่อกรรมสาหัสพระพุทธเจ้าข้าทรงเมตตาหวังให้ผู้มีบุญทั้งหลายเลิกฆ่าคนก่อกรรมโดยเปล่าประโยชน์ ”
“พวกเจ้าทำเช่นนี้กับพระดาไลลามะได้อย่างไร! พระดาไลลามะเป็นคนดี! พระพุทธองค์ส่งเขามาเพื่อช่วยเรา! พวกเจ้าไม่เคารพศรัทธาพระดาไลลามะระวังจะได้รับกรรม!” หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม
นายพลจางเข็ดฟันไปหมด!
ยาย ช่วยแหกตาดูให้ดี เจ้าลาหัวโล้นนี่มันเป็นพระเก๊!
มีพระดีๆ ที่ไหนสมคบคิดกับกองทัพกบฏ กักขังผู้คนในป้อมปราการชายแดนให้อยู่ในเพลิงสงครามบ้าง!
อีกทั้งเขายัง…เขายัง…
นายพลจางเกือบจะหลุดปากในสิ่งที่ตนตรวจสอบเจอเมื่อครู่ออกมา แต่กู้ฉังชิงเอ่ยขัดเขาขึ้นมาได้ทันพอดี กู้ฉังชิงกดตามองพระดาไลลามะที่นั่งกับพื้น ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้าบอกว่าเจ้าคือพระดาไลลามะ เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรมีทั้งหมดกี่บท”
“ยี่สิบสามบท!” พระดาไลลามะเอ่ยโดยไม่ต้องคิด
“บทที่ยี่สิบสองคืออะไร เจ้าจำได้หรือไม่”
พระปลอมลอบหัวเราะเสียงเย็นในใจ หากจะสวมรอยเป็นพระดาไลลามะ จะไม่รู้แม้แต่วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรได้อย่างไรกันเล่า
เขาทำท่าคารวะ ก่อนเอ่ยช้าๆ “สุภูติ! หากมีบุคคลได้ใช้รัตนะทั้งเจ็ดประการ นำไปทำทานอย่างทั่วถึงตลอดทั้งโลกธาตุอันมีจำนวนนับอสงไขยหาประมาณมิได้ และหากมีกุลบุตร กุลธิดาใดได้เป็นผู้ตั้งโพธิจิต น้อมรับปฏิบัติตามพระสูตรนี้ จนถึงที่สุดแม้เพียงคาถาสี่บาท ได้ทำการน้อมรับสวดท่อง ทำการประกาศแก่ผู้อื่น ย่อมมีบุญญานิสงส์ยิ่งกว่าแล ธรรมทั้งหลายเปรียบเหมือนความฝันและฟองอากาศ ดุจน้ำค้าง หรือไฟฟ้า พึงเห็นอย่างนี้ หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้แล้ว สุภูติผู้เฒ่า ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งปวง ได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้ว ก็พากันชื่นชมยินดี เชื่อและรับไปปฏิบัติ!”
“พวกเจ้าดูสิ! เขาคือพระดาไลลามะ!” มีชาวบ้านอีกคนเอ่ยขึ้น
นายพลจางเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว อดตอกหน้าใส่ไม่ได้ “แค่รู้พระสูตรนิดหน่อยก็เป็นพระดาไลลามะแล้ว เช่นนั้นข้าท่องหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็นแนวคิดของขงจื่อได้ ข้าก็เป็นจอหงวนแล้วสินะ”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระศากยมุนีเคยเขียนคัมภีร์ศูรางคมสูตรเล็กไว้ฉบับหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้นก่อนที่พระศากยมุนีจะตรัสรู้หรือตอนยังอยู่ในราชวงศ์ เจ้าสามารถอธิบายหน่อยได้หรือไม่”
พระปลอมสีหน้าชะงักค้างไปชั่วขณะ
โดยปกติแล้วพวกศูรางอะไรสูตรๆ นี่ไม่ใช่คัมภีร์ที่แพร่หลายเท่าใดนัก ซ้ำเขายังไม่ใช่พระแท้ จะไปท่องพระสูตรทั้งหมดได้ที่ไหนกันล่ะ
แปลกเสียจริง เป็นชายบ้าบิ่นที่ทำสงครามคนหนึ่งแท้ๆ เหตุใดจึงรู้เรื่องพระสูตรเพียงนี้เล่า
บ้านเจ้ามีคนเป็นพระหรือไร
หรือว่าเขาให้เจ้าท่องพระสูตรกลับหลังจนคล่องแคล่ว วันๆ เอาแต่ให้พวกเจ้าสวดมนต์กันงั้นหรอ
“อาตมาย่อมรู้จักคัมภีร์ศูรางคมสูตรเล็กอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่อาตมาแสดงธรรมไม่ค่อยได้พูดถึงพุทธพจน์นี้ ต่อให้อาตมาเคยพูดก็มีคนเคยได้ยินน้อยมาก เกิดโยมท่านนี้ใส่ร้ายว่าข้าเพ้อเจ้อมั่วซั่ว ผู้ใดจะมายืนยันเป็นพยานให้อาตมาได้”
เหอะ ฝีมือต่ำต้อย ล้มเขายากจริงๆ!
[1] ยามซวี เวลา 19.00-21.00 น.
[2] ยามไฮ่ เวลา 21.00-23.00 น.