สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 529 กลับราชสำนักพร้อมชัย
บทที่ 529 กลับราชสำนักพร้อมชัย
เสื้อกับกางเกงของเซียวเหิงชุ่มไปด้วยเหล้า เขาจำต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด เมื่อเปลี่ยนเสร็จหันหลังกลับมา ก็สบตาพร่ามัวกับกู้เจียวที่เมามายอยู่บนที่นอนพอดี
ท่านอนของกู้เจียวค่อนข้าง…เอ่อ ยากจะอธิบาย
สีหน้าแดงเรื่อ ถีบผ้าห่มออก หมอนก็เอียง
นางกางแขนกางขาออก นอนอยู่บนผ้าห่ม ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง
“ท่านชาย เก็บกวาดทางนั้นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมฝางเอ่ยขึ้นหน้าประตู
“อืม ข้าทราบแล้ว” เซียวเหิงขานรับ
เซียวเหิงเดินมาข้างเตียง เห็นกู้เจียวนอนท่าประหลาดครั้งแรก จึงเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจ
ก่อนที่จะมองไปยังมุมปากกู้เจียว
ช้าก่อน
หญิงผู้นี้ดื่มจนฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ หรือว่ากำลังฝันอะไรอยู่
เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนนางกำลังน้ำลายไหลอยู่
เซียวเหิงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้นางเบาๆ เหตุใดจึงรู้สึกว่าหญิงผู้นี้ยิ้มได้แม้กระทั่งในฝัน
กู้เจียวเมาจนสลบไป จึงไม่ได้อยู่ข้ามคืนฉลองส่งปีเก่า คนอื่นๆ เล่นสนุกกันจนถึงยามจื่อ เสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นจึงพากันจุดพลุขึ้นมาอีก ไม่ได้มีแต่บ้านพวกเขา ทั้งตรอกก็กำลังจุดอยู่เช่นกัน
ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ปลุกกู้เจียวในฝันหวานให้ตื่นขึ้นมาเลย
สามีงามนัก รูปร่างดียิ่ง สองชาติรวมกันยังไม่เคยเห็นของชั้นเยี่ยมขนาดนี้มาก่อน
หล่อเหลือเกิน หล่อเหลือเกิน!
กู้เจียวในฝันกอดผ้าห่มกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน
วันรุ่งขึ้น กู้เสี่ยวเป่าตื่นเช้าที่สุด
เขาหิว อยากกินนม
แม่นางเหยาจึงป้อนนมให้เขา เขาไม่อยากนอนต่อ สามเดือนมานี้เด็กน้อยนั่งยังไม่ได้เลย คลานก็ยังคลานไม่ได้ ทำได้แค่นอนรับชะตากรรม ซ้ำเสื้อผ้าก็หนาเตอะ
ทว่ากู้เสี่ยวเป่าชินเสียแล้ว เขาไม่ได้ร้องไห้งอแง ดูดนิ้วตัวเองให้แม่นางเหยาได้นอนมากขึ้นอีกหน่อย
เมื่อวานพลุถูกจุดเสียงดังโป้งป้าง เขาก็เป็นเด็กดีตลอด ต่อมาเผลอหลับไปก็ถูกพลุปลุกให้ตื่นอีกแต่ก็ไม่งอแง ดูดนิ้วตัวเองกล่อมตัวเองนอน
เมื่อแม่นางเหยาตื่นขึ้นมากู้เสี่ยวเป่ายังดูดนิ้วอยู่เลย เด็กดีเพียงนี้ทำเอาใจแม่นางเหยาละลายทีเดียว
แม่นางเหยาแต่งตัวเรียบร้อยก็ไปห้องโถง อวี้หย่าร์ก็อยู่ด้วยกันกับแม่นมฝาง เพียงไม่นานเสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นก็มาด้วย
ทั้งคู่นั่งเหม่ออยู่ในห้องโถง ไม่รู้ว่ากู้เสี่ยวซุ่นคุยอะไรกับเสี่ยวจิ้งคง ทั้งคู่จึงมองไปยังประตูห้องตะวันตกพร้อมกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เซียวเหิงก็ออกมาจากห้องตะวันตก
ทั้งคู่จ้องขาขวาเขาเขม็ง กู้เสี่ยวซุ่นใช้ศอกกระทุ้งแขนเสี่ยวจิ้งคง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ได้หลอกเห็นหรือไม่ ดูสิ หายแล้ว!”
