สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 540 คนเบื้องหลัง
บทที่ 540 คนเบื้องหลัง
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องพูดมันให้เปลืองน้ำลายเปล่าหรอก ไหนๆ มันก็ใกล้ตายแล้ว จะให้มันรู้เยอะไปทำไมกัน”
“ก็จริง คนอย่างมันไม่คู่ควรที่จะได้รู้จักชื่อของนายน้อย”
คนที่เป็นหัวหน้าชายชุดดำโพล่งหัวเราะ พร้อมกับหันไปทางชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ “กำจัดมันให้สิ้นซาก”
“วางใจได้เลยลูกพี่ พวกเรารู้งานอยู่แล้ว เจ้านี่มันสู้ไม่เป็น จะตายสภาพไหนก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอยู่แล้ว!”
พวกชายชุดดำเปล่งเสียงหัวเราะยกใหญ่พร้อมกับหันไปทางเซียวเหิง
เบื้องหน้าเซียวเหิงคือพวกชายชุดดำ ข้างหลังเป็นหน้าผา เขามีทางเลือกแค่สองทาง จะถูกพวกมันฆ่า หรือจะยอมโดดหน้าผา
“โดดสิ”
หนึ่งในชายชุดดำเย้ยหยัน
ความสูงของหน้าผาประมาณนี้ หากเป็นคนมีกำลังภายในอาจพอหาหนทางรอดได้บ้าง แต่สำหรับขุนนางสำนักฮั่นหลินเช่นเขาอย่างไรก็คงไม่รอด
พวกชายชุดดำไม่เชื่อว่าเซียวเหิงจะกระโดดลงไป แล้วก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่ได้กระโดด
พวกมันย่างเท้าเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะอันเย็นชา ขณะที่พวกเขาอยู่ห่างไปแค่ราวสิบเก้า จู่ๆ เซียวเหิงก็คว้าอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าแล้วขว้างใส่พวกเขา
พวกเขาคิดว่าเป็นอาวุธอะไรบางอย่าง จึงรีบร่นถอย!
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว พอก้อนดำๆ พวกนั้นกระทบลงพื้นก็เกิดระเบิดขึ้น!
พวกชายชุดดำสะดุ้งโหยงวงแตกกันคนละทิศละทาง!
คนเป็นหัวหน้าชายชุดดำพอเห็นดังนั้นก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กว่าจะรู้ตัวว่าต้องลงมือกำจัดเซียวเหิง ก็ถูกก้อนดำๆ ที่เซียวเหิงควักออกมาระลอกที่สองเล่นงานอีกครั้ง
“แย่แล้ว!”
ปัง!
ชายชุดดำหลบไม่ทัน และโดนระเบิดเข้าไปเต็มๆ
ลูกระเบิดที่กู้เจียวให้กับเซียวเหิงผสมตัวยาเหมิงฮั่นในลงไปเล็กน้อย แรงระเบิดไม่เทียบเท่ากับลูกดินประสิวล้วน แต่ก็เพียงพอที่ทำให้เกิดอาการมึนเมาได้
พอวางระเบิดเสร็จ เซียวเหิงก็รีบวิ่งไปหาเจ้ากรม
เขาเพิ่งตกลงมาจากเนินเขา โชคยังดีตรงที่บริเวณที่เขาตกลงมานั้นไม่สูงนัก จึงไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
ตอนที่เซียวเหิงพบร่างของเจ้ากรม ก็พบว่าแขนเขาหัก ขณะที่ขายังเดินได้อยู่
เซียวเหิงเข้าไปประคองร่างของเขาขึ้น พร้อมกับหันไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ “ไปกันเถิด!”
