สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 519 องค์หญิงหนิงอัน
บทที่ 519 องค์หญิงหนิงอัน
กู้เจียวไม่ได้มีตัวยาที่จะรักษาคนได้เพียงพอ ไม่อย่างนั้นคงหยุดโรคระบาดไว้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากให้น้ำเกลือเสร็จ กู้เจียวดึงเข็มออก แล้วเก็บอุปกรณ์ลง
นายหมอถง “ถึงเวลามื้อค่ำแล้ว ข้าไปดูที่ครัวก่อนว่าอาหารทำเสร็จแล้วหรือยัง”
พูดจบก็เดินออกไป
แต่ไม่นานนายหมอถงก็กลับมาด้วยสภาพหน้าตาตื่น ปิดประตูลงก่อนจะเอาหลังดันประตูไว้ “แย่แล้ว! แม่ทัพกำลังมาที่นี่! เขาจะมาฆ่าเจ้า!”
“ฆ่าข้ารึ” กู้เจียวเอ่ย
นายหมอถงเอ่ยอย่างลนลาน “ข้าเห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับดาบ! จะให้ข้าคิดว่าเขามาตัดต้นไม้รึ”
ยี่อ๋องใกล้ตายแล้วก็เลยตัดสินใจมาฆ่านางเนี่ยนะ
แววตาของกู้เจียวพลันนิ่งลง พร้อมกับเอ่ยขึ้น “หลบไป”
นายหมอถง “ข้าข้าข้า ต้องหลบให้เจ้าอยู่แล้ว…ข้าไม่รับดาบแทนเจ้าหรอก…”
แต่ตอนนี้ขาของเขาอ่อนจนขยับไม่ได้…
กู้เจียวลุกขึ้น เดินตรงไปทางนายหมอถง
นางยื่นมือไปคว้าแขนของเขา
ขณะเดียวกัน จิ้งจอกเงินก็กำลังยื่นมือผลักประตูห้องออก
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะเผชิญหน้ากัน จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานของทหารนายหนึ่งดังขึ้น “ใต้เท้าขอรับ! ไม่ได้การแล้ว! องค์หญิงทรงบาดเจ็บขอรับ!”
จากนั้นกู้เจียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกไป
นายหมอถงพูดติดอ่าง “ปะ ปะ ปะ ไป ไป…ออกไปแล้วรึ”
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า วางมือที่กำลังจะดึงร่างของเขา “ไปแล้ว”
ร่างของนายหมอถงร่วงหล่นลงไปบนพื้นในทันใดด้วยความขาอ่อน
“มีคนมา!”
กู้เจียวเอ่ยกะทันหัน
นายหมอถงรีบคลานและกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยืนหลบอยู่หลังกู้เจียว!
สายตากู้เจียวจับจ้องไปที่ประตู มือและนิ้วพลางกำเข็มเงินไว้แน่น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
จากนั้น เสียงของสตรีค่อยๆ ดังขึ้น “ข้าเป็นบ่าวขององค์หญิง นามว่าเหลียนเอ่อร์ องค์หญิงทรงมีรับสั่งให้ข้ามาที่แห่งนี้”
กู้เจียวหันหน้าไปหานายหมอถง ซึ่งเขาพยักหน้าให้นาง
มีบ่าวขององค์หญิงที่ชื่อเหลียนเอ่อร์อยู่จริงๆ และนี่ก็เป็นเสียงของนางจริงๆ เช่นกัน
กู้เจียวเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบหน้ากากจากกล่องยาขนาดเล็ก สวมที่คลุมหัว แล้วเปิดประตูให้
“เจ้าอย่าเพิ่งเข้ามา” กู้เจียวเอ่ย
เหลียนเอ่อร์หยุดทันทีขณะที่ก้าวเท้าครึ่งหนึ่งเข้ามาข้างใน
ไม่รู้เป็นเพราะประโยคนี้ หรือเพราะเสียงของกู้เจียวกันแน่
ขณะที่เหลียนเอ่อร์มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
เด็กหนุ่มก็กำลังหันหน้าไปหานายหมอที่ยืนอยู่ข้างหลัง พลางเอ่ย “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน ถ้ามีคนมารีบบอกด้วยล่ะ”
นายหมอถงจึงเดินออกไป
เหลียนเอ่อร์มองไปที่ชายหนุ่มในชุดเกราะตรงหน้า แล้วอ้าปากค้าง “ทานคือ…”