เขาเห็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่โดนกู้เหยี่ยนเปลี่ยนประเด็นจึงลืมไป เช้าวันนี้พอเขาตื่นก็ลากเสี่ยวจิ้งคงมาพิสูจน์เลย
เสี่ยวจิ้งคงจ้องขาขวาพี่เขยนิสัยไม่ดี สังเกตอยู่พักหนึ่งอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้า เอ่ยยอมรับอย่างจริงจัง “อืม หายแล้วจริงด้วย”
“ดูสิ พอเจียวเจียวกลับมาพี่เขยก็หายเลย” กู้เสี่ยวซุ่นเวลาอยู่กับกู้เจียวจะเรียกพี่ แต่เวลาอยู่กับเสี่ยวจิ้งคงจะเรียกเจียวเจียว
คำเรียกของเสี่ยวจิ้งคงไม่เคยโอนอ่อนตามกู้เสี่ยวซุ่นหรือกู้เหยี่ยน เรียกได้ว่ายึดมั่นในอุดมการณ์
“พี่เขย!” เสี่ยวจิ้งคงเรียกเซียวเหิงไว้ ก่อนเดินไปหา ยกมือขึ้นสะกิดตัวเขา พบว่าสะกิดไม่ถึง เขาจึงยกเก้าอี้ขึ้นมาปีน พอยืนบนเก้าอี้ก็ยังไม่ถึงอยู่ดี
“จะ…เจ้าย่อลงมาหน่อย” เขาบอก
“มีอะไรรึ” เซียวเหิงถาม
“ย่อลงหน่อยสิ ข้ามีอะไรจะบอก” เสี่ยวจิ้งคงบอก
ปีใหม่ทั้งที เซียวเหิงจึงตัดสินใจไว้หน้าให้เจ้าเณรน้อย เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย สบตาในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย “มีอะไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคงยื่นมือน้อยๆ ไปตบบ่าเขาด้วยท่าทางจริงจัง “พี่เขย ในที่สุดเจ้าก็เอาชนะอุปสรรคได้ กลายเป็นคนปกติแล้ว ข้าดีใจกับเจ้าจริงๆ”
ทำดีหวังผล
เซียวเหิงหรี่ตามองเจ้าหนูน้อย ก่อนถาม “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยไปตามความจริง “ข้าอยากขึ้นค่าเช่า”
เซียวเหิง “…”
เมื่อกู้เจียวตื่นมาทั้งบ้านก็รู้แล้วว่าขาเซียวเหิงหายเป็นปกติแล้ว พวกเขาต่างคิดว่าเซียวเหิงเพิ่งจะหายเมื่อเช้า แม่นางเหยากับอวี้หย่าร์ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องราวดีๆ
แม่นางเหยาคิดทั้งคืนจึงใจเย็นลงแล้ว ตอนที่รู้ว่าลูกสาวแต่งกับบัณฑิตขาเป๋ในชนบท ใจนางรวดร้าวไม่รู้เท่าใด
ดีร้ายอย่างไรบุตรสาวนางก็เป็นคุณหนูจวนโหว หากเลี้ยงอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นแต่งกับหนุ่มขาเป๋หรอก
นางเคยมีความคิดเช่นนี้
ที่ยังรับได้ก็เพราะประการแรก นางไม่เคยเลี้ยงดูบุตรสาวเลยสักวัน ไม่มีสิทธิยื่นมือไปยุ่งกับบุตรสาว ประการที่สองนิสัยและการวางตัวของเซียวเหิงได้ใจไปนางเต็มๆ
นางจึงปลอบใจตัวเองว่าหากบุตรสาวแต่งงานกับชายที่ดีกว่านี้อาจไม่สามารถมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ ขอแค่ลูกมีความสุข นางก็ไม่เสียใจอะไรแล้ว
ทว่าลูกเขยคนนี้มอบความตกใจให้นางเหนือคาดนัก
สอบได้เจี่ยหยวนที่โยวโจวได้เข้ากั๋วจื่อเจียนไม่พอ ยังได้อันดับหนึ่งเพียงคนเดียวในการสอบขุนนาง กลายเป็นจอหงวนคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดของแคว้นเจาด้วย
ที่เสียใจอย่างเดียวก็คือเขาขาเป๋ แต่ยามนี้ความเสียใจได้หายไปหมดแล้ว
จะให้แม่นางเหยาใจร้ายหาเรื่องคิดบัญชีเซียวเหิงต่อได้อย่างไร
ส่วนเรื่องที่ลูกปิดบังเรื่องที่เกือบตายหลายครั้งในชายแดน นางสงสารมากกว่าจะดุด่า
สองหนุ่มสาวไม่ได้รู้ว่าวิกฤติความแตกของตัวเองได้ผ่านพ้นไปอย่างสงบแล้ว
