สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 532 ตบหน้า
บทที่ 532 ตบหน้า
ตำหนักปี้สยาอยู่ใกล้กับตำหนักเหรินโซ่ว เว่ยกงกงจึงส่งเสี่ยวจิ้งคงกลับตำหนักเหรินโซ่วก่อน จากนั้นค่อยพาฉินฉู่อวี้ที่กำลังน้อยใจไปยังตำหนักคุนหนิง
ฉินฉู่อวี้พอเห็นเซียวฮองเฮาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปในฐานะที่ตัวเองเป็นเจ้าหนูน้อยอกสามศอก
เซียวฮองเฮาเห็นเขาน้ำตาร่วงเผลาะลงมานางยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงโอบโอรสเข้ามาหา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้เขา พลางถาม “เกิดอะไรขึ้นรึ”
ฉินฉู่อวี้ร้องไห้จนหายใจไม่ทัน
เซียวฮองเฮาจึงมองไปยังเว่ยกงกง
เว่ยกงกงจำต้องเล่าเรื่องราวให้ฟัง “…องค์ชายเจ็ดบอกว่าคุณชายเสียนเอ๋อร์ผลัก คุณชายเสียนบอกตัวเองไม่ได้ผลัก เด็กคนนั้น…เพิ่งจะเสียพ่อ ซ้ำยังพิการ ขาสองข้างขาด ฝ่าบาทจึงทำใจตำหนิเขาไม่ได้ จึงให้บ่าวพาองค์ชายเจ็ดกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำดังกล่าวเอ่ยได้อย่างมีฝีมือยิ่ง ทำคนฟังรู้สึกว่าไม่ใช่ฝ่าบาทไม่เชื่อฉินฉู่อวี้ เพียงแต่เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก ซ้ำยังเป็นแขก ฝ่าบาทจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงตำหนิเขา
เซียวฮองเฮาถอนหายใจ “เอาละ หยุดร้องเสีย”
“เขาผลักข้า! ข้าไม่ได้โกหก…” ฉินฉู่อวี้ร้องหนัก
“เอาละ เอาละ เอาละ เขาผลักเจ้า แม่เชื่อเจ้า” เซียวฮองเฮาปลอบโอรสอย่างปวดใจ
หลังจากเว่ยกงกงกลับไป ฉินฉู่อวี้ก็ร้องอยู่พักหนึ่งแล้วหลับไป
เซียวฮองเฮาสั่งให้ซูกงกงไปตำหนักปี้สยา มอบของขวัญให้องค์หญิงหนิงอัน ถือโอกาสดูเด็กคนนั้นด้วย
“ขากางเกงส่วนล่างว่างเปล่าเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
ซูกงกงรายงาน
เซียวฮองเฮามองโอรสที่หลับสนิท นางลูบหัวเขา ก่อนถอนหายใจช้าๆ “ทราบแล้ว ออกไปเถิด”
เมื่อก่อนเซียวฮองเฮาเรียกได้ว่าปรองดองกับองค์หญิงหนิงอันมากกว่าองค์หญิงซิ่นหยาง
นิสัยองค์หญิงหนิงอันร่าเริงสดใส เป็นสตรีที่แย้มยิ้มแล้วทำดวงใจคนอบอุ่นได้
เพียงแต่ไม่ได้พบกันนานหลายปี ทั้งคู่จึงเหินห่าง เซียวฮองเฮาอาจยังเป็นเซียวฮองเฮา แต่องค์หญิงหนิงอันไม่ใช่องค์หญิงน้อยใสซื่ออ่อนต่อโลกคนนั้นอีกแล้ว
หนิงอันในยามนี้เป็นสตรีผู้น่าสงสารที่สามีหักหลัง โอรสเพียงคนเดียวก็พิการ หากเซียวฮองเฮาถือสาหาความกับพวกเขาคงจะเสียศักดิ์ศรี หนำซ้ำยังจะทำให้ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงไม่พอพระทัยอีก
เซียวฮองเฮาขมวดคิ้วตรัส “ภายหน้าดูแลองค์ชายเจ็ดให้เข้มงวดหน่อย อย่าให้ไปตำหนักปี้สยาอีก วันนี้ก็เอาหมาตัวนั้นออกไปเลี้ยงเสีย อย่าให้องค์ชายเจ็ดเห็นอีก”
ซูกงกงขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
ทางด้านเสี่ยวจิ้งคงหลังจากกลับมาถึงตำหนักเหรินโซ่วแล้ว ก็กล่าวลาท่านย่าเพื่อจะกลับทันที
เพราะโตขึ้นอีกขวบแล้ว เขาคิดอย่างหนักแน่นว่าตัวเองสามารถเข้าออกอย่างอิสระเหมือนพี่เขยนิสัยไม่ดีได้แล้ว วันนี้เขาจึงนั่งรถม้าหลิวเฉวียนมาเอง
ขากลับก็นั่งรถม้าหลิวเฉวียนกลับ
เขาเป็นเจ้าหนูอกสามศอกที่อิสระแล้ว!