“องค์หญิงช่วยเบี่ยงเบนความสนใจให้สินะ” กู้เจียวเปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม
คราวนี้ เหลียนเอ่อร์มั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่แท้ก็เป็นหญิงสาว
นางตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ไหนว่าเป็นทหารของแคว้นเจามิใช่รึ
ไฉนกลายเป็นเด็กสาวไปได้ล่ะ
“เอ่อ คือ ใช่เจ้าค่ะ เป็นฝีมือขององค์หญิงเจ้าค่ะ” เหลียนเอ่อร์ที่เพิ่งได้สติ พยายามตอบคำถามของกู้เจียว “ทรงทราบข่าวที่มีทหารของแคว้นเจาถูกจับมาหนึ่งนาย ทว่าองค์หญิงถูกคนของแม่ทัพคุ้มกันอย่างแน่นหนา จึงไม่มีโอกาสมาหาท่าน และวันนี้องค์หญิงเกิดเห็นแม่ทัพถือดาบออกมา เลยเดาว่าเขาอาจจะมาฆ่าท่าน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงขอให้ข้ารีบพาท่านออกไป ท่านคือนายทหารของตระกูลกู้ใช่ไหม หรือว่า…เป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการชายแดน”
“ไม่ใช่ทั้งคู่” กู้เจียวเอ่ย “ข้ามาจากเมืองหลวงน่ะ”
กู้เจียวเอ่ยพลางยื่นตราให้ดู
“เจ้ารู้จักสิ่งนี้ไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม
เหลียนเอ่อร์ยื่นมือออกไป
กลับถูกกู้เจียวห้ามไว้ “อย่าเข้าใกล้”
“อ้อ” เหลียนเอ่อร์ก้าวถอยหลังอีกครั้ง มองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเบิกตาโต “นี่มันสัญลักษณ์ของตำหนักเหรินโซ่วนี่นา! องค์หญิงเองก็มีเช่นกัน! ท่านคือ… คนที่ไทเฮาทรงส่งมาช่วยองค์หญิงหรือไม่ ในที่สุดไทเฮาก็ยอมยกโทษให้องค์หญิงแล้วหรือเจ้าคะ”
กู้เจียวไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงแต่ถามออกไปว่า “แม่ทัพได้สัมผัสองค์หญิงบ้างหรือไม่ช่วงนี้”
เหลียนเอ่อร์พยายามนึก พลางเอ่ย “ทรงเคยมาเยี่ยมองค์หญิงครั้งหนึ่ง แต่องค์หญิงบอกว่าพระองค์ประชวรอยู่ ไม่สามารถให้พบได้ ดังนั้นเขาจึงอยู่ข้างนอกประตูครู่หนึ่งแล้วจากไปเจ้าค่ะ”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและพูดว่า “แล้วช่วงนี้องค์หญิงมีอาการไม่สบายหรือไม่ เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น ไอ”
เหลียนเอ่อร์ส่ายหัว “ไม่นะเจ้าคะ องค์หญิงมักจะแสร้งทำเป็นป่วย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ป่วยเจ้าค่ะ”
ถ้าไม่ติดเชื้อ ก็อาจอยู่ในช่วงกำลังจะติดเชื้อ
กู้เจียวมองว่าความเป็นไปได้ที่จะไม่ติดเชื้อมีเยอะกว่า ด้วยความที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสหรือเข้าใกล้กัน
“จริงด้วย ท่านมีนามว่าอันใด” เหลียนเอ่อร์เอ่ยถาม
“กู้เจียว” กู้เจียวเอ่ย
เหลียนเอ่อร์ถามต่อ “เช่นนั้น ข้าควรเรียกท่านว่าแม่นางกู้หรือท่านสหายน้อยกู้ดีล่ะ”
“แล้วแต่เจ้า” ก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น กู้เจียวไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว
เหลียนเอ่อร์เกาหัว พลางถาม “เช่นนั้น เวลาท่านไปออกรบ ข้าต้องเรียกท่านว่าสหายน้อยกู้สินะ เช่นนั้น สหายน้อยกู้ ท่านต้องรีบไปกับข้า องค์หญิงคงซื้อเวลาให้ท่านได้ไม่นานนัก ประเดี๋ยวแม่ทัพจะเข้ามากำจัดท่านเอานะเจ้าคะ!”
