สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 533 ไถ่ให้
บทที่ 533 ไถ่ให้
ด้านนอกหอเซียนเล่อถูกชาวบ้านเบียดล้อมจนแออัด
ปีใหม่เช่นนี้ มีชาวบ้านมามากมายถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นด้านในแน่นอน
ละแวกนี้มีรถม้าของทางการจอดอยู่หลายคัน เมื่อมองสัญลักษณ์รถแล้ว มีเค้าคล้ายของเจ้ากรมการพระนครอยู่
สามารถทำให้ขุนนางใหญ่สองคนมาที่นี่ได้ กู้เจียวให้คะแนนระดับของเรื่องนี้สูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น
“เอ่อ พี่ชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหอเซียนเล่อรึ”
เด็กหนุ่มอายุพอๆ กับกู้เจียวที่มาดูความคึกคักเอ่ยถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ อย่างมีมารยาท
ชายวัยกลางคนชะเง้อคอมองในหอเซียนเล่อ มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง จึงถอนหายใจอย่างผิดหวัง หันกลับมาบอกเด็กหนุ่ม “ได้ยินว่ามีคนตายล่ะ!”
“คะ…คนตายอย่างนั้นรึ” เด็กหนุ่มตกใจยกใหญ่
ปีใหม่เช่นนี้ คำนี้มันช่างอัปมงคลนัก พักใหญ่ๆ เด็กหนุ่มจึงเปล่งเสียงเอ่ยเต็มๆ ได้
“ใคร…ตายหรือ” เด็กหนุ่มถาม
พูดไปแล้วหนหนึ่ง หนที่สองคล้ายจะไม่ยากเพียงนั้นแล้ว
กู้เจียวที่เดิมทีไม่สนใจบทสนทนาของทั้งคู่ จนกระทั่งเมื่อนางได้ยินชายวัยกลางคนเอ่ย “บุปผาแห่งหอเซียนเล่อน่ะสิ!”
หากนางจำไม่ผิดละก็ บุปผาแห่งหอเซียนเล่อหน้าตาคล้ายม่อเชียนเสวี่ย
กู้เจียวไม่ค่อยได้เจอม่อเชียนเสวี่ยเท่าใดนัก ครั้งแรกม่อเชียนเสวี่ยบอกที่อยู่ของมือสังหารที่ลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้แก่นาง ครั้งที่สอง ม่อเชียนเสวี่ยบอกนางว่าเจ้าของหอเซียนเล่อเป็นสตรี
จากนั้นนางไปเรือนนางฟ้าอีกก็ถูกแจ้งว่าม่อเชียนเสวี่ยรับคำสั่งให้จากไปแล้ว
หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้อยู่เมืองหลวงเลย
หรือจะเกิดเรื่องขึ้นกับม่อเชียนเสวี่ยจริงๆ
ตนแค่ไม่อยู่สามเดือน เมืองหลวงก็ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งต่างๆ ยังเหมือนเดิมมีเพียงแต่คนที่เปลี่ยนไปแล้ว
กู้เจียวเดินอ้อมมาประตูข้างของเรือนนางฟ้า ก่อนกระโดดเข้าไปอย่างผ่อนคลาย
กำแพงของหอเซียนเล่อสูงกว่าเรือนปกติ หากเป็นเมื่อสามเดือนก่อน เกรงว่านางคงต้องออกแรงให้มากหน่อย ยามนี้กลับแทบไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด
ดูท่าศึกมากมายระหว่างสามเดือนในชายแดนจะไม่สูญเปล่า โดยเฉพาะศึกเทียนหลัง กระตุ้นศักยภาพนางได้ไม่น้อย
นางมั่นใจว่าตัวเองฟื้นฟูศักยภาพมากกว่าสามส่วนขึ้นไป
กู้เจียวเดินทะลุระเบียงที่แขวนโคมไว้ เดินตามเสียงมายังประตูหลังของห้องโถงใหญ่
ภายในห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยคนของเรือนนางฟ้าและขุนนางที่มาทำคดี กู้เจียวมองต้นมะเดื่อข้างกาย ก่อนจะปีนขึ้นไปนิ่งๆ หามุมที่เยี่ยมๆ แล้วนั่งลง
นางเห็นศพคลุมด้วยผ้าขาววางอยู่บนพื้น ข้างศพมีสาวใช้จำนวนหนึ่งคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ สาวใช้หนึ่งในนั้นที่ร้องได้เสียใจที่สุดกู้เจียวเคยเห็นว่าอยู่ข้างกายม่อเชียนเสวี่ย
ชื่ออะไรกู้เจียวจำไม่ได้แล้ว แต่ที่มั่นใจได้ก็คือนางเป็นคนสนิทของม่อเชียนเสวี่ย
“คุณหนู…คุณหนู…”
นางฟุบอยู่บนศพร้องไห้ยกใหญ่
เจ้ากรมการพระนครที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเอ่ย “เอาละ เอาละ เจ้าหยุดร้องก่อน รีบให้ความร่วมมือพวกเราสืบคดีดีกว่า จะได้หาตัวคนร้ายที่ฆ่าคุณหนูของเจ้าเจอโดยไว และทำให้คุณหนูเจ้าไปสู่สุคติในน้ำพุเหลือง”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็ยืดตัวขึ้นจากศพ ยกมือขึ้นชี้ไปทางบรรดาสตรีของหอเซียนเล่อ “เป็นนาง! นางเป็นคนฆ่าคุณหนูของข้า!”