“ท่านย่า ขอตัวลาขอรับ!” เขาโบกมือน้อยๆ ให้
“ช้าก่อน” จวงไทเฮากลับคว้าเจ้าหนูน้อยกลับมา วางลงบนเก้าอี้ข้างกาย ถาม “ขาเจ้าเป็นอะไรรึ”
เสี่ยวจิ้งคง นี่ก็ถูกจับได้ด้วยหรือ
ข้าเดินได้ดีมากแล้วแท้ๆ!
“ไม่มีอะไรขอรับ แค่เจ็บนิดหน่อย” เสี่ยวจิ้งคงแบมือน้อยๆ พลางเอ่ย
จวงไทเฮาถอดรองเท้าเขาออก เผยหลังเท้าน้อยบวมเป่งออกมา จวงไทเฮาขมวดคิ้ว “ไปทำอะไรมา บวมหมดแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงซุกซน เดี๋ยวชนเดี๋ยวกระแทก เดี๋ยวล้มเดี๋ยวตกจนบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติ แต่นี่นานๆ ทีจะบวม
เสี่ยวจิ้งคงเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟังอย่างซื่อตรงและจริงใจ ผนวกกับความเห็นสุดท้ายของตัวเอง “…ดูเหมือนพี่ชายน้อยคนนั้นจะไม่ชอบเล่นกับคนอื่นเลย”
ฉินกงกงมองจวงไทเฮาอย่างเป็นห่วง
จวงไทเฮาปล่อยขากางเกงเสี่ยวจิ้งคงลง สวมรองเท้าให้เขาพลางเอ่ย“ไม่ชอบก็ช่างมัน ต่อไปนี้พวกเจ้าก็เล่นกันเอง”
“แต่เหตุใดเก้าอี้ของเขาถึงมีล้อด้วยเล่า” จนถึงตอนนี้เสี่ยวจิ้งคงก็ยังเอาแต่ห่วงเรื่องล้อ
เรื่องนี้ทำให้จวงไทเฮาเสียใจทุกคราที่นึกถึง ฉินกงกงจึงรีบเอ่ย “จิ้งคงเอ๋ย ข้าพาเจ้าไปนั่งชิงช้าข้างนอกดีกว่า”
“อื้อ…ก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงพื้น ใช้เท้าน้อยๆ ข้างหนึ่งกระโดดกระต่ายขาเดียวไป!