ในเมื่อเขาต้องการจะฆ่า กู้เจียวย่อมต้องหนีอยู่แล้ว เพียงแต่จะหนีไปคนเดียวไม่ได้
นางต้องพาองค์หญิงไปด้วย
กู้เจียวเดินเข้าไปในห้อง “เจ้าพานายหมอถงหนีไปก่อน ระวังอย่าให้แม่ทัพจับได้ จากนั้นเจ้าไปช่วยองค์หญิงเก็บของ แล้วเตรียมลงเขา”
ขณะที่เหลียนเอ่อร์กำลังจะทำตาม จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยแย้ง “ไม่ได้สิ ข้ามิอาจขัดคำสั่งขององค์หญิง องค์หญิงสั่งให้ข้าพาท่านหนี หากข้าไม่ทำตามคำสั่ง องค์หญิงจะทรงกริ้วมาก”
กู้เจียวเปิดกล่องยาออกแล้วหยิบหน้ากากขึ้นมา “กริ้วก็ยังดีกว่าตายอยู่ที่นี่ อีกอย่าง ต่อให้ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ เจ้าก็ไม่มีทางลากตัวข้าออกไปได้หรอก”
เหลียนเอ่อร์เอ่ยเสียงเบา “ท่านคงเก่งการต่อสู้มากเลยสินะ คงมิใช่ว่าหากข้าบังคับให้ท่านออกไป ท่านจะตีข้าจนสลบน่ะ”
กู้เจียว “…”
เหลียนเอ่อร์กระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้วว่าข้าเอาชนะท่านไม่ได้ ข้าจะไปรายงานองค์หญิงเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
กู้เจียวยื่นหน้ากากให้นายหมอถง เพื่อให้องค์หญิงและคนของพระองค์ได้สวม
“แล้วเจ้าล่ะ” นายหมอถงเอ่ยถาม
“ข้าจะไปเอาของน่ะ” กู้เจียวตอบ
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของนายหมอถง เลยทำให้กู้เจียวพอเข้าใจลักษณะพื้นที่ของที่นี่ จากตรงนี้เดินไปทางทิศตะวันออกสองร้อยก้าวก็จะเป็นตำหนักของยี่อ๋อง
และจากตำหนักของยี่อ๋องเดินไปทางทิศเหนือสามสิบก้าวก็จะเป็นตำหนักขององค์หญิง
หลังจากหลบหลีกพวกทหารลาดตระเวนได้สำเร็จ กู้เจียวก็ได้มาถึงตำหนักของยี่อ๋อง
ทหารที่คอยคุ้มกันมีจำนวนไม่มาก เป็นเพราะโรคระบาด จึงเป็นทางสะดวกของกู้เจียว
นายหมอถงไม่เคยเข้าไปด้านใน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอธิบายให้กู้เจียวเห็นภาพได้
ไม่นานกู้เจียวก็โผล่เข้ามาในห้องบรรทมของยี่อ๋องได้โดยบังเอิญ และเห็นว่ายี่อ๋องกำลังพักผ่อนอยู่ และมีหมอหลวงนั่งต้มยาให้อยู่สองคนอยู่หลังฉากกั้น
กู้เจียวค่อยๆ ย่องมาที่ข้างเตียงยี่อ๋อง
กู้เจียวคว้ากริชออกมา แต่หลังจากที่วัดชีพจรดูแล้ว นางก็เก็บกริชลง