จากมุมของกู้เจียวไม่เห็นว่าสตรีที่สาวใช้ชี้นั้นเป็นใคร แต่พอนางเอ่ยขึ้น กู้เจียวก็ฟังออกทันที
“กินของมั่วซั่วน่ะได้! แต่อย่าได้มาพูดจามั่วซั่ว! ตาข้างไหนของเจ้ามันเห็นว่าข้าฆ่าพี่เชียนเสวี่ยเล่า!”
เป็นฮวาซีเหยา
สตรีที่พอจะมีตำแหน่งในหอเซียนเล่อ แต่ไหนแต่ไรมากลับสู้ม่อเชียนเสวี่ยไม่ได้เลย
กู้เจียวจำได้ว่ามีคราหนึ่งฮวาซีเหยาพานางไปห้องตัวเอง แล้ววางยาเสน่ห์ชนิดหนึ่งที่ไม่มีผลอะไรกับนางเลยให้ ผลสุดท้ายม่อเชียนเสวี่ยมาถึง แล้วตบหน้าฮวาซีเหยาไปฉาดหนึ่งต่อหน้าธารกำนัล
สาวใช้เอ่ยฟ้องทั้งน้ำตา “นางนั่นแหละ! ข้าได้ยินกับหูเลย!”
ฮวาซีเหยาไม่เหลือบตาขึ้นสักนิด “เจ้าได้ยินอะไรมาล่ะ”
สาวใช้ถลึงตาใส่นางอย่างทนไม่ไหว “ได้ยินว่าเจ้าจะฆ่าคุณหนูของข้าน่ะสิ! ไม่ใช่แค่ข้าได้ยินนะ พวกหงอวี้นางก็ได้ยินเช่นกัน! ไม่เชื่อก็ให้ท่านขุนนางไปถามพวกนางได้เลย!”
เจ้ากรมการพระนครกับรองเสนาบดีกรมหลี่แห่งกรมยุติธรรมมองสาวใช้ชี้พวกแม่นางสองสามคน พวกนางพากันบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น ท่าทางหมดหนทางจะแย้งได้
ดูท่าจะได้ยินจริงๆ
ใต้เท้าสองคนส่งสายตาแลกเปลี่ยนกันไปมา
ฮวาซีเหยาแค่นเสียงเอ่ย “ข้าแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้เลยหรือไร”
สาวใช้หันไปมองเจ้ากรมการพระนครกับรองเสนาบดีกรมหลี่แห่งกรมยุติธรรม “ใต้เท้า! เป็นนางจริงๆ เจ้าค่ะ!”
เจ้ากรมการพระนครถาม “เจ้าได้เห็นนางฆ่าคุณหนูเจ้ากับตาหรือไม่”
“เอ่อ…ไม่เจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้า
ฮวาซีเหยาหัวเราะอย่างเอาแต่ใจ
เจ้ากรมการพระนครขมวดคิ้ว ทางการไม่ควรจัดการคดีด้วยอารมณ์ แต่ท่าทางของฮวาซีเหยานางนี้ก็ช่างอวดดีเหลือเกิน
เขามองฮวาซีเหยา “เจ้าเอ่ยเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด แล้วเหตุใดจึงได้เอ่ยเช่นนั้น”
ฮวาซีเหยามองผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนเอ่ยอย่างสบายๆ “น่าจะเมื่อสองวันก่อน ม่อเชียนเสวี่ยชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นนัก อาศัยว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งของหอเซียนเล่อมาทำตัวอันธพาลต่อเหล่าพี่น้อง”
สาวใช้เอ่ยเสียงดัง “เจ้าเหลวไหล! คุณหนูข้าไม่เคยทำ!”
