สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 522 กลับเมืองหลวง
บทที่ 522 กลับเมืองหลวง
ป๋อชินอ๋องเป็นถึงราชนิกุล แม้ฝีมือการต่อสู้ของเขาจะเหนือชั้นเพียงใด แต่ก็มิอาจเทียบได้กับหรงเหยาผู้เป็นนักรบในสนาม ท้ายที่สุดป๋อชินอ๋องก็เป็นอันพ่ายแพ้ให้แก่หรงเหยา
“กระหม่อมคุ้มคลั่งเกินเหตุ เดิมทีต้องการจะจับเขาเป็นๆ แต่การจับกุมนั้นยากเหลือเกินจนเผลอพลั้งมือปลิดชีวิตเขา โปรดองค์ชายหกลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยาเดินลงมาจากหอคอยเพื่อน้อมรับผิด
เวลานี้หยวนถังยังคงอยู่กับกู้ฉังชิง นั่งบนหลังอาชาไนยสูงใหญ่ ก้มลงมองลุงแท้ๆ ของเขา
เขายิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่ในใจ
พูดออกมาได้ ขนาดเจ้าตัวคงทำใจเชื่อไม่ลงหรอก
แต่ก็นะ ถ้าไม่กำจัดป๋อชินอ๋อง เกิดป๋อชินอ๋องหลุดปากอะไรออกไปตอนกลับวังก็คงไม่ได้การ
ท่านลุงของเขาช่างมองการณ์ไกล อีกทั้งใจคอโหดเหี้ยมเสียจริง
ทว่าเขาคิดหรือว่ากำจัดป๋อชินอ๋องไปแล้วทุกอย่างจะจบลงอย่างง่ายดาย
หยวนถังหัวเราะเสียงขื่นพร้อมกับมองไปทางหรงเหยา “ลำบากแย่เลยเสด็จลุง ถือว่าเป็นคุณที่ท่านกำจัดคนทรยศออกไปได้ กลับเมืองหลวงเมื่อไหร่เสด็จพ่อจะต้องมอบรางวัลให้ท่านอย่างงามแน่นอน”
หรงเหยาคุกเข่าข้างหนึ่ง ประสานมือ พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีเกรงกลัว “กระหม่อมมิบังอาจรับไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงต้องการชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำลงไป กระหม่อมถูกป๋อชินอ๋องล่อลวง กระหม่อมนึกว่าทุกอย่างเป็นประสงค์ของฝ่าบาท ไม่นึกไม่ฝันว่าคนผู้นี้จะแอบอ้างราชโองการของฝ่าบาท ทำให้กระหม่อมคล้อยตาม…โปรดองค์ชายหกทรงตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ” กู้ฉังชิงเบ้ปาก
สีหน้าของหรงเหยาเริ่มไม่สู้ดี
หรงเหยามีความแค้นต่อกู้ฉังชิงเป็นเดิมทุน เพราะบุตรชายของเขา หรงฝู่ ถูกฆ่าด้วยน้ำมือของกู้ฉังชิง แต่เขากลับต้องก้มศีรษะต่อหน้าคู่อริเช่นนี้
หยวนถังหันไปทางกู้ฉังชิง จากนั้นมองไปที่หรงเหยา ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เอ่ย “เสด็จลุงก็พูดเกินไป เมื่อกลับไปยังเมืองหลวงเสด็จพ่อจะทำการตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดอย่างแน่นอน ตราบใดที่เสด็จลุงรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้ทำผิดอะไร เชื่อว่าสักวันความจริงจะปรากฏชัดเจนออก”าเอง”
หรงเหยาเริ่มเหงื่อตก
เขาไม่กล้าเงยหน้าสบตากับหยวนถัง เพราะเท่านี้เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดทับมากพอแล้ว
“องค์ชายหก กระหม่อมขอพูดอะไรบางอย่างได้หรือไม่” หรงเหยาเอ่ยกับหยวนถัง
พวกเขากำลังขี่ม้ามุ่งหน้ากลับไปยังค่ายทหารของแคว้นเฉิน