กู้เจียวออกมาจากห้องตะวันออกก็พบว่าเสี่ยวจิ้งคงนั่งอยู่ตรงธรณีประตูเรือนหน้าคนเดียว เขาตัวเล็กจ้อย ผมน้อยๆ เป็นระเบียด ดูแล้วเหมือนเห็ดน้อยที่เกิดบนพื้นหิมะอย่างอ้างว้าง
กู้เจียวเดินไปหา โน้มตัวลงมองเขาพลางเอ่ย “จิ้งคง เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เสี่ยวจิ้งคงหันกลับมามองกู้เจียว พลางเอ่ย “ข้ารออาจารย์อยู่”
ได้ยินเขาว่าดังนั้น กู้เจียวก็นึกขึ้นได้ อาจารย์ของเสี่ยวจิ้งคงจะมาฉลองวันเกิดให้เขาทุกปี ปีที่แล้วก็มา เพียงแต่ไม่ได้พบกับคนอื่นๆ แค่ทิ้งของขวัญไว้ให้เสี่ยวจิ้งคง เป็นโฉนดบ้านในแคว้นเหลียง แล้วก็จากไป
กู้เจียวนั่งลงข้างเสี่ยวจิ้งคงถาม “เมื่อคืนอาจารย์เจ้าไม่ได้มาหรือ”
“อืม” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า อารมณ์เซื่องซึม
กู้เจียวลูบหัวเขาไปมาพลางเอ่ย “ปีนี้แคว้นเจาหิมะตกหนัก อาจารย์เจ้าอายุมากแล้ว อาจจะไม่สะดวกออกมา หรือไม่ก็ล่าช้าอยู่ระหว่างทาง”
เนื่องจากเสี่ยวจิ้งคงเอาแต่เรียก ‘อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างเขา’ ทำให้ภาพจำที่กู้เจียวมีต่ออีกฝ่ายจนถึงทุกวันนี้เป็นชายชราหลังคร่อมหนวดเคราขาว
อากาศเช่นนี้อย่าว่าแต่คนแก่เลย ต่อให้เป็นชายหนุ่มแข็งแรงก็เดินทางยาก
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอย่างจริงจัง รู้สึกว่าก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อเทียบกับเขาแล้ว อาจารย์เขาอายุเยอะกว่าจริงๆ
ดังนั้นอาจารย์เขาอาจจะถูกหิมะทำให้เดินทางล่าช้าจริงๆ ก็ได้
“คิดถึงอาจารย์เจ้ามากหรือ” กู้เจียวถาม
“อืม…นิดนึงแล้ว” เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กซื่อสัตย์
กู้เจียวชะงักก่อนจะถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายให้อาจารย์เจ้าสักฉบับสิ”
เสี่ยวจิ้งคงเบ้ปากอย่างรังเกียจ “ไม่เอาหรอก คราก่อนข้าเขียนจดหมายให้เขาเขาก็ไม่ตอบข้า”
พูดจางอนขึ้นเรื่อยๆ เท่าใด ก็หมายความว่าในใจเขายิ่งใส่ใจอาจารย์เขามากเท่านั้น เดิมทีเขาเป็นเด็กที่มีน้ำใจไมตรีมาก อาจารย์เขาเก็บเขากลับมา เลี้ยงดูจนได้สามขวบ สำหรับเขา อาจารย์ก็คงเหมือนพ่อคนหนึ่งเลยกระมัง
กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคง “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ ตอนข้าตอบจดหมายหนิงเซียง จะไหว้วานนางไปช่วยสืบที่วัดดู ดูว่าอาจารย์เจ้าสบายดีหรือไม่ ได้ออกไปไหนหรือไม่”
“…ก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ปฏิเสธ
กู้เจียวยิ้มมุมปาก “อาจารย์เจ้ามีนามว่าอะไรล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “เหลี่ยวเฉิน”
กู้เจียวพยักหน้าคล้ายคิดบางอย่างอยู่ “ฟังฉายาแล้วดูเป็นนักบวชที่บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงนึกย้อนความจำครู่หนึ่ง แบมือเอ่ย “บรรลุหรือไม่ไม่รู้ แต่อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างเขาสูงจริงๆ นั่นแหละ”
กู้เจียวกำลังปรับรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายในหัวอีกหน จากชายชราหนวดเคราขาวกลายเป็นชายชรามากๆ หนวดเคราขาวแทน
