สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 517 กรรมตามสนอง
บทที่ 517 กรรมตามสนอง
ทางด้านเฟิงสือ หลังจากกริชหัก เขาก็นำกริชไปยังคลังอาวุธ ให้ทหารตีอาวุธซ่อมแซมกริชของเขาให้
ทหารพวกนี้ต่างเกิดจากตระกูลช่างตีเหล็ก มายังค่ายทหารก็ไม่ทำอย่างอื่นเลยนอกจากตีเหล็กโดยเฉพาะ
ยามนี้พวกเขากำลังซ่อมอาวุธและเกราะที่เสียหายของบรรดาทหาร จึงยุ่งจนไม่มีเวลา
แม้เฟิงสือจะเป็นคนของราชบุตรเขย แต่ซ่อมแซมเกราะและอาวุธก็เป็นคำสั่งด่วนจากยี่อ๋องเช่นกัน
กว่าจะมีทหารซ่อมเกราะในมือเสร็จได้ เฟิงสือก็รีบยื่นกริชตัวเองให้เขาทันที
ทหารคนนั้นรับมาดู ก่อนเอ่ย “ใบมีดหักแล้วนี่”
เฟิงสือถาม “ซ่อมไม่ได้แล้วหรือ”
ทหารตอบตามจริง “ยากยิ่ง โดยปกติแล้วสิ่งที่พวกเราซ่อมพวกใบมีดงอหรือแหว่ง กริชของท่านรองแม่ทัพหักถึงเพียงนี้แล้ว ยากจะต่อคืนได้ ต่อให้ต่อคืนก็ยังจะมีรอยอยู่”
ที่สำคัญคือทักษะการตีเหล็กของเขาไม่แก่กล้าพอ ว่ากันว่าแคว้นเหลียงสามารถต่อใบมีดที่หักคืนได้โดยไร้รอยต่อเลยทีเดียว
“เช่นนั้นไม่มีวิธีอื่นเลยรึ” เฟิงสือถาม
“หลอมทิ้งแล้วทำใหม่” ทหารบอก
“หากหลอมใหม่แล้วมันจะเป็นกริชที่ใต้เท้ามอบให้ข้าอยู่รึ” เฟิงสือหงุดหงิดใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เพื่อจะแงะไอ้กล่องเน่าๆ นั่น นึกไม่ถึงว่าจะทำกริชที่ใต้เท้ามอบให้หักเสียได้ คิดแล้วมันช่างน่าโมโหนัก!
สุดท้ายเฟิงสือก็ไม่ได้เลือกหลอมใหม่ เขาถือกริชหักเดินกลับมา
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งโมโห เดินมายังที่ที่ขังกู้เจียวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นั่นเป็นเรือนที่กองของจุกจิกเอาไว้ ไม่มีใครผ่านไปมาเหมือนอย่างที่หมอบอกไว้จริงๆ
ทว่าห่างจากประตูหลักของเรือนเก็บของห้าสิบก้าวกลับมีทหารกลุ่มใหญ่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่
ดังนั้นหากว่ากันจริงๆ แล้ว การป้องกันของเรือนเก็บของจึงเข้มงวดมาก
เฟิงสือกำลังโมโห จึงคิดจะใช้ทหารแคว้นเจาคนนั้นมาระบายโทสะ
เขามาถึงหน้าห้องของกู้เจียว พบว่าทหารเฝ้าประตูหายไป จึงขมวดคิ้วทันที
เขาจำได้ว่าก่อนจะไปประตูเปิดอ้าไว้นี่นา ยามนี้ดันงับไปแล้วด้วย
ความแปลกใจมากมายทำให้สีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้นมา เขาผลักประตูเข้าไปในห้องอย่างไม่เกรงใจ กวาดตามองด้านในอย่างระแวดระวัง
เห็นเพียงหมอกำลังยืนอยู่ข้างเตียง โน้มตัวลงพันแผลตรงข้อมือให้ทหารแคว้นเจาคนนั้น หมอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลัง และสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดโชยเข้ามาจากด้านนอก จึงหันกลับมาเอ่ยกับเฟิงสือ “รองแม่ทัพสือ รบกวนท่านปิดประตูที ผู้ป่วยเดิมทีก็ตัวแข็งจะแย่แล้ว จะโดนลมหนาวอีกไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่หายขอรับ”
“เขาจะหายได้จริงๆ น่ะรึ” เฟิงสือพยายามบอกให้หมอยื้อชีวิตเอาไว้ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น อย่างไรเสียเขาก็อยู่ที่ชายแดนมาตลอดปี เคยเห็นคนที่แข็งตายมาไม่น้อย แข็งจนถึงขั้นนี้โดยปกติแล้วก็อยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว
หมอกระแอมในลำคอ เอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจ “รองแม่ทัพเฟิงสงสัยในฝีมือการแพทย์ของข้าหรือ”
เฟิงสือพลันบื้อใบ้ แม้จะสงสัยจริงๆ แต่หากพูดออกไปจะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆ
เขากระแอมเบาๆ มองข้อมือของเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนเอ่ย “เหตุใดเจ้าจึงแก้มัดให้เขาเล่า”
หมอเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เขาบาดเจ็บอยู่ เจ้าให้ข้ายื้อชีวิตเขาไว้มิใช่หรือ ไม่แก้มัดแล้วข้าจะพันแผลให้เขาอย่างไร หากไม่พันแผลให้เขา เกิดเขาติดเชื้อขึ้นมาจะทำอย่างไร ตัวแข็งเสียขนาดเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย ไม่ตายก็บุญโขแล้ว หากยังยื้อเวลาต่อไป ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไม่ได้แล้ว!”