สภาพป่วยใกล้ตายแถมยังไม่มียารักษาเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นที่กู้เจียวจะต้องเปลืองแรง
หลังจากทำการสำรวจรอบๆ เสร็จ กู้เจียวก็ออกมาจากตำหนักของยี่อ๋อง
และในตอนนั้นเอง แม่ทัพก็เดินออกมาจากตำหนักพอดี และมุ่งหน้าไปยังห้องของกู้เจียวพร้อมกับดาบ
กู้เจียวจะต้องเร่งลงมือก่อนที่เขาจะจับได้
เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว
ซ้ำกู้เจียวยังต้องตามหาปืนพู่แดงของนางให้เจอ
และแล้วนางก็มาถึงตำหนักขององค์หญิงหนิงอัน
“สหายน้อยกู้! สหายน้อยกู้!”
เป็นเสียงของนายหมอถง
กู้เจียวเดินไปตามเสียง
นายหมอถงไม่สนใจการป้องกันตัวระหว่างชายและหญิงอีกต่อไป ไม่นับเรื่องที่ว่าเขาแก่เกินไปสำหรับกู้เจียว ดังนั้นเขาจึงดึงกู้เจียวไปหลังต้นไม้ใหญ่และกระซิบกับกู้เจียว “เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม เจ้าต้องการพาองค์หญิงไปจากที่นี่จริงๆ รึ ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น แม่ทัพไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างแน่นอน! เขาจะตามเจ้าจนทัน! อย่างไรเสียองค์หญิงคงทรงหนีไม่พ้นจากที่นี่อยู่แล้ว! สู้เจ้าหนีไปคนเดียวยังจะดีกว่า!”
ที่เห็นพวกเขาไม่ลงรอยกัน นั่นเป็นเพราะแม่ทัพทรยศต่อองค์หญิง ต่อราชวงศ์ แต่องค์หญิงไม่เคยทำเช่นนั้นกับเขา เขาจึงปล่อยองค์หญิงไปไม่ได้
เขาจะไม่ยอมให้ใครพาตัวองค์หญิงไปจากเขาโดยเด็ดขาด
กู้เจียวมองนายหมอถงนิ่งๆ พลางถาม “เจ้ามีของที่อยากขนไปด้วยไหม”
“เอ๋” เขาชะงัก
เพิ่งพูดถึงองค์หญิงมิใช่รึ ไหงเปลี่ยนเป็นเขาเฉยเลยล่ะ
กู้เจียวเอ่ย “ถ้าไม่มีของ เช่นนั้นเจ้าไปรอข้าตรงที่องค์หญิงอยู่แล้วกัน”
“เจ้า…” ดูเหมือนเขาจะตระหนักบางอย่างได้ ลมหายใจของเขาหยุดนิ่ง และมองไปที่กู้เจียวด้วยสีหน้างุนงง
กู้เจียวไม่สนใจเขา และมุ่งหน้าตามหาปืนพู่สีแดง
ดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง พอกู้เจียวเดินเข้าไปในห้องที่สอง ก็เจอกับห้องหนังสือของแม่ทัพ
ทวนพู่สีแดงของนางถูกแขวนไว้บนชั้นจัดแสดงอาวุธอย่างสง่างาม ทว่าเปียบนหัวของทวนพู่สีแดงนั้นถูกคลายออก อีกทั้งลายดอกไม้สีแดงดอกใหญ่บนตัวทวนก็หายไป!
กู้เจียวหรี่ตาลง เผยให้เห็นแววตาอำมหิตอันแสนเย็นชา