พวกนางกำนัลที่มีไหวพริบรั้งอยู่ในลานตำหนักเล่นเป็นเพื่อนเขา ส่วนฉินกงกงย้อนกลับมา เห็นจวงไทเฮาที่ดูแก่ชราและเหี่ยวเฉาขึ้นกว่าเดิมหลายปีภายในชั่วข้ามวัน จึงเอ่ยปลอบอย่างสงสาร “ไทเฮา ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจมากเลยพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้นมีร่างกายเช่นนี้ ยากจะเลี่ยงที่นิสัยจะแปลกประหลาดหน่อย ซ้ำยังเพิ่งจะเสียพ่อไป…ช่วยไม่ได้ที่จะเจ้าอารมณ์ อีกอย่างก็คือ กายพิการอย่างเขามาเห็นชายปกติสมบูรณ์ จึงมีแต่ความเสียใจ”
ฉินกงกงเข้าอกเข้าใจในจุดนี้ยิ่งนัก
เขาเป็นขันที ร่างกายก็พิการเช่นกัน อายุอานามป่านนี้แล้วสิ่งที่เขาควรคิดได้ย่อมคิดได้แล้ว สิ่งที่ควรยอมรับก็รับได้แล้ว ทว่าเมื่อก่อนเขาเห็นชายปกติสมบูรณ์ ใจก็เกิดความอิจฉา ชิงชัง ไม่พอใจและน้อยเนื้อต่ำใจเช่นกัน
หวงฝู่เสียนก็คงจะเป็นเช่นนี้กระมัง
ฉินฉู่อวี้จะโกหกหรือไม่ทั้งคู่ย่อมรู้ดีแก่ใจ
จวงไทเฮาหลับตาลง “ข้าเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวเรียกคนไปส่งจิ้งคงกลับด้วยนะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงขานรับ
ณ ตำหนักปี้สยา
ฮ่องเต้กลับไปตำหนักหวาชิงก่อน องค์หญิงหนิงอันกับหวงฝู่เยี่ยนนั่งอยู่ในห้องบรรทมที่กว้างขวาง สว่างไสวและสะดวกสบาย นางกำนัลทั้งหมดต่างถูกองค์หญิงหนิงอันไล่ออกมา มีเพียงเหลียนเอ๋อร์ที่รอรับใช้อยู่ข้างๆ
หวงฝู่เสียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ เล่นดอกไม้ในแจกันดอกหนึ่งอย่างใจลอย
องค์หญิงหนิงอันนั่งลงตรงข้ามเขา มองเขานิ่ง พลางเอ่ย “เสียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
“ข้าชอบ” หวงฝู่เสียนมองดอกไม้ในมือพลางเอ่ย
เหลียนเอ๋อร์มององค์หญิงของตัวเองอย่างหวาดกลัว
องค์หญิงหนิงอันถอนหายใจยาวเหยียด ข่มโทสะไว้ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หวงฝู่เสียน ที่นี่ไม่ใช่ชายแดน นี่คือวังหลวง เรื่องเล็กๆ ก็สามารถทำให้เจ้าหัวขาดได้”
หวงฝู่เสียนจิกกลีบดอกไม้ “อ๋อ อย่างนั้นหรือ ใครกล้าตัดหัวข้าข้ามหน้าข้ามตาฝ่าบาทกับไทเฮาได้”
องค์หญิงหนิงอันจ้องเขาอยู่นาน “หวงฝู่เสียน ไม่มีผู้ใดติดค้างเจ้า และฝ่าบาทกับไทเฮาก็ไม่มีทางเอ็นดูเจ้าตลอดไป ทางที่ดีเจ้าเก็บนิสัยแย่ๆ ของเจ้าไปเสีย รู้จักคุณค่าของความสุขในความโชคดีเสียบ้าง!”
หวงฝู่เสียนมององค์หญิงหนิงอันอย่างเหน็บแนม “แล้วถ้าข้าไม่ทำล่ะ จะส่งข้ากลับชายแดนหรือไม่ หรือจะจัดการข้าเหมือนกบฏเดนราชวงศ์ก่อน เอ๊ะ เกือบลืมไปเลย ท่านเป็นองค์หญิงแคว้นเจา ท่านสามารถทำลายสามีตัวเองได้อย่างชอบธรรม ลูกชายพิการแค่คนเดียวในสายตาท่านนับเป็นอะไรได้ ไม่สู้ทิ้งภาระอย่างข้าไปแต่เนิ่นๆ ดีกว่า จะได้เลือกสามีใหม่ได้!”
เพี๊ยะ!
องค์หญิงหนิงอันตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง!
หวงฝู่เสียนถูกตบจนหน้าหัน
เหลียนเอ๋อร์ตกใจจนหน้าถอดสี รีบไปกอดหวงฝู่เสียนไว้ เอ่ยกับองค์หญิงหนิงอัน “องค์หญิง! ท่านอย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ!”