ในเมื่อหมอบอกว่าเด็กหนุ่มเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว เฟิงสือจึงไม่ได้จู้จี้เรื่องมัดมืออีก
“อีกนานเท่าใดเขาจึงจะฟื้น” เฟิงสือถาม
“คงยากจะบอกได้” หมอบอกพลางมองประตูที่อ้าซ่าอยู่ “หากเจ้ายังให้ลมพัดต่อเช่นนี้ อีกสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่ฟื้นหรอก!”
เฟิงสือรีบไปปิดประตูทันที
เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำแบบนี้ไม่ถูก เขาจะเข้ามาทำอะไรล่ะ! เขาไม่ได้จะดูไอ้หนูนี่เสียหน่อย!
“คนข้างนอกเล่า” เฟิงสือถาม
หมอแสร้งทำเป็นหันหลังให้ แล้วพันแผลที่มันไม่มีอยู่จริงให้กู้เจียว พลางเอ่ยด้วยแววตาเลื่อนลอย “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้ารักษาเขาอยู่ข้างในมาตลอด”
“ไอ้หนูนี่มันไปไหนของมันอีก” เฟิงสือออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิด
“ประตู!”
เสียงหมอลอยมาจากในห้อง
เฟิงสือขมวดคิ้ว พลิกมือไปปิดประตูให้!
เมื่อแน่ใจว่าเฟิงสือไปไกลแล้ว สองขาของหมอก็อ่อนยวบนั่งลงกับเตียงทันที
เขายกมือปาดเหงื่อเย็นตรงหน้าผาก หอบหายใจแฮ่กๆ ยกใหญ่ “ขวัญเอ๋ยขวัญมา ขวัญเอ๋ยขวัญมา…โชคดีที่ไม่เผยพิรุธ…เจ้าคงไม่รู้วิธีของยี่อ๋อง หากเขารู้ว่าข้าช่วยเจ้า…”
หมอเอ่ยไปได้เพียงครึ่งทางก็รู้สึกแปลกๆ เขาปรับสายตามองให้ดีๆ ก็เห็นกู้เจียวหลับสนิทไปแล้วภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้!
หมอ “…”
หมอโบกมือไปมาตรงตากู้เจียว “นี่ นี่ แม่หนู แม่หนู ไอ้…หนู”
กู้เจียวไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
“ดี! จะไปเปิดโปงเจ้ามันตอนนี้เลย!”
หมอหันหลังจะออกไป เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูก็มีเสียงเล็กๆ ดุจภูตผีลอยมาจากด้านหลัง “ฝังศพด้วยล่ะ”
หมอเซหน้าคะมำหน้าผากไปชนบานประตูเข้า ปูดขึ้นเป็นลูกทันที
เขาไม่กล้าหันหลังกลับ ทำเพียงผินหน้ามาพยักหน้าน้อยๆ
“ขากลับอย่าลืมเอาหมั่นโถวมาสองลูกด้วยนะ ข้าหิว” กู้เจียวเอ่ยทั้งๆ ที่ยังหลับตา
“…ข้าเป็นคนของยี่อ๋อง เจ้าทำเช่นนี้มันทำให้ข้าตกสู่สถานการณ์ที่ไม่ชอบธรรมเท่าใดนัก” หมอเอ่ยด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง
กู้เจียวพลิกตัว หันหน้าเข้าเตียงฝั่งใน “ให้เจ้าลูบกล่องยาน้อยสองที”
หมอ “ตกลง!”