จางซานที่กำลังสังเกตการณ์พวกเขาทั้งสองก็เอ่ยขึ้นกับกู้ฉังชิง “นายท่าน กระหม่อมเกรงว่านายคนที่มาจากตระกูลหรงกำลังต้องการจะก่อสงครามขอรับ”
กำลังเสริมแปดหมื่นนายของแคว้นเฉิน บวกกับกองกำลังหกหมื่นนายของเมืองเย่ ด้วยจำนวนแล้วพวกเขาสามารถบดขยี้กองทัพของตระกูลกู้ได้เลย และมันจะเป็นการต่อสู้ที่นองเลือด
“หยวนถังไม่มีทางเห็นชอบหรอก” กู้ฉังชิงเอ่ยตอบโดยไม่ลังเล
หากหยวนถังต้องการเปิดสงครามจริงๆ คงไม่บากหน้ามาที่นี่ตัวคนเดียว และคงไม่มาแนะนำตัวกับเขาว่าเป็นสหายของกู้เจียว
ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน แต่เท่าที่สังเกต หรงเหยาพยายามจะเดินเข้าไปใกล้หยวนถัง แต่หยวนถังกลับแสดงท่าทีไม่สนใจเขาแม้แต่นิด อีกทั้งสั่งให้กองทัพหกหมื่นนายถอนกำลังออกจากเมืองเย่ทันที
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แคว้นเฉินเป็นฝ่ายละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพและเริ่มทำสงครามก่อน ดังนั้นแคว้นเฉินจะเป็นผู้รับผิดชอบการสูญเสียที่เกิดขึ้นในสงครามทั้งหมด
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้หยวนถังได้บทเรียนครั้งใหญ่ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำสงคราม
ถ้าเป็นหยวนถังคนก่อนที่เคยเป็นเชลยของแคว้นเจาอาจมีความคิดที่อยากเปิดศึกกับแคว้นเจา แต่เขาในวันนี้ ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว
สงครามคือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจของคนระดับสูง แต่คนที่ได้รับผลกระทบกลับเป็นพลเรือนและราษฎรผู้บริสุทธิ์
หยวนถังควบม้าไปที่ค่ายทหารของตระกูลกู้ และพูดกับกู้ฉังชิงอย่างจริงจัง “ถ้าพวกท่านไว้ใจข้า ข้าต้องการพาหรงเหยากลับไปที่เมืองหลวงก่อน จากนั้นข้าจะไปแคว้นเจาเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฝ่าบาทของท่าน”
ทุกวันนี้ หยวนถังยังอยู่ในสถานะองค์รัชทายาทของแคว้นเฉิน เขาควรจะกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับกู้ฉังชิง เพราะการปล่อยเขาไปก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยเสือกลับภูเขา
หยวนถังพูดขึ้นอีกครั้งโดยไม่รอคำตอบของกู้ฉังชิง “แต่ก่อนที่จะกลับเมืองหลวง ข้าประสงค์จะไปเยือนเมืองเย่ว์กู่เพื่อเยี่ยมท่านจอมพลหยวนไซว่กับท่านเหล่าโหวเหย่”
“ตกลง” กู้ฉังชิงตอบ
หยวนถังติดตามกู้ฉังชิงไปยังเมืองเย่ว์กู่ ความใจกว้างและความกล้าหาญของเขาน่าประทับใจยิ่งนัก
แต่พอเดินทางมาถึงที่เมืองเย่ว์กู่ กู้ฉังชิงกลับพบว่าเขาถูกหลอกเข้าแล้ว!
เจ้าหมอนี่ไม่ได้คิดจะมาเยี่ยมถังเย่ว์ซานกับท่านปู่ของเขา แต่มาหาน้องสาวของเขาต่างหาก!
หยวนถังเดินเข้าไปในค่ายทหารบาดเจ็บ พร้อมกับเอ่ยทักทาย “ท่านหมอกู้ ข้ามาแล้ว!”