“ไสหัวไป!” หวงฝู่เสียนไม่ซาบซึ้งใจเลยสักนิด ผลักเหลียนเอ๋อร์ออกอย่างไม่เกรงใจ
เหลียนเอ๋อร์โซเซสองสามก้าว ชนโต๊ะด้านหลังเข้าจนหลังช้ำ
นิ้วเรียวยาวของหวงฝู่เสียนปาดคราบเลือดตรงมุมปาก เขามองคราบเลือดนั้น มุมปากหยักยกขึ้น แววตาเป็นประกายเหน็บแนม “ตบได้ดีจริงๆ ท่านแม่ของข้า”
…
วันนี้กู้เจียวไปโรงหมอ
เถ้าแก่รองเห็นนางเข้าน้ำตาก็แทบจะไหลลงมารอมร่อ ไม่สนใจพวกหมอและคนไข้ในโถงใหญ่ ดึงมือกู้เจียวมาพินิจมองตั้งแต่หัวจรดเท้าทันที “เสี่ยวกู้ เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ รึ”
“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวบอก
“เจ้าโกหก! ป่วยหนักเพียงนี้ก็ไม่บอกข้าสักคำ! ซ้ำยังถูกราชบุตรเขยลักพาตัวไปอีก!”
คนที่โรงหมอก็ไปชายแดนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงนำข่าวกู้เจียวกลับมาได้ส่วนหนึ่ง อย่างเช่นกู้เจียวกลับจากเมืองหลิงกวนแล้วกักตัวเจ็ดวัน หมอซ่งจึงรู้เรื่องที่นางติดโรคระบาด
หมอซ่งไม่มีทางปิดบังเถ้าแก่รองอยู่แล้ว
แต่เรื่องที่ถูกราชบุตรเขยจับตัวไปหมอซ่งไม่ได้รู้เรื่อง
นางไม่ได้บอก
กู้ฉังชิงก็ไม่ได้บอก
นางไม่ได้บอกเพราะคร้านจะบอก กู้ฉังชิงไม่บอกก็เพราะคำนึงถึงชื่อเสียงของนาง กู้ฉังชิงเพียงเขียนรายงานตามความจริงไปในจดหมายที่ส่งให้ฝ่าบาท
เรื่องนี้นอกจากนางกับกู้ฉังชิงแล้ว มีแค่องค์หญิงหนิงอันและสาวใช้รวมถึงหมอถังเท่านั้นที่รู้
สายตากู้เจียวทอดผ่านโต๊ะยาไปตกบนร่างคนบางคนที่กำลังจัดยาให้คนไข้อยู่
หมอถงคล้ายรู้สึกได้ถึงสายตากู้เจียว จึงหันกลับมายิ้มแหยๆ ให้นาง พลางโบกมือไปมา “หมอกู้!”
ในฐานะที่หมอถงเป็นหนึ่งในขุนนางที่มีความดีความชอบช่วยองค์หญิงหนิงอัน เข้าเมืองหลวงครานี้เป็นเพราะฮ่องเต้จะประทานรางวัลต่อหน้าเขา
แต่เขาไม่ได้พักในศาลาพักม้าตระกูลหวง ดันจะมาโรงหมอช่วยงานเบ็ดเตล็ดโดยไม่รับค่าตอบแทนให้ได้
“หมอกู้!”
เขาจัดยาให้คนไข้เสร็จ ก็เดินไปหาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “วันนั้นเจ้าไล่กองทัพให้ล่วงหน้าไปก่อน ข้าก็เอาแต่เป็นห่วงเจ้า”
“อืม” กู้เจียวขานรับนิ่งๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
หมายถึงเรื่องที่เขาช่วยงานเบ็ดเตล็ดโดยไม่รับเงินเดือน
หมอถงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก!”
