สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 518 ลงจากสนาม
บทที่ 518 ลงจากสนาม
จิ้งจองเงินตัดสินใจปิดเรื่องที่ยี่อ๋องติดโรคระบาดไว้เป็นความลับ ด้วยความที่พวกเขาแพ้ศึกมาหมาดๆ หากปล่อยข่าวนี้ออกไปเกรงว่าจะยิ่งทำให้เหล่าทหารหมดขวัญกำลังใจจนอาจนำมาซึ่งความวุ่นวาย
เขาจึงเรียกเหล่าหมอหลวงที่รักษายี่อ๋องไปที่กระท่อมใกล้ๆ
เมื่อมาถึงกระท่อม เขานั่งลงที่หลังฉากกั้น โดยเว้นระยะห่างจากกลุ่มหมอหลวงราวสิบก้าว
เหล่าหมอหลวงเข้าใจว่าจิ้งจอกเงินกลัวจะติดเชื้อจึงต้องป้องกันไว้ก่อน
จิ้งจอกเงินนั่งลงบนเก้าอี้ที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่ แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “อาการของพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากฟังจากปากพวกเจ้าโดยตรง ทรงติดเชื้อโรคระบาดจริงหรือไม่ แล้วจะรักษาได้หรือไม่”
“คือว่า…”
กลุ่มหมอหลวงมองหน้าสบตากันและกัน พวกเขาไม่รู้ว่าจะตอบจิ้งจอกเงินอย่างไรถึงจะดี
คำถามประโยคแรกๆ ยังพอตอบได้ แต่คำถามสุดท้ายนี่สิ
จนในที่สุด หมอหลวงเฉิน หนึ่งในหมอหลวงที่มากประสบการณ์ที่สุดในบรรดาพวกเขาก็ได้รวบรวมความกล้าและตอบออกไป “ทูลใต้เท้า หลังจากที่กระหม่อมได้ตรวจอย่างละเอียด ทรงติดเชื้อโรคระบาดจริงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนจะรักษาได้หรือไม่นั้น…พวกกระหม่อมเองก็มิอาจฟันธงได้พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจิ้งจอกสีเงินเริ่มไม่สู้ดีนัก
“พวกเจ้า…เคยสัมผัสร่างของพระองค์มาแล้วใช่ไหม” จิ้งจอกเงินเอ่ยถาม
หมอหลวงแต่ละคนเริ่มแสดงสีหน้าสับสน ในตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่ายี่อ๋องติดเชื้อโรคระบาด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ป้องกันตัวเองดีพอ จึงทำการวินิจฉัยโรคให้โดยตรง ตอนนี้เกรงว่า…
“ขอรับ”
คนที่ตอบคำถามยังคงเป็นหมอหลวงเฉิน
“หมอหลวงทุกคนของที่นี่เคยเข้าไปรักษาให้พระองค์แล้วใช่หรือไม่” จิ้งจอกเงินก้มหน้าลงและกำหมัดแน่น
ถ้าเป็นเช่นนั้น หมอหลวงจะต้องถูกกักบริเวณกันทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อสถานการณ์ในตอนนี้
แล้วถ้า…คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ติดเชื้อเกิดป่วยขึ้นมาจะต้องไปรักษากับใครล่ะ
หมอหลวงเฉินเอ่ยตอบ “มีหมอหลวงอยู่คนหนึ่งถูกแม่ทัพพาตัวไปเพื่อรักษาให้ใครคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคำสั่งที่มาจากใต้เท้าเองพ่ะย่ะค่ะ โดยช่วงวันสองวันนี้ หมอหลวงคนนั้นไม่ได้เข้ามาตรวจให้ยี่อ๋องแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งจอกเงินจำเรื่องนี้ได้ พอเอ่ยถึงทหารจากแคว้นเจาคนนั้น สีหน้าของจิ้งจอกเงินก็เริ่มดูคาดเดาได้ยาก
กาฬโรคไม่ใช่หวัดที่จะเกิดขึ้นได้แค่เพราะลมฝนลมหนาว แต่ต้องมีคนแพร่เชื้อ
จิ้งจอกเงินมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาและยี่อ๋องไม่ได้สัมผัสกับคนที่มีเชื้อกาฬโรค คนที่น่าสงสัยที่สุดที่พวกเขาเคยสัมผัสในช่วงสองวันที่ผ่านมาก็มีแต่ชายหนุ่มแคว้นเจาคนนั้น
“หรือว่า จะเป็นเขา” จิ้งจอกเงินขมวดคิ้วพึมพำ
เรื่องนี้ทำให้จิ้งจอกเงินฉุกคิดถึงกลุ่มผู้ป่วยโรคระบาดที่หลบหนีไป อีกทั้งทหารหน่วยกล้าตายและทหารผู้ติดตามที่ไม่เห็นหัวอีกเลย
หากเป็นฝีมือของชายหนุ่มคนนั้น ทุกอย่างก็เริ่มเข้าเค้า
ชายหนุ่มเป็นผู้ลงมือฆ่าพวกทหาร โดยที่ตัวเขาเองก็ได้รับเชื้อมาด้วย ส่วนเขาเป็นคนแบกชายหนุ่มคนนั้นกลับมา…
จิ้งจอกเงินเริ่มกำหมัดแน่นขึ้น
ไม่ เขายังไม่อยากปักใจเชื่อ!
เขาจะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง!
พอร่างกายของเขาเริ่มฮึกเหิม ทำให้เขาเกิดไอออกมากะทันหัน
เหล่าหมอหลวงพอได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน รีบเอ่ยทัก “ใต้เท้า”
จิ้งจอกเงินหยิบผ้าขึ้นมาป้องปาก พยายามมองข้ามรอยเลือดที่อยู่บนผ้าและทำเสียงให้เหมือนปกติที่สุด “ข้าไม่เป็นอะไร แค่โดนลมนิดหน่อย พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”
เหล่าหมอหลวงต่างพากันมองหน้าด้วยแววตากังวล จากนั้นก้มหน้าลงแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน “ขอรับ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
จิ้งจอกเงินเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออกแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีอะไร แต่ต้องรักษามันให้หายให้ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้ารวมถึงครอบครัวของพวกเจ้าจะต้องชดใช้!”
เหล่าหมอหลวงถึงกับสะอึกพร้อมๆ กัน
กู้เจียวที่มั่นใจแล้วว่าตัวเองติดเชื้อแล้วแน่ๆ หลังจากที่รู้ข่าวเรื่องยี่อ๋อง
“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่” กู้เจียวที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงกำลังเอ่ยถามหมอหลวงที่กำลังจับจ้องไปที่กล่องยาของนาง
นางรู้แล้วว่านายหมอคนนี้มาจากตระกูลถง
เขาเป็นคนจากเมืองเย่ที่ฝึกฝนการแพทย์เพื่อหาเลี้ยงชีพ และถูกเกณฑ์เข้าค่ายทหารเนื่องจากสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เชื่อถือได้สิ! ตอนข้ากลับไปรับยาก็เจอหมอแต่ละคนล้วนถูกปิดหน้ากันทั้งนั้น หลังจากถามก็เลยได้รู้ว่ายี่อ๋องติดเชื้อ เจ้าว่าพระองค์ทรงไปติดเชื้อมาได้อย่างไรกัน” นายหมอถงทำหน้างุนงง
แต่กู้เจียวรู้ว่าเพราะอะไร
หากยี่อ๋องติดเชื้อจริง เช่นนั้นมีเพียงกู้เจียวเท่านั้นที่เป็นคนแพร่เชื้อ
คราวก่อน กู้เจียวไม่แน่ใจว่าตัวเองถูกเลือดของใต้เท้าจ้าวแพร่เชื้อหรือไม่ แต่กู้เจียวก็สวมหน้ากากป้องกันเผื่อไว้
พอตื่นขึ้นมาในห้องนี้อีกที หน้ากากของนางก็พลันหายไป
พอมาคิดดู ก็พอรู้ว่าใครเป็นคนถอดมันออก
นางหมอถงเล่าให้นางฟังว่า นางถูกพาตัวมาด้วยรถม้าของยี่อ๋องและพลทหารม้า ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเชื้อจะอยู่ในรถม้านั้น
กู้เจียวไม่เคยคิดจะใช้วิธีแพร่เชื้อในการโจมตีศัตรูแต่อย่างใด ต่อให้ล่าหมาป่า อย่างน้อยนางก็จะป้องกันตัวเองอย่างดี
แต่ดันมีคนต้องการลักพาตัวนางมาเพื่อใช้งานเสียอย่างนั้น เลยช่วยไม่ได้
นายหมอถงเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดว่าเชื้อนั้นจะแพร่จากกู้เจียว เพราะนี่ก็เข้าวันที่สามแล้วที่นางอยู่ที่นี่ สภาพนางไม่เหมือนคนติดเชื้อด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเวลาไอจามเหมือนคนเป็นหวัดเสียมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น อาการของนางกลับดีขึ้นเรื่อยๆ
หากนางติดเชื้อมาจริงๆ ปกติจะต้องมีอาการแย่ลง ไม่มีทางดีขึ้น
นอกจากนี้ ตัวเขาเองก็คอยรักษานางอยู่ที่นี่ทุกวัน ไม่มีวี่แววโดนแพร่เชื้อแต่อย่างใด!
“ถึงเวลากินยาแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
ช่วงทานยาจะเป็นช่วงที่นายหมอถงมีความสุขที่สุด เพราะกู้เจียวอนุญาตให้เขาเปิดกล่องยาของนางและหยิบยาออกมา
ความรู้สึกแบบนี้มันช่างดีเสียยิ่งกว่าอะไร!