กู้เจียวเขียนจดหมายเสร็จในตอนบ่าย หอพักม้าแคว้นเจาเปิดทำการทั้งปี แต่ช่วงปีใหม่จะส่งจดหมายล่าช้า อีกสองสามวันกู้เจียวค่อยเอาไปส่งที่หอพักม้าก็ยังไม่สาย
วันที่เจ็ดของปีใหม่ในที่สุดก็ได้ข่าวคราวของกองทัพตระกูลกู้กลับเมืองหลวง
สวรรค์เมตตา ก่อนหน้านี้หิมะตกติดต่อกันสามวัน พอถึงวันที่เจ็ดของปีใหม่ก็แจ่มใส ลำแสงทองอร่ามสาดส่องไปทั้งแผ่นดิน เขตพระราชฐานมีสัญญาณมงคล
เหล่าปวงชนได้ยินว่ากองทัพกลับมาแล้ว จึงพากันมารอตามประตูเมืองและถนนหนทางต่างๆ กันแต่เนิ่นๆ ยามนี้ฝูงชนพลุกพล่านและแออัด
เหล่าทหารองครักษ์ลับจำต้องยืนขวางชาวบ้านที่กำลังฮึกเหิมเหล่านี้ พวกชาวบ้านเบียดออกไปไม่ได้ จำต้องชะเง้อคอกันคอยืดคอยาว
เสียงเกือกม้าเป็นระเบียบกับเสียงเกราะดังลอยมาจากไกลๆ อึกทึกครึกโครมภายใต้ฟากฟ้าสดใส ราวกับว่าผู้คนสามารถเห็นทวนทองอาชาเหล็กบนสนามรบได้ในชั่วพริบตา
“กองทัพตระกูลกู้! กองทัพตระกูลกู้กลับมาแล้ว!”
ชายชาตรีรูปร่างสูงใหญ่ตะโกนขึ้น
ฝูงชนโกลาหลขึ้น ชาวบ้านที่เดิมทีก็ไม่พอใจที่ถูกขวางให้อยู่ข้างทางต่างสบตากันแล้วเบียดเสียดมาข้างหน้า องครักษ์ลับใช้แรงมหาศาลกัดฟันแน่นถึงห้ามไม่ให้ชาวบ้านดันกันออกไป
แม้สงครามจะไม่ได้ลุกลามมาเมืองหลวง แต่ชาวบ้านก็ยังได้ข่าวคราวชายแดนไม่น้อยจากรายงานทางการของราชสำนัก เมื่อได้ยินว่าท่านเหล่าโหวกับองค์หญิงแห่งราชสำนักตกสู่เงื้อมมือศัตรู พวกเขาก็เกือบคิดว่าเมื่อสิบปีก่อนแคว้นเจาแพ้ให้แคว้นเฉินสุดท้ายส่งตัวอันจวิ้นอ๋องให้ไปเป็นเชลยจะซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง
ทว่ากองทัพตระกูลกู้ชนะแล้ว!
ไม่เพียงชนะกบฏราชวงศ์ก่อนและกองทัพแคว้นเฉินเท่านั้น ซ้ำยังคุ้มกันองค์หญิงแคว้นเจามาด้วย
พวกเขาชิงกำแพงเมืองที่ถูกยืด กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด และกองทัพศัตรูที่บุกเข้ามาถูกกวาดล้างด้วยความเสียหายที่น้อยที่สุด
พวกเขาเป็นทหารแคว้นเจา เป็นวีรบุรุษแคว้นเจา!
อาการบาดเจ็บที่ขาของถังเย่ว์ซานดีขึ้นบ้างแล้ว เขาขี่ม้านำหน้าขบวน ก่อนออกจากเมืองหลวงเขายังพอมีไฟอยู่บ้าง แต่หลังสงครามก็ดับไปเสียแล้ว ทั้งร่างผ่ายผอมไปหมด แต่ยังมีกำลังวังชาดี
เขาสวมเกราะสีเข้ม กำยำล่ำสัน องอาจห้าวหาญ
ด้านหลังเขาคือกู้ฉังชิงที่กำลังขี่ม้าพันธุ์ดีเช่นกัน กู้ฉังชิงสวมเกราะเงินเย็นเยียบ เสื้อคลุมสีขาวด้านหลังเกราะพลิ้วไสว เขาสวมหมวกศึก กระบังหน้าเหล็กบนหมวกถูกลดต่ำลง
เหล่าปวงชนเห็นแค่ดวงตาเย็นเยียบดุจมีดและรูปร่างองอาจห้าวหาญของเขา
ในเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้ว่าติ้งอันโหวซื่อจื่อรูปงามอ่อนโยนดุจหยก เพียงแต่ตอนที่เขารับตำแหน่งตูเว่ยในกองทัพไม่ค่อยใจดีเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้ฉายานามว่ายมราชหน้าน้ำแข็ง
ทว่ายมราชหน้าน้ำแข็งคนนี้เฝ้าปกป้องแผ่นดินแคว้นเจาของพวกเขาเอาไว้
ฝูงชนกู่ร้องรุนแรง
“ได้ยินว่ากู้ซื่อจื่อยังไม่แต่งงาน”
“ทำไมรึ เจ้าอยากจะให้ลูกสาวเจ้าแต่งด้วยหรือไร”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้เสียหน่อย”
“ลูกสาวเจ้าเพิ่งจะสามขวบ!”