…
กู้เจียวพอได้นอนก็หลับยาวตั้งแต่บ่ายมาถึงค่ำ
อาการบวมน้ำที่ปอดเฉียบพลันซึ่งเกิดจากตัวแข็งจนบาดเจ็บค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด ทว่าจะให้ฟื้นตัวจริงๆ นั้นไม่เร็วนัก นางต้องพักอยู่บนเขาอีกหลายวัน
ยิ่งไปกว่านั้น…
กู้เจียวชะงัก ก่อนจะหยิบยาคลอแรมเฟนิคอลสองเม็ดจากกล่องยาใบน้อยมากิน แล้วเทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง
ดื่มไปได้ครึ่งแก้วหมอก็กลับมา
หมอเห็นนางตื่นแล้วกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่ข้างโต๊ะก็อดพินิจมองนางรอบหนึ่งไม่ได้
พูดตรงๆ ว่าสีหน้ายังคงค่อนข้างซีดเซียวอยู่ มองออกว่าเคยตัวหนาวจนแข็งมา แต่เมื่อเทียบกับเมื่อเช้าที่ส่งตัวมาแล้วตอนนี้แข็งแรงขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้ซีดขาวเหมือนศพแล้ว
“นี่ หมั่นโถวที่เจ้าต้องการ” หมอวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบหมั่นโถวออกมาลูกหนึ่ง แล้วยกน้ำแกงพุทราใส่ขิงออกมาอีกชาม “ไล่ความเย็นได้ ดื่มเสียสิ”
หากเป็นผู้ชายละก็ แค่น้ำแกงขิงชามเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่เขามักจะคิดว่านางเป็นสตรี หมอจึงฝานพุทราสองสามแผ่นกับใส่น้ำตาลแดงไปด้วยหนึ่งช้อน
“แล้วก็นี่ด้วย” หมอหยิบตะกร้าใบน้อยมาจากด้านหลัง “ของเจ้ากระมัง”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
“ของด้านในข้าหาไม่เจอแล้ว เจอแค่ตะกร้านี่อย่างเดียว” หมอเอ่ยอย่างเสียดาย
กู้เจียวหยิบตะกร้าน้อยมา นี่เป็นตะกร้าที่กู้เสี่ยวซุ่นสานให้นาง มันทนทานมาก อยู่กับนางตั้งแต่เมืองหลวงจนถึงที่นี่ แทบจะไม่เคยพังเลย
กู้เจียววางตะกร้าน้อยลง เพื่อดื่มน้ำแกงขิงและหมั่นโถ
เมื่อน้ำแกงอุ่นๆ ไหลลงท้อง กู้เจียวจึงมีเหงื่อออก ทั่วทั้งร่างผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
นางกินเสร็จก็หยิบยาสองเม็ดในกล่องยาออกมาส่งให้เขา “กินสิ”
“นี่คืออะไรรึ” หมอมองเม็ดยาในฝ่ามืออย่างแปลกใจ
“ยา” กู้เจียวเอ่ย
“เหตุใดข้าต้องกินยาด้วย” หมอถาม
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “ให้เจ้ากินก็กินสิ จะพูดมากไปไย”
ใจหมอกำลังปฏิเสธ ซ้ำเขาก็ไม่รู้ว่านี่คือยาอะไร เกิดเป็นยาพิษเล่าจะทำเยี่ยงใด
เขามองยาในมือ แล้วมองกล่องยาน้อยบนโต๊ะต่อ “เช่นนั้นกินแล้วขอจับหน่อยได้หรือไม่”
กู้เจียว “ไม่ได้”
หมอ “…”
สองวันต่อมา กู้เจียวพักรักษาตัวอยู่ในห้องน้อยอย่างเงียบๆ
ทหารคนนั้นไม่รู้ว่าไปไหน รองแม่ทัพไม่ได้มาหานางเลย ซ้ำยังส่งคนใหม่มาด้วย