กู้ฉังชิงหรี่ตาลงอย่างหวาดระแวงพร้อมกับจ้องหยวนถังที่วางตัวสบายเกินเหตุ
อาการป่วยของนางดีขึ้นแล้ว ทั้งยังผ่านช่วงกักตัวแล้วด้วย ในเวลานี้ นางกำลังอบรมให้ทหารในค่ายถึงวิธีปฏิบัติตนยามเจ็บไข้
หยวนถังสวมชุดเกราะของแคว้นเฉิน
เหล่าทหารที่อยู่ข้างในพอเห็นคนของอีกฝ่ายเดินเข้ามาโต้งๆ ก็ตกใจจนชักดาบยาวออกมา
หยวนถังแลบลิ้นออกมา ก่อนจะปลดดาบออกจากเอวของเขา และโยนมันให้กับทหารที่บาดเจ็บซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุด “ฝากหน่อย”
นายทหารคนนั้น “…”
สีหน้าของกู้เจียวนั้นนิ่งเฉย นางเหลือบมองหยวนถังแค่หางตา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับนายทหารที่กำลังพักฟื้น “เจ้าทำต่อเลย”
นายทหารคนนั้นค่อยๆ ใช้ไม้เท้าเพื่อพยุงตัวเดินไปข้างหน้า
หยวนถังผู้ไม่ได้ถูกรับเชิญเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกู้เจียวพร้อมกับพูด “ดูเหมือนเจ้าไม่ตื่นเต้นเลยที่ได้เจอข้า รู้เช่นนี้ข้าคงไม่มาพบเจ้าแต่แรกก็ดี”
“มีธุระรึ” กู้เจียวถาม
หยวนถังอ้าปากค้าง ที่จริงเขาก็ไม่ได้มีธุระอันใดหรอก
“แล้วเจ้าไม่คิดจะถามเลยหรือว่าข้ามาที่ชายแดนด้วยเหตุใด” หยวนถังเบะปาก
กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที พร้อมกับเอ่ย “มาฆ่าป๋อชินอ๋องหรือไม่ก็หรงเหยาสินะ”
หยวนถัง “…”
“นี่ ให้จ้า” หยวนถังยื่นห่อบางอย่างให้นาง
“อะไรรึ” กู้เจียวถาม
หยวนถังยัดห่อไว้ในอ้อมแขนของนางและพูด “กล่องดอกไห่ถังเป็นของเจ้า ส่วนกล่องใบไผ่เป็นของลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อจัดการกับลุงของข้า คงไม่ได้แวะไปแคว้นเจาสักพักใหญ่ๆ วานเจ้านำกล่องนี้ไปให้ลูกพี่ลูกน้องข้าให้ที ”
“อืม” กู้เจียวตอบรับ
หยวนถังเลิกคิ้ว “อย่าคิดมากล่ะ ข้าก็แค่ให้ของขวัญเจ้าเพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้าเคยช่วยลูกพี่ลูกน้องของข้า และนอกจากนั้น…ที่ ข้าสามารถหลบหนีในครั้งนั้นได้ ต้องยกความดีความชอบให้สามีของเจ้า”
ตอนแรกหยวนถังคิดว่าตัวเองหลบซ่อนตัวดีแล้ว จึงไม่บอกให้เซียวลิ่วหลังได้รู้ แต่ภายหลังพอเขาลองมานึกดูอีกที เดิมตอนแรกเซียวลิ่วหลังต้องเดินทางไปทำงาน แต่เขากลับเปลี่ยนทิศและมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองฝั่งเหนือแทน อีกทั้งยังจงใจหยุดรถที่จุดพักรถอยู่พักใหญ่
เกรงว่าเซียวลิ่วหลังคงรู้แต่แรกอยู่แล้ว ก็เลยพาเขาออกไป
กู้เจียวไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น
โชคดีที่เซียวเหิงปล่อยให้เขาออกมา ไม่อย่างนั้นสงครามนี้คงไม่มีวันจบสิ้น อีกทั้งสูญเสียคนของทั้งสองฝ่ายเพิ่มขึ้น
“เอาละ ข้าพูดไปหมดแล้ว ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เจ้าอย่าลืมว่าต้องทำให้ลูกพี่ลูกน้องของข้าคิดถึงข้าด้วยล่ะ” หยวนถังเอ่ย
พอฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดกู้ฉังชิงก็เก็บดาบที่ถืออยู่ลงไป
หยวนถังควบม้าเดินทางออกจากเมืองเย่ว์กู่
จางเซินเอ่ยถามขึ้น “นายท่านจะปล่อยเขาไปแบบนี้จริงหรือ แคว้นเฉินมีกำลังพลถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นนาย ถ้าเขาเริ่มทำสงครามกับเราในเวลานี้…”