เขาเหลือบไปมองด้านหลังกู้เจียว
กู้เจียวรู้ว่าเขากำลังมองอะไร จึงเอ่ย “อยู่ในตะกร้า”
หมอถงดวงตาเป็นประกาย
กู้เจียวเอ่ยต่อ “ไม่ให้เจ้าลูบหรอก”
หมอถง “…”
ปีใหม่ทั้งที คนไข้ที่มาหาหมอจึงไม่เยอะ และไม่มีโรคที่รักษายากอะไรให้กู้เจียวต้องไปจัดการ
ตอนบ่ายกู้เจียวจึงไปเรือนของหลิ่วอี้เซิง
วันส่งท้ายปีนางไม่ได้ไปหา แต่วันปีใหม่วันที่หนึ่งนางไปหามาแล้ว แต่หลิ่วอี้เซิงไม่อยู่ อาหนูกับแม่นมสูงวัยก็ไม่อยู่
กู้เจียวเคาะประตูใหญ่บ้านตระกูลหลิวอีกครั้ง
ที่น่าตกใจก็คือ ยังคงไม่มีใครตอบกลับมา
“ไม่มีคนอยู่อีกแล้วหรือ ออกไปอีกแล้ว หรือว่าหลายวันมานี้ไม่มีใครอยู่เลย”
กู้เจียวเงียบฟังการเคลื่อนไหวด้านใน หลิ่วอี้เซิงมีฐานะพิเศษ คนมากมายในเมืองหลวงอยากรังแกเขา กู้เจียวไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องกับเขาหรือไม่ มือซ้ายคว้าต้นไม้ ออกแรงปีนกำแพง
ในลานเรือนมีหิมะสะสม ไม่มีรอยเท้าแปลกๆ
ประตูเรือนลงกลอนจากด้านใน ด้านนอกไม่ได้ลงกลอนไว้ แต่หากทะลุผ่านห้องโถงไปยังประตูหลังก็จะพบว่าประตูหลังลงกลอนจากด้านนอก
ดังนั้นพวกเขาออกไปกันจริงๆ
ภายในห้องมีฝุ่นเกาะนิดหน่อยแล้ว แต่ก็ไร้ร่องรอยการต่อสู้เช่นกัน
กู้เจียวตัดความเป็นไปได้ที่หลิ่วอีเซิงจะถูกคนลักพาตัว
นางครุ่นคิด สุดท้ายก็หยิบสมุดเล่มเล็กทิ้งข้อความไว้ให้เขาแผ่นหนึ่ง ให้เขากลับมาแล้วไปหานางที่โรงหมอ นางมีบางอย่างจะให้เขา
กู้เจียวออกจากลานบ้านด้านหลังของหลิ่วอีเซิง ก่อนจะไปที่สมาคมหมากรุกชิงฮวน
นางไม่ได้ไปเพื่อเล่นหมากรุก แต่จะไปหาขอทานเฒ่าที่อยู่ละแวกนั้น
ตอนแรกนางรีบร้อนจากไป ไม่ได้กล่าวลากับขอทานเฒ่า และไม่รู้ว่าหมู่นี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง
นางไล่หาไปตามถนนที่ขอทานเฒ่าเคยเคลื่อนไหว แต่ก็ไร้เงาขอทานเฒ่า
ทันใดนั้น มีบัณฑิตคนหนึ่งเดินออกมาจากสมาคมหมากรุกชิงฮวนที่อยู่ตรงข้าม นางจึงเรียกอีกฝ่ายไว้ “พี่ชาย รบกวนถามหน่อย เจ้าเคยเห็นขอทานผู้เฒ่าที่อยู่ตรงข้ามสมาคมหมากรุกหรือไม่”
กู้เจียวชินกับการแต่งตัวเป็นชายตอนอยู่ชายแดนแล้ว วันนี้ออกจากบ้านจึงแต่งเป็นชายเช่นกัน
อยู่กับกู้เฉิงเฟิงมาสามเดือน เรียนรู้การเลียนเสียงไปไม่น้อย ไพเราะอย่างยากจะอธิบาย เสียงเด็กหนุ่มของนางยังพอจะหลอกคนนอกได้อยู่บ้าง
บัณฑิตมีวิชาความรู้อยู่พอสมควร ไม่ได้ตกใจกับใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ จึงบอกไปด้วยน้ำเสียงที่ดี “อ้อ เจ้าหมายถึงคนผู้นั้นน่ะรึ เขาไปแล้ว!”