การสูญเสียทหารในค่ายไปไม่ใช่เรื่องเล็ก ช่วยไม่ได้ที่หลายวันมานี้เกิดเรื่องใหญ่กว่าขึ้นในค่าย ยามนี้จึงไม่มีเวลามาสนใจทหารเพียงคนเดียว
ยี่อ๋องประชวร ในคืนที่สองที่เข้าพักในค่าย จู่ๆ ยี่อ๋องก็ตัวสั่นมีไข้สูง
ระหว่างการรบที่เมืองหลิงกวน ยี่อ๋องถูกยิงบาดเจ็บ แรกๆ บรรดาหมอคิดว่าแผลพระองค์ติดเชื้อ จึงทำให้มีอาการเช่นนี้
ทว่าเมื่อเหล่าหมอตรวจบาดแผลของยี่อ๋องแล้ว กลับพบว่าบาดแผลสมานกันดี และไม่มีอาการติดเชื้อบวมแดงเน่าเปื่อยใดๆ
พวกหมอจึงสันนิษฐานกันว่ายี่อ๋องเป็นหวัด จึงต้มยาแก้หวัดให้ยี่อ๋อง
ใครจะคิดพอเสวยยาลงไป ยี่อ๋องไม่เพียงจะดีขึ้น เช้าวันที่สามยังไอเอาเสมหะปนเลือดออกมาด้วย
พวกหมอตรวจอาการยี่อ๋องอีกครั้ง ครานี้ในที่สุดหมอทุกคนก็เจอความผิดปกติ
โดยปกติแล้ว ไอมีเสมหะเป็นเลือดเช่นนี้เพราะเป็นโรคปอด
ทว่าโรคปอดก็มีหลายประเภท มีโรคปอดที่เกิดจากหวัด และมี…โรคปอดที่เกิดจากโรคระบาดด้วย!
“คะ…คงไม่ได้เป็นโรคระบาดกระมัง จะเป็นวัณโรคหรือไม่” หมอหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นอย่างผวา
วัณโรคก็เป็นโรคปอดชนิดหนึ่งเช่นกัน เป็นโรคติดต่อได้สูงในระยะแรกแต่ตราบใดที่กินยาถูก ส่วนใหญ่ก็จะค่อยๆ เป็นแบบเรื้อรัง พูดให้เข้าใจก็คือไม่มีทางตายในทันทีได้
ส่วนโรคระบาดแพร่เชื้อได้ดีกว่าวัณโรค ทำให้อัตราการเสียชีวิตยิ่งสูง และตายเร็วขึ้นด้วย
หากต้องเลือกหนึ่งในสองนี้ พวกเขาย่อมอยากจะให้ยี่อ๋องเป็นวัณโรคมากกว่า
“แต่ข้าดูอาการของยี่อ๋องแล้ว ไม่เหมือนวัณโรคเลย” หมอที่ค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ประโยคดังกล่าวทำให้หมอทุกคนตกสู่ความเงียบ
อีกด้านหนึ่ง ณ ห้องหนังสือของจิ้งจอกเงิน เฟิงสือกำลังรายงานอาการป่วยของยี่อ๋องให้เขาฟังอยู่
“พวกหมอบอกว่ายี่อ๋องติดเชื้อโรคปอด แต่จะเป็นโรคปอดชนิดไหนนั้นพวกเขายังไม่กล้าสรุป” เฟิงสือเอ่ยไปตามตรง
“โรคปอด…คงไม่ใช่…” จิ้งจอกเงินเอ่ยพลางส่ายหน้า “ไม่ ไม่มีทาง ท่านลุงไม่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อพวกนั้นเลย แค่กๆ!”
ในขณะที่เขากำลังเอ่ยอยู่ จู่ๆ ตัวเองก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ใต้เท้า! ท่านไม่เป็นไรกระมัง” เฟิงสือเดินไปหาก้าวหนึ่ง เทชาร้อนๆ ให้จิ้งจอกเงิน ก่อนจะใช้สองมือส่งไปตรงหน้าจิ้งจอกเงิน
จิ้งจอกเงินรับชาร้อนมาจิบเบาๆ สองสามอึก ไม่เพียงไม่หยุด ยังรุนแรงขึ้นด้วย
“แค่กๆ! แค่กๆ!” เขากระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะ ขมวดคิ้วเอ่ย “เทชาเย็นๆ มาหน่อย!”