เจ้ากรมเอามืออีกข้างกุมแขนข้างที่หักพร้อมก่นด่าอย่างเจ็บแค้น “พวกบ้านั่นเป็นใครกัน”
“ไม่แน่ใจขอรับ” เซียวเหิงเอ่ย
“เอาละ เอาละ มาถึงขนาดนี้ รอกลับไปที่เมืองหลวงก่อนเถิด ข้าจะสืบให้ถึงต้นตระกูลของพวกมันเลย!” เจ้ากรมฉุนขาด
ช่างกล้านัก
เจ้ากรมพูดอย่างจริงจัง “ลิ่วหลังเอ๋ย เจ้าอย่าได้กลัวไป เราเป็นขุนนาง เป็นข้าราชบริพาร เรารับเงินเดือนจากฮ่องเต้แล้วย่อมต้องช่วยพระองค์แบ่งเบาภาระ มีหรือจะไม่พบปัญหาเล็กน้อยในการทำงาน ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งรีบยอมแพ้ไปก่อนล่ะ”
เซียวเหิงช่วยพยุงเขาพลางหาทางกลับเมืองหลวง “ข้าไม่คิดเช่นนั้นหรอกขอรับ”
เสี้ยนหนามแค่นี้เรียกได้ว่าจิ๊บจ๊อยมากสำหรับเขา นอกจากนี้แล้ว คนกลุ่มนั้นจงใจโจมตีเขาโดยตรง ไม่ได้เกี่ยวกับการงานของเขาแม้แต่นิด
สิ่งที่คนพวกนั้นทำลงไป ก็เพื่อต้องการต่อกรกับเขา ทุกอย่างเริ่มขึ้นตั้งแต่คดีฆาตกรรมในหอเซียนเล่อ พวกมันทั้งหมดคือเบี้ยบนกระดานหมากรุก
เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคนที่เป็นหัวหน้าพวกมันคือใคร แล้วมีความสัมพันธ์อะไรกับหอเซียนเล่อ
“ใต้เท้า หากพวกเราเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าขอไปที่หอเซียนเล่ออีกครั้งขอรับ”
“ได้สิ! แล้วแต่เจ้าเลย! ข้าเองก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในหอเซียนเล่อ!” เจ้ากรมเอ่ย
ทุกคนในเมืองต่างรู้ประวัติของหอเซียนเล่อ แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่หอเซียนเล่อจะปล่อยให้ใครขุดหลักฐานมามัดตัวพวกเขาได้ง่ายๆ หรือแม้กระทั่งสั่งปิดหอเซียนเล่อ
แต่แล้วอย่างไรเล่า ตัวการสำคัญหาใช่หอเซียนเล่อไม่ แต่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังหอเซียนเล่อต่างหาก!
เจ้ากรมแค่คิดก็ปวดฟันแล้ว!
“อ๋อ จริงสิ ข้าได้ยินเสียงประหลาดบางอย่างด้วย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ขณะที่พวกเขาเดินมาได้ระยะหนึ่ง เจ้ากรมก็เอ่ยถามกะทันหัน
ช่วงที่เจ้ากรมล้มไม่ได้สติ อีกทั้งจุดเกิดเหตุกับจุดที่เขาล้มลงไปมีระยะห่างประมาณหนึ่ง ทำให้เขาได้ยินไม่ชัดนัก เขาจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรืออะไร
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เซียวเหิงไม่ได้เอ่ยถึงลูกระเบิดแต่อย่างใด
ระเบิดแบบนี้มีเพียงแค่ที่แคว้นเยี่ยนเท่านั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากู้เจียวมีมันได้อย่างไร ในเมื่อเจ้ากรมเอ่ยแล้วว่าเขาไม่แน่ใจ เช่นนั้นก็ให้เขาไม่แน่ใจต่อไปเสียดีกว่า
“อ่อ จริงสิ แล้วพวกมันล่ะ” เจ้ากรมถามต่อ
“ข้าหาช่องโหว่หนีพวกมันออกมาได้พอดี แต่เกรงว่าอีกไม่นานพวกมันคงตามมาทัน พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่”
“เอ่อ…แล้ว ที่นี่มันที่ไหนล่ะ” เจ้ากรมเริ่มมีอาการหลงทิศ
เซียวเหิงชี้ไปทางข้างหน้าพลางเอ่ย “เดินไปทางทิศตะวันออกหนึ่งลี้ก็จะเจอหมู่บ้านริมคลอง พอผ่านหมู่บ้านไปก็จะเป็นจุดพักม้า พวกเราค่อยไปเช่ารถม้าที่นั่นกันขอรับ”
“เอ่อ” เจ้ากรมพยักหน้าอย่างมึนงง
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่กลับบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ท้ายที่สุด พวกมันก็ตามพวกเขามาจนทัน แต่ด้วยความที่เซียวเหิงคุ้นเคยกับเส้นทางกว่าจึงได้เปรียบ และสามารถหลบพวกมันได้
หลังจากที่รถม้าวิ่งผ่านประตูเมือง จู่ๆ เจ้ากรมก็เกิดนึกอะไรขึ้นได้พร้อมกับเอ่ยทัก “เจ้า…เจ้าเป็นคนโยวโจวมิใช่รึ เหตุใดถึงได้คุ้นเคยเส้นทางเมืองหลวงนัก!”