ฮวาซีเหยายิ้มเย็นมองนาง “ใต้เท้าถามข้า หาได้ถามเจ้าไม่”
สาวใช้โมโหจนหน้าแดงลำคอพอง
ฮวาซีเหยาเอ่ยต่อ “ม่อเชียนเสวี่ยถูกใจเครื่องประทินโฉมของข้า จะให้ข้ามอบให้นาง แต่ข้าไม่ให้ นางจึงมาแย่งไป ข้าตักเตือนนางว่าท่านเจ้าของไม่อยู่แล้ว คิดว่าจะมีใครให้ท้ายนางอยู่อีกหรือ ผลสุดท้ายนางก็ตีข้า หากไม่เชื่อท่านใต้เท้าทั้งสองก็ดูนี่”
ฮวาซีเหยาเอ่ยพลางถลกแขนเสื้อขวาตัวเองขึ้น เผยให้เห็นข้อมือและแขนขาวนวล บนนั้นมีรอยเขียวช้ำอยู่สองสามรอย
ถ้าเหล่าขุนนางดูจะผิดจริยะ เรื่องการตรวจสอบรอยแผลควรให้ขุนนางชันสูตรศพและหมอมาดูโดยเฉพาะ
แต่ยามนี้ขุนนางชันสูตรยังมาไม่ถึง
รองเสนาบดีกรมยุติธรรมกับเจ้ากรมการพระนครจึงแสร้งสงบจิตสงบใจมองดูแวบหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
รองเสนาบดีกรมกระแอมในลำคอ ก่อนโบกมือเอ่ย “อะ…เอาล่ะ”
ฮวาซีเหยาปล่อยแขนเสื้อลงช้าๆ “นางตีข้าถึงเพียงนี้ ข้าเอ่ยถ้อยคำเหี้ยมโหดแค่สองคำ บอกว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่ฆ่านาง แต่ใต้เท้า ข้ายังไม่ทันได้ลงมือเลยนะเจ้าคะ นางก็ตายไปเสียแล้ว”
สาวใช้ทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว “เจ้ายังเล่นลิ้นอีก! เจ้าไม่ลงรอยกับคุณหนูข้ามาแต่ไหนแต่ไร! เจ้าฆ่าคุณหนูของข้ายังไม่ต้องพูดถึง ยังจะใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงคุณหนูข้าอีก! คุณหนูข้าไม่ได้ถูกใจเครื่องประทินโฉมเจ้าเสียหน่อย!”
ฮวาซีเหยาเอ่ยอย่างไม่ยี่หระเพราะถือว่าตนมีคนหนุนหลัง “ไม่เชื่อเจ้าก็ไปหามาสิ กล่องเครื่องประทินโฉมของคุณหนูเจ้ามีกล่องชาดของร้านอวี้หลานไจหรือไม่ ข้าไปซื้อที่ร้านอวี้หลานไจด้วยตัวเองเลย เถ้าแก่ที่ขายรู้ดีว่าข้าซื้อคุณภาพใดไป เจ้าเอาชาดนี้ไปถามดูสิว่าเป็นกล่องที่ข้าซื้อหรือไม่! เจ้าอย่าบอกเชียวว่าคุณหนูเจ้าซื้อมาเอง นางเคยซื้อชาดจากร้านอวี้หลานไจหรือไม่เจ้ารู้ดีกว่าข้า เถ้าแก่ร้านอวี้หลานไจก็รู้ดี!”
สาวใช้พลันเถียงต่อไม่ได้ นางเอ่ยเบาๆ “ตะ…แต่นอกจากเจ้าแล้ว ใครจะเกลียดคุณหนูข้าจนถึงขั้นทำลายศพนางกัน”
ฮวาซีเหยาโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ เอ่ยเหน็บแนม “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูเจ้าไปล่วงเกินผู้ใดข้างนอกมาหรือไม่”
สาวใช้โมโหจนพุ่งไปข่วนนาง!