“ไปแล้วอย่างนั้นรึ” กู้เจียวตกใจเล็กน้อย
“ใช่น่ะสิ ข้าไม่เห็นเขามาสองเดือนกว่าแล้ว! ถ้าไม่ไปแล้วจะเป็นอะไรได้อีก อ๊ะ ก็อาจจะ…” บัณฑิตปิดปากไว้ คล้ายนึกขึ้นได้ว่าปีใหม่เช่นนี้ไม่ควรพูดสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ประโยคท้ายจึงเลือกข้ามไป แล้วเอ่ย “เขาอายุอานามมากแล้ว ปีนี้เมืองหลวงหิมะตกหนักถึงเพียงนี้ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่”
“อืม”
กู้เจียวเข้าใจ
อากาศหนาวพื้นเย็นเฉียบเพียงนี้ ขอทานสูงวัยไร้ที่พึ่งพิง อาจจะแข็งตายบนถนนในค่ำคืนใดคืนหนึ่งที่อากาศหนาวเข้ากระดูกก็ได้
นี่เป็นการคาดเดาของบัณฑิตคนนี้
ไม่ใช่ของกู้เจียว
ขอทานเฒ่าหาเงินเป็น เขาไม่มีทางหิวตายและแข็งตายหรอก
แน่นอนว่าไม่ตัดอุบัติเหตุกับเจอภัยออก
“คงไม่ซวยขนาดนั้นกระมัง”
กู้เจียวพึมพำ
“เจ้าว่าอะไรนะ” บัณฑิตถาม
กู้เจียวบอก “ไม่มีอะไรหรอก ขอบคุณมาก ขอตัวก่อน”
“นี่…” บัณฑิตเรียกนางไว้ไม่ได้ เขาเกาหัวอย่างงุนงง “แปลกเสียจริง นึกไม่ถึงว่าปีใหม่เช่นนี้จะมีคนมาถามข่าวคราวขอทานคนหนึ่ง จะว่าไปแล้ว เหมือนว่าขอทานคนนั้นจะเล่นหมากรุกเป็นจริงๆ ซ้ำยังชนะนักพรตเขาเม่าซานแห่งสมาคมหมากรุกชิงฮวนด้วย”
“จิ๊ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า”
บัณฑิตคนนั้นส่ายหน้า กระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดแล้วเดินทะลุผ่านถนนที่มีหิมะและน้ำแข็งเกาะอยู่
…
ความบังเอิญบนโลกนี้ช่างประหลาดนัก เมื่อมีอยู่ก็อยู่อย่างนั้น เมื่อไม่อยู่ก็หายลับราวกับนัดไว้
กู้เจียวเดินไปบนถนนอันเงียบงันอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองและคึกคักที่สุดของแคว้นเจา ทว่าถนนหนทางในวันปีใหม่ก็ยังคงว่างเปล่า
นานๆ ทีจะมีรถม้าขับผ่านข้างกายกู้เจียวไปสักคันหนึ่ง
กู้เจียวไม่ได้ใส่ใจ นางเอาแต่เดินไปข้างหน้า
ทว่าเมื่อผ่านตรอกสายหนึ่ง อีกฝั่งของตรอกกลับมีเสียงจอแจลอยมา
กู้เจียวปรับสายตามองไป เป็นทางไปหอเซียนเล่อ
กู้เจียวไม่ค่อยคุ้นเคยกับหอเซียนเล่อนัก แต่เพื่อตรวจสอบบางอย่างจึงเคยไปอยู่ไม่กี่ครา
จิ้งไท่เฟยน่าจะเป็นเจ้าของหอเซียนเล่อ หลังจากที่จิ้งไท่เฟยสิ้นพระชนม์ กู้เจียวก็ไม่ได้จับตามองหอเซียนเล่ออีกเลย
แต่หอเซียนเล่อจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันล่ะ
กู้เจียวชะงัก สุดท้ายก็เดินไปหอเซียนเล่อ