ถ้าไม่บอกก็นึกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนเมืองหลวงแต่กำเนิดเสียอีก!
ดูเหมือนพวกชุดดำจะไม่กล้าลงไม้ลงมือในอาณาเขตเมืองหลวง เส้นทางดูจะราบรื่นขึ้นหลังจากเข้ามาในเมืองหลวง ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เช่นก่อนหน้า
เจ้ากรมบาดเจ็บ เซียวเหิงเลยพาเขาไปส่งที่เมี่ยวโส่วถัง
“ลิ่วหลัง มาแล้วหรือ” เถ้าแก่รองทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มาหาเสี่ยวกู้รึ นางกำลังรักษาคนไข้อยู่ ประเดี๋ยวก็คงเสร็จ”
เซียวเหิงน้อมรับ ก่อนจะแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “ท่านผู้นี้คือเจ้ากรม แขนของเขาได้รับบาดเจ็บ วานเถ้าแก่รองไปตามหมอมาที”
เจ้ากรมอยุ่ในชุดขุนนาง แม้เถ้าแก่รองจะดูไม่ออกว่าเขามาจากกรมไหน แต่แวบแรกก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นขุนนางระดับสามขึ้นไปอย่างแน่นอน จึงรีบประสานมือคำนับ “ท่านใต้เท้า ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ! ข้าน้อยจะไปตามหมอมาให้ โปรดเชิญทางนี้เลยขอรับ”
เถ้าแก่รองพาเจ้ากรมไปที่ห้องผู้ป่วยที่ชั้นบน
ส่วนเซียวเหิงเดินไปลานท้ายโรงหมอ
เซียวเหิงรู้ว่ามีสตรีนางหนึ่งมาพำนักที่นี่ เขาไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามเกี่ยวกับงานของกู้เจียว เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าหญิงผู้นั้นพักอยู่ในห้องของกู้เจียว
พอเขาเปิดประตูเข้าไป ก็บังเอิญเจอกับหญิงผู้นั้นพอดี
ม่อเชียนเสวี่ยพยายามลองเดินหลังจากที่กู้เจียวออกไป พอเดินไปถึงบริเวณข้างโต๊ะ ก็เจอะกับเซียวเหิงที่เดินเข้ามาพอดี
เขาเห็นนาง และนางก็เห็นเขาเช่นกัน
นางสวมชุดของกู้เจียว ซึ่งชุดนั้นอยู่ในสภาพเรียบร้อย เขาไม่ได้เปิดประตูเข้ามาเจอนางในสภาพที่ไม่พร้อม เพียงแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ท่วงท่าการเดินของนางไม่เหมือนกับคนทั่วไป เซียวเหิงรู้ในทันทีว่านางคือผู้ป่วยคนหนึ่ง จึงรีบเบือนสายตาหนีแล้วเดินออกไป
ในตอนนั้นเอง หญิงผู้นั้นก็ตะโกนเรียกเขา “เจ้า หยุดก่อน!”