เจ้ากรมการพระนครมองฮวาซีเหยาอีกหน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าของหอเซียนเล่อไม่อยู่แล้วมันหมายความว่าอย่างไร”
ฮวาซีเหยาสีหน้าชะงักค้าง “…เจ้านายของพวกเราตายแล้วเจ้าค่ะ”
……
เมื่อกู้เจียวเดินออกมาจากหอเซียนเล่อ ฟ้าก็มืดลงแล้ว หิมะเล็กๆ โปรยปรายลงมา
ความคึกคักของหอเซียนเล่อยังไม่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งถนนหนทางในเมืองหลวง
กู้เจียวเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่คล้ายมีเสียงก้องสะท้อน ครุ่นคิดเรื่องของม่อเชียนเสวี่ย
นางเอาแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
“อื้อ…”
เสียงร้องฝืนข่มความเจ็บปวดลอยมาจากมุมมืด
ฝีเท้ากู้เจียวพลันชะงัก สัญชาตญาณของนักฆ่าบอกว่า อีกฝ่ายไม่ได้สร้างความขู่ขวัญใดๆ ให้แก่นาง
นางไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
หากไม่ขู่ขวัญนางก็จะจากไป
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็ขมวดคิ้วเดินกลับมา
นางเข้าไปในมุมมืดนั้น เห็นเงาร่างบอบบางขดตัวอยู่กลางพื้นหิมะ ด้านล่างเป็นรอยเลือดที่แข็งตัวนานแล้วกองหนึ่ง
กู้เจียวย่อตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง เลิกผมที่ปรกตรงใบหน้าอีกฝ่ายขึ้น “ม่อเชียนเสวี่ยรึ”
ณ โรงหมอ
คนไข้คนสุดท้ายกลับไปแล้ว เถ้าแก่รองจึงเตรียมจะปิดร้าน แต่ในขณะนั้นเอง เงาร่างน้อยๆ สวมอาภรณ์สีครามอุ้มสตรีเลือดท่วมตัวคนหนึ่งสาวเท้าก้าวยาวๆ ดุจดาวตกเข้ามา
เถ้าแก่รองเกือบโดนชนเข้า เขารีบเร้นกายหลบ มองไปทางผู้มาใหม่ พร้อมกับส่งเสียงตกใจออกมา “เสี่ยวกู้ เอ๋ะ นางเป็นใครรึ”
“เตรียมน้ำร้อนที!”
กู้เจียวทิ้งไว้ประโยคเดียวก็อุ้มม่อเชียนเสวี่ยที่หายใจรวยรินกลับเรือนน้อยของตัวเอง
“ช้าก่อน…” เถ้าแก่รองมองตามทางที่นางจากไปด้วยความมึนงง “คนไข้อะไรกันน่ะ ซ้ำยังพาไปเรือนตัวเองอีก”
เมื่อเถ้าแก่รองให้คนต้มน้ำไปส่ง กู้เจียวก็วางม่อเชียนเสวี่ยลงบนเตียงผ่าตัดในห้องปีกข้างแล้ว
“ให้ช่วยหรือไม่” เถ้าแก่รองถาม
กู้เจียวเปิดกระเป๋ายาใบน้อย หยิบถุงมืออกมา “หมอซ่งอยู่หรือไม่”
นางต้องการผู้ช่วยสักคน
เถ้าแก่รองเอ่ย “ไม่อยู่ เขากลับไปแล้ว ให้เรียกเขามาหรือไม่”
กู้เจียวมองมาตรวัดความดันโลหิตที่ลดลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว “ไม่ทันแล้ว”
เสียเลือดอย่างรุนแรง ซ้ำยังมีภาวะปอดบวมในช่องท้อง อาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ต้องทำการผ่าตัดทันที
“ข้าๆๆ ข้าอยู่!”
หมอถงวิ่งเหยาะๆ มาหา เขายืนนิ่งอยู่นอกประตู “ขะ…ข้าเข้าไปช่วยได้หรือไม่”
กู้เจียวพยักหน้า หยิบเข็มหนาออกมา นิ้วคลำหน้าอกม่อเชียนเสวี่ย หากระดูกไหปลาร้าของช่องว่างระหว่างซี่โครงที่สอง และแทงลงไปด้วยเข็มเดียว!