“เขาไม่ทำหรอก” กู้ฉังชิงเอ่ย
เจียวเจียวเชื่อใจเจ้าหมอนั่น เขาเองก็เช่นกัน
พอกู้เจียวเดินออกมา ก็เห็นกู้ฉังชิงรออยู่ที่หน้าประตู
“มาทำแผลรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
กู้ฉังชิงเอ่ยตอบด้วยท่าทีขึงขัง “…อืม”
กู้เจียวพาเขาไปที่เพิงข้างๆ และใช้กรรไกรตัดผ้าพันแผลที่มือทั้งสองข้างของเขา แผลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเมืองเย่ว์กู่และช่วยกู้เจียวไว้ แต่ได้มาจากตอนที่เขาเข้าไปในรังของพวกกบฏราชวงศ์ก่อนเพื่อตามหากู้เจียว”
กู้ฉังชิงไม่ได้เล่ารายละเอียดเรื่องราววันนั้นทั้งหมด ความจริงแล้วสิ่งที่เขาพบเจอนั้นทั้งวุ่นวานและร้ายแรงกว่านั้นมาก
เป็นเรื่องจริงที่เขาได้แผนที่อุโมงค์นั้นมาจากหนึ่งในลูกสมุนของพวกกบฏราชวงศ์ก่อน ทว่าแผนที่นั้นอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ อีกทั้งสะพานไม้ที่เป็นเส้นทางนำไปสู่อุโมงค์นั้นก็ดันถูกหวงฝู่เจิงทำลายเสียก่อน
กู้ฉังชิงยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าผาอยู่นานสองนาน ต่อให้ใช้วิชาตัวเบา ก็ไม่มีทางข้ามไปยังหน้าผาอีกฝั่งได้แน่นอน
เขาจึงตัดสินใจเดินลงจากเขาแล้วเดินอ้อมเพื่อปีนขึ้นไปยังหน้าผ้าของอีกฝั่ง
การปีนหน้าผายากเพียงใดนั้นคงไม่ต้องพูดถึง
โชคยังดีที่ถึงแม้แผนที่จะชำรุด แต่ทิศทางและตำแหน่งในแผนที่นั้นถูกต้องทุกอย่าง เขาปีนขึ้นไปบนหน้าผาอย่างอันตรายและเกือบจะตกลงไปในเหวอยู่หลายครั้ง
ในเวลานั้น เขามีความคิดเพียงอย่างเดียวในใจ เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และตามหาน้องสาวของเขาให้เจอ
บาดแผลที่มือของเขาเกิดจากตอนที่เขาปีนขึ้นไปบนหน้าผา และมันยังไม่หายดี ซ้ำเขาต้องทำหน้าที่นำทหารต่อสู้อีก จนแผลเกิดฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในความคิดของกู้ฉังชิง เขามองว่าอาการบาดเจ็บแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และหากไม่ใช่เพราะกู้เจียวอยู่ที่นี่ เขาไม่คิดที่จะทำแผลด้วยซ้ำ
“หักโหมไม่ได้อีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นได้ตัดมือทิ้งแน่” กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจังพร้อมกับทำแผลให้เขา
“อืม ไม่หักโหมแล้ว สงครามสิ้นสุดแล้ว” กู้ฉังชิงเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง
“แผลตรงนี้ตัดไหมออกได้แล้ว” กู้เจียวมองไปที่ปากแผลตรงมือข้างซ้ายพลางเอ่ย
กู้ฉังชิงยื่นมือให้อย่างเชื่อฟัง
“เจ็บนิดนึงนะ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับหยิบกรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วขึ้นมา
กู้ฉังชิงตอบ “ไม่เจ็บหรอก ตอนเจ้าเย็บแผลข้าก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย”
ไม่เจ็บก็บ้าแล้ว ก็ไม่ได้ใช้ยาชาเลยนี่นา
พอพูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ กู้เจียวก็นึกอะไรขึ้นมาได้
ตอนที่พวกเขากลับมาจากหุบเขา นางต้องเย็บแผลให้กู้ฉังชิง และตอนนั้นเอง มีนายทหารคนหนึ่งต้องเย็บแผลเช่นกัน