ฝีเท้าของเซียวเหิงชะงักลง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจหันไปทางม่อเชียนเสวี่ย
ว่ากันตามตรง ม่อเชียนเสวี่ยคือสตรีรูปงามชนิดที่ว่าทั้งเมืองหลวงแทบไม่มีผู้ใดงามสะดุดตาได้เท่านางแล้ว
ขนาดเถ้าแก่รองและพวกหมอในเมี่ยวโส่วถังยังออกอาการตะลึงตอนที่ได้ยลโฉมใบหน้าของนางเป็นครั้งแรก
ส่วนเซียวเหิงไม่ออกอาการใดๆ ยังคงนิ่งเฉย
แม้แต่แววตาของเขาก็มิได้ฉายแววตกใจหรือตะลึงแต่อย่างใด สายตาที่เขามองนางไม่ต่างอะไรกับที่มองคนแปลกหน้าทั่วไป
ม่อเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วโก่งจนเป็นปม “นี่น่ะหรือท่าทีของเจ้าตอนเจอข้า”
ประโยคนี้ทำเอาเซียวเหิงเหงื่อตก
ท่าทีของเขามันทำไมรึ
แล้วนางคิดว่าเขาต้องมีท่าทีแบบไหนกัน
เซียวเหิงมองค้อนอย่างฉงน
ม่อเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาพร้อมกับซ่อนอาการบาดเจ็บไว้
เซียวเหิงเดินถอยหลังหนึ่งก้าวขณะที่นางเดินเข้าใกล้เขาสามก้าว เห็นได้ชัดถึงความรังเกียจ
“เจ้าเป็นอะไรของเจ้า” ม่อเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
หากประโยคแรกเซียงเหิงยังไม่เข้าใจ เช่นนั้นประโยคต่อมาน่าจะพอทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น
คำที่นางเลือกใช้กับเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก
“เจ้า รู้จักข้ารึ” เซียวเหิงทำหน้าสงสัยพร้อมกับเอ่ยถาม
ม่อเชียนเสวี่ยชี้นิ้วไปที่ใต้ตาข้างขวาของเขา “เจ้าคิดว่าไม่มีไฝแล้วข้าจะจำเจ้ามิได้รึ แม้รูปร่างท่าทางของเจ้าจะไม่เหมือนเดิม แต่ข้าก็จำเจ้าได้อยู่ดี!”
คราวนี้เป็นเซียวเหิงที่ขมวดคิ้วแทน
เขาเคยมีไฝที่ใต้ตาขวาจริง หมายความว่านางรู้จักเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ
พอม่อเชียนเสวี่ยเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของเขา ก็เริ่มออกอาการไม่แน่ใจ “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึ”
เซียวเหิงไม่ตอบ
ม่อเชียนเสวี่ยถลึงตาใส่ “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วย! ก็ว่าคราวก่อนข้าเคยเจอเจ้าแถวๆ สำนักฮั่นหลิน ข้าอุตส่าห์ให้คนใช้ของข้าตามเจ้าไป แต่เจ้ากลับเมินใส่!”
แถวๆ สำนักฮั่นหลิน…คนใช้…
เซียวเหิงจำได้ว่ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ซ้ำยังถูกเชินเปี่ยนซิวเห็นเข้า จากนั้นก็เอาไปโพนทะนาว่าเขาไปมาหาสู่กับสตรีหอนางโลม
เซียวเหิงมองนางนิ่งๆ “วันนั้นคือเจ้าเองรึ”
ม่อเชียนเสวี่ยพยักหน้า “ก็ใช่สิ! ข้าเอง! ข้าน่ะจงใจโยนตราลงมาให้เจ้าเก็บ แต่เจ้าดันไม่เก็บเสียอย่างนั้น ตราของข้าถูกไอ้โง่ที่ไหนไม่รู้เก็บได้ แล้วเจ้านั่นก็เอาแต่ตามมาราวีข้าที่หอเซียนเล่อไม่ได้หยุดได้หย่อน!”
“หอเซียนเล่อรึ” นัยน์ตาเซียวเหิงไหววูบขึ้นมาทันใด
จะว่าไป เรื่องของเชินเปี่ยนซิวก็เกิดขึ้นใกล้ๆ กับหอเซียนเล่อจริงๆ ตอนนั้นพวกเขาสรุปมูลได้ว่าเชินเปี่ยนซิวบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเกี้ยวสตรีในหอเซียนเล่อ ซ้ำยังเข้าไปโดยที่ไม่มีตราและใช้วิธีลอบปีนกำแพงเข้าไปด้านใน จึงถูกทหารยามของหอเซียนเล่อลงโทษจนเสียชีวิต
เช่นนั้น สาเหตุการตายของเขามิใช่เพราะเขาทำตัวเป็นโจรจึงถูกลงโทษ แต่เป็นเพราะถูกสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้สังหารหรอกรึ
ม่อเชียนเสวี่ยไม่รู้ตัวว่าคำพูดของตัวเองส่งผลกระทบมากแค่ไหน นางยังคงพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเราได้เจอกันอีก ข้าจะบอกกับเจ้าว่าข้าคือใคร”
“เช่นนั้นรึ แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ” เซียวเหิงจ้องนางด้วยแววตาเย็นชาแกมสงสัย
ม่อเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วพร้อมฉีกยิ้ม “ข้าคือหญิงงามแห่งหอเซียนเล่อ ม่อเชียนเสวี่ย!”