“…”
“เอ๋ คนนั้นคือผู้ใดกัน”
ชายหนุ่มชี้ไปที่ชายหนุ่มเกราะเงินอีกคนด้านหลังกู้ฉังชิงพลางถามขึ้น
“กองทัพตระกูลกู้มีแม่ทัพหนุ่มเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ได้อยู่ด้านหลังกู้ฉังชิงตามหลักการแล้วตำแหน่งในกองทัพตระกูลกู้ก็คงไม่ได้ต่ำอะไร แต่ตอนที่กองทัพตระกูลกู้ออกจากเมืองไปพวกเขาก็ได้มาดูนะ ผู้บัญชาการซ้ายขวาสองคนกับพวกรองแม่ทัพล้วนมีอายุมากกว่ากู้ฉังชังมาก
หนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่ากู้ฉังชิงชัดเจน ดวงหน้ายังไม่ถึงวัยสวมก้วนด้วย
เหล่าชาวบ้านเดากันอยู่พักหนึ่งก็เดาไม่ถูกว่าเขาเป็นใคร
สุดท้ายองครักษ์ลับที่ขวางอยู่หน้าชาวบ้านก็ทนไม่ไหว เอ่ยขึ้น “ท่านชายรองของจวนติ้งอันโหว”
“ท่านชายรองแห่งจวนติ้งอันโหวอย่างนั้นรึ”
ทุกคนต่างตกใจ
จวนติ้งอันโหวมีบุตรชายเป็นวรยุทธ์แค่คนเดียวมิใช่หรือ ท่านชายที่เหลือว่ากันว่าไม่เป็นวรยุทธ์ ถึงขั้นท่านชายสี่คนเล็กสุดท้องป่วยตั้งแต่เด็กด้วย
“ไอ้หยา! เหมือนว่าคนนั้นจะเป็นกู้เฉิงเฟิงนะ!”
ยามนี้ นักเรียนในสำนักบัณฑิตชิงเหอคนหนึ่งจำเพื่อนร่วมชั้นตัวเองได้
บังเอิญยิ่ง กู้เฉิงหลินก็ยืนอยู่ข้างเขา
ได้ยินว่าท่านปู่กับพวกพี่ชายจะกลับมา รออยู่ที่บ้านไม่ไหวจึงได้ล่วงหน้ามารอต้อนรับที่ประตูเมือง เขารู้ว่าพี่รองก็ไปชายแดนด้วย แต่เขาไม่คิดว่าพี่รองจะไปรบ
เขานึกว่าพี่รองเป็นห่วงท่านปู่จึงได้ไป เดิมก็ช่วยอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ
“สวรรค์…เฉิงหลิน เอ่อ…คือว่า…คงไม่ใช่พี่รองเจ้าจริงๆ หรอกกระมัง” นักเรียนสำนักบัณฑิตชิงเหอดึงแขนเสื้อกู้เฉิงหลิน เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
อีกฝ่ายมีกลิ่นอายสังหารและองอาจชวนให้ตื่นตะลึง ซึ่งแตกต่างราวกับคนละคนกันกับกู้เฉิงเฟิงคนก่อน
ไม่ ไม่…ไม่มีทางเป็นกู้เฉิงเฟิงหรอก ตนตาฝาดไปแน่ๆ กู้เฉิงเฟิงไม่ได้เก่งกาจเพียงนี้เสียหน่อย
เพื่อนร่วมชั้นจำไม่ได้ แต่กู้เฉิงหลินไม่มีทางจำผิด
ทหารหนุ่มที่มีสิทธิเดินกับพี่ใหญ่เขาได้รับการแซ่ซ้องจากปวงชนคือพี่รองของเขาชัดๆ!
กู้เฉิงหลินสะเทือนใจยิ่งนัก
ที่แท้พี่ใหญ่กับพี่รองก็เก่งกาจกันถึงเพียงนี้ มีแค่เขาที่ไร้ประโยชน์…