แต่กล่องยากลับปรากฏยาชาขึ้นมาแค่ขวดเดียวเท่านั้น
กู้ฉังชิงยกยาชาให้นายทหารคนนั้น เหตุผลที่เขาให้คือยาชาใช้ไม่ได้ผลกับเขา เขาเป็นผู้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ ดังนั้น เขาต้องได้รับบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งเขาจำเป็นต้องกินยาชาแบบดื่มตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ว่ายาชาชนิดใดก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
กู้เจียวนึกย้อนไปถึงตอนที่เข้าเมืองหลวงใหม่ๆ จำได้ว่าครั้งแรกที่นางเย็บแผลให้เขา เจ้ากล่องยาก็มิปรากฏยาชาขึ้นมาให้ใช้แต่อย่างใด
ตอนนั้นกู้เจียวก็ไม่ได้เอะใจอะไร พอตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว บางทีเจ้ากล่องยาอาจรู้แต่แรกอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผลกับเขา
อย่างนั้นก็แปลว่า ที่ผ่านมาเวลาเขามีบาดแผลไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เขาก็จะถูกเย็บแผลโดยไม่ต้องใช้ยาชาเลยอย่างนั้นรึ
“ไม่เจ็บหรอก จริงๆ” กู้ฉังชิงหัวเราะอย่างอ่อนโยน
“อืม” กู้เจียวตอบเขาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด แต่มือของนางกลับเบาสวนทางกับน้ำเสียง
สงครามจบลง ผู้ติดเชื้อเริ่มมีอาการดีขึ้น ถึงวลาที่กู้เจียวและคนอื่นๆ จะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว
ทั้งถังเย่ว์ซานและกู้ฉังชิงต่างมอบหมายให้ทหารบางส่วนคอยคุ้มกันที่ชายแดนเพื่อคอยประสานงานในด้านการฟื้นฟูเมืองทั้งสาม
ผู้ว่าของเมืองเป่ยหยางและเมืองเย่ถูกสังหาร และราชสำนักออกคำสั่งในชั่วข้ามคืนเพื่อแต่งตั้งผู้ว่าคนใหม่
หลังจากที่ผู้ว่าคนใหม่มาประจำการ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกเดินทาง
องค์หญิงหนิงอันต้องกลับไปพร้อมกับพวกเขา
ภารกิจช่วยเหลือองค์หญิงกลับเมืองหลวงเป็นหน้าที่ของเหล่าโหวเหย่ แต่ตอนนี้เขายังพักฟื้นอยู่ หน้าที่นี้จึงตกเป็นของกู้ฉังชิง
ณ ห้องพักของจวนผู้ว่า กู้ฉังชิงได้เข้าพบองค์หญิงที่ห้องทรงหนังสือ
ตั้งแต่องค์หญิงมาถึงที่นี่ก็เอาแต่อยู่ในห้องของตัวเองไม่ยอมออกมาและไม่พูดกับใคร
กู้ฉังชิงรู้ว่าพวกกบฏราชวงศ์ก่อนทำร้ายพระองค์อย่างหนัก ดังนั้นเขาจะไม่พูดเรื่องสงครามและหวงฝู่เจิงต่อหน้าพระองค์
กู้ฉังชิงโค้งคำนับให้องค์หญิงและเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “พวกกระหม่อมจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีคำสั่งอื่นใดอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงมองหิมะนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็พึมพำ “ก่อนกลับ ข้าขอแวะเมืองจี้ก่อนได้ไหม… ข้าต้องไปรับใครคนหนึ่ง”
ขณะที่พูดอยู่ องค์หญิงก็พลันรู้สึกเกรงใจที่จะสร้างปัญหาให้เขา จึงกล่าวเสริม “ไม่จำเป็นต้องไปกันเยอะ แค่ไม่กี่คนก็พอ ไม่ยากหรอก”
กู้ฉังชิงพอเดาออกว่าเป็นใคร จึงเอ่ยตอบไป “กระหม่อมจะไปที่นั่นด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้ข้าไปด้วยสิ!”