“ขอรับ!” เฟิงสือเทน้ำชาที่เย็นชืดแล้วให้เขา
จิ้งจอกเงินดื่มไปอึกหนึ่ง คล้ายจะหยุดลงบ้างแล้ว ทว่าเพียงไม่นานก็ไอแรงขึ้นมาอีก
“ใต้เท้า!” เฟิงสือมองเขาอย่างกังวล
จิ้งจอกเงินโบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร แค่เป็นหวัดเท่านั้น”
จิ้งจอกเงินเป็นยอดฝีมือแห่งยุค หวัดแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เขาจึงไม่ใส่ใจ
“ไม่กี่วันก็หายแล้ว เจ้าส่งคนไปจับตามองทางท่านลุงข้าให้เข้มหน่อย อย่าให้เขาเป็นอะไรเด็ดขาด”
ยี่อ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์เก่าดั้งเดิม และเป็นสายเลือดสายตรงคนสุดท้ายของพระเจ้าซื่อจง เขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
เฟิงสือเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “ใต้เท้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ หากยี่อ๋องประสบอะไรที่อันตรายถึงชีวิต ท่านก็คือทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์แล้ว”
“ข้าไม่ได้ไร้ลูกชายเสียหน่อย” เอ่ยไปได้ครึ่งทาง จิ้งจอกเงินก็ชะงักไป “รู้แล้ว เจ้าออกไปได้”
หลังจากเฟิงสือออกไป จิ้งจอกเงินก็นั่งอยู่ลำพังในห้องหนังสือเนิ่นนาน จนกระทั่งดึกดื่น ควรไปพักผ่อนแล้ว เขาจึงได้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือ
เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องปีกข้าง
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคำนับให้เขา “ท่านราชบุตรเขย”
“องค์หญิงบรรทมหรือยัง” จิ้งจอกเงินถาม
“บรรทมแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้บอก
เดิมทีจิ้งจอกเงินจะเข้าไปในห้อง ไม่อาจกลั้นไอได้จึงไอออกมาสองหน เขาหันหลังใช้กำปั้นปิดปากไว้ “แค่กๆ!”
“ท่านราชบุตรเขย ไม่สบายหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
จิ้งจอกเงินเอามือลง ก่อนเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ข้าไม่เป็นไร ช่างเถิด องค์หญิงบรรทมแล้ว ข้าคงไม่เข้าไปรบกวนนางแล้ว”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในที่สุดยี่อ๋องก็ถูกพวกหมอร่วมกันวินิจฉัยว่าติดโรคระบาด
ตอนที่จิ้งจอกเงินได้ยินข่าวนี้เขากำลังดูแผนที่การป้องกันทางทหารของค่ายอยู่ในห้องหนังสือ
เขาวางแผนที่ในมือลง ขมวดคิ้วมุ่นมองเฟิงสือ “เจ้าว่าอะไรนะ ท่านลุงเป็นอะไรนะ”
“ยี่อ๋อง…ยี่อ๋อง…ติดโรคระบาดขอรับ”
“เป็นไปไม่ได้!”
“พวกหมอว่ามาเช่นนี้นะขอรับ! ซ้ำพวกเขายังให้ข้าน้อยมาถามใต้เท้าด้วยว่าจะให้ยี่อ๋องกักตัวหรือไม่”
“แต่ท่านลุงเขา…” จิ้งจอกเงินพลุ่งพล่านลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกคันคอขึ้นมา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไออย่างแรง
เมื่อไอเสร็จ เขาก็เอาผ้าออก เห็นเลือดสดๆ เปื้อนอยู่บนนั้น
“ใต้เท้า!” เฟิงสือก็เห็นเช่นกัน เขาหน้าถอดสีทันที! สาวเท้าราวกับดาวตกไปหาจิ้งจอกเงิน!
“อย่าเข้ามา!” จิ้งจอกเงินยกมือห้ามเขาไว้ ดวงตาขยับไหวเล็กน้อย สีหน้าซับซ้อน “เจ้าออกไปก่อน อย่าให้ใครเข้ามาในห้องนี้อีก”
เฟิงสือ “แต่ว่า…”
จิ้งจอกเงิน “ออกไป!”
เฟิงสือกำหมัด “…ขอรับ!”
เฟิงสือกัดฟัน ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องหนังสือ
ทว่าในขณะที่เขาเดินออกไปนั้น เขาก็งอตัวไอโขลกปนเลือดออกมาเช่นกัน!