หลังจากเขาทำความสะอาดมือเสร็จ เขาเปิดกล่องยาขนาดเล็กด้วยความระมัดระวัง เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในนั้นมียาชนิดไหนบ้าง แต่นั่นก็มิใช่อุปสรรคแต่อย่างใด
เขารู้ตัวว่าตัวเองควรกินยาอะไร และเขาจำลักษณะหีบห่อของมันได้
เขาหยิบยาสองเม็ดออกมาอย่างชำนาญและกลืนมันด้วยน้ำอุ่น
อาการปอดบวมน้ำรวมถึงโรคนี้มักจะมาพร้อมกับการไอออกมาเป็นฟอง และด้วยเหตุนี้ทำให้ที่ผ่านมากู้เจียวไม่แน่ใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ นายหมอถงเองก็คิดว่าที่นางเป็นแบบนี้ก็เพราะความหนาวที่กัดกินร่างกาย
ตอนแรกกู้เจียวมีไข้สูง แต่ไม่นานไข้ก็ลดลงด้วยฤทธิ์ยา
ขณะที่นายหมอถงกลับไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลย
กู้เจียวไม่แน่ใจว่ายาคลอแรมเฟนิคอลมีบทบาทในการป้องกันหรือไม่ หรือนายหมอถงอาจเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ
ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการจะไม่แพร่เชื้อต่อให้คนอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้านายหมอถงเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการจริงๆ เขาก็เป็นคนที่ปลอดภัยที่สุด และเขาสามารถสัมผัสกับผู้ติดเชื้อได้
โดยที่ไม่กลัวการถูกแพร่เชื้อ และไม่ต้องกลัวว่าจะแพร่เชื้อให้คนอื่น
ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
หลังจากทานยาเสร็จ เขาต้องปิดกล่องยา
นายหมอถงเบะปากพลางปิดกล่องยา และรอเปิดในรอบต่อไป
หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ร่างกายจะทรุดลงโดยเร็ว
ยี่อ๋องที่ช่วงกลางวันยังสามารถพูดคุยกับผู้คนได้ แต่พอตกกลางคืนกลับมีอาการไข้สูงจนเกือบหมดสติ
ขณะที่จิ้งจอกเงินกำลังมุ่งหน้าไปหากู้เจียวเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่กลับถูกคนสนิทรั้งไว้เสียก่อน
ยี่อ๋องที่ไม่ได้สติแต่ปากของเขากลับเอาแต่เรียกชื่อของจิ้งจอกเงิน ทุกคนเลยจำต้องตามเขากลับไป
“เจิงเอ่อร์…เจิงเอ่อร์” ยี่อ๋องเรียกชื่อเขาอย่างคนไร้สติ
จิ้งจอกเงินสวมผ้าคลุมหน้า เดินมาที่เตียงและจับมือของยี่อ๋อง “กระหม่อมอยู่นี่”
“เจิงเอ่อร์…” ยี่อ๋องกุมมือเขาแน่น “เจิงเอ่อร์…ข้ากลัว…”
จิ้งจอกเงินมองไปที่ยี่อ๋อวที่ถูกทรมานอย่างสาหัสจนอยู่ในสภาพทนดูไม่ได้ ยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “อย่ากลัวไปไย ข้าจะรักษาท่านให้กลับมาหายดีอย่างแน่นอน…”
“เจ้านั่น…เจิงเอ่อร์…เจ้านั่น…” ยี่อ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ยี่อ๋องเป็นคนโหดเหี้ยมไร้เมตตา วิธีที่เขาใช้ลงโทษกู้ฉังชิงและทหารตระกูลกู้มีหนึ่งในผู้ช่วยของเขาเป็นผู้ต้นคิด เขาเลือกที่จะทำดีแค่กับหลานชายของตนเองเท่านั้น
แม้จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แต่เขากลับไม่ถือโทษหลานชายตัวเองที่ไม่เชื่อฟังเขา
“ฆ่ามัน…เจิงเอ่อร์…ฆ่ามัน” ยี่อ๋องเอ่ยเสียงสั่น
ความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจพุ่งพล่านไปทั่วทั้งอกของจิ้งจอกเงิน “ขอรับ…ข้าจะไปฆ่าเขาเดี๋ยวนี้ รอดูได้เลย!”
ขณะเดียวกัน กู้เจียวได้ขอให้นายหมอถงไปสืบดูว่ามีใครสุ่มเสี่ยงจะติดเชื้ออีกหรือไม่
นายหมอถงกล่าว “ยี่อ๋องยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ…ส่วนพลทหารม้า มีอาการไอเล็กน้อย อีกคนคือเฟิงสือ”
“เฟิงสือเป็นใครรึ” กู้เจียวสงสัย
“แม่ทัพเฟิง คนที่ขุดเจ้าออกมาจากใต้ศพของเทียนหลังอย่างไรเล่า มีคนเห็นเขาไอเป็นเลือดเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีพี่น้องของเขาหลายคน ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ค่อยสู้ดีนัก”
แม้เขาจะพูดอย่างระมัดระวัง แต่กู้เจียวค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาติดเชื้อเป็นที่เรียบร้อย
แผนที่พวกมันใช้เล่นงานทหารตระกูลกู้ บัดนี้กลับคืนสู่พวกมันเสียเอง
โศกนาฏกรรมที่ควรเกิดขึ้นกับกองทัพตระกูลกู้ กลับกลายเป็นของพวกมันเสียเอง