น้ำเสียงโมโหของกู้เฉิงเฟิงดังขึ้นจากห้องข้างๆ เขาถอดเฝือกที่แขนออกแล้วและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
เขาอุตส่าห์ฟื้นตัวได้และวางแผนที่จะไปที่สนามรบเพื่อต่อสู้อย่างสุดใจ แต่กลับมีคนบอกว่าแคว้นเฉินยอมจำนนแล้วเสียอย่างนั้น!
เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ แต่กลับไร้โอกาสเฉิดฉาย!
ซึ่งจุดประสงค์หลักก็คือเพื่อแสดงให้ท่านพี่เห็นว่าเขาเก่งแค่ไหน
“ได้สิ” กู้ฉังชิงเอ่ยตอบ
กู้เฉิงเฟิงเนื้อเต้นตลอดทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสปฏิบัติภารกิจกับพี่ชายของเขาได้เสียที เช้าวันถัดมา พอเขาเดินออกจากค่ายทหารในชุดเกราะเต็มยศ เขากลับเห็นกู้เจียวยืนอยู่ข้างๆ ท่านพี่ของเขา
กู้เฉิงเฟิงทำหน้าบึ้งตึง พร้อมกับเอ่ยถาม “นางก็ไปด้วยรึ”
นึกว่ามีแค่เขาติดไปด้วยคนเดียวเสียอีก
เหตุใดต้องมียัยเด็กนี่มาเป็นก้านขวางคอด้วยนะ!
“ขึ้นม้า” กู้ฉังชิงเอ่ยพร้อมกับตบที่อานม้าของเขา
หึ แบบนี้ยังพอไปได้
กู้เฉิงเฟิงเม้มริมฝีปากและเดินไปที่ม้าของกู้ฉังชิง เขาอยากจะขี่ม้าของท่านพี่มานานแล้ว นอกจากม้าของปู่แล้ว ก็มีม้าของท่านพี่นี่แหละเป็นม้าที่ดีที่สุดในตระกูล
ดีกว่าม้าที่ขโมยมาจากหวงฝู่เจิงเสียอีก
“ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า” กู้ฉังชิงเอ่ยขึ้นพลางยกมือห้ามเขา ก่อนจะคว้าเอวของกู้เอวแล้วอุ้มให้นางขึ้นบนอานม้า จากนั้นเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “จับให้มั่นล่ะ”
กู้เจียวพยักหน้า
จากนั้นกู้ฉังชิงก็กระโดดขึ้นม้าตามไป
พวกเขาทั้งสองควบม้าออกไปจนฝุ่นตลบ!
ทิ้งกู้ฉังชิงซึ่งกำลังทำหน้างุนงงให้ยืนอยู่คนเดียว “……”
เฮ้!
พวกเจ้าลืมอะไรไปรึเปล่า!