สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 541 เซียวเหิงจอมเจ้าเล่ห์
บทที่ 541 เซียวเหิงจอมเจ้าเล่ห์
มีเรื่องใดจะพิสดารไปกว่าหญิงงามหอนางโลมที่ตายไปแล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
หากนางผู้นี้คือม่อเชียนเสวี่ยจริงๆ แล้วศพที่นอนอยู่หน้าศาลาว่าการนั้นคือใคร
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเหิงมั่นใจเต็มร้อยว่าเขาไม่เคยพบเจอกับม่อเชียนเสวี่ยมาก่อน เช่นนั้น นางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใครกันนะ
เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที หลากหลายความคิดปะปนยุ่งเหยิงอยู่ในหัวเซียวเหิง
ก้นบึ้งหัวใจของเขารู้สึกราวกับถูกบีบรัดจนตึงแน่น เหมือนเขากำลังจะเข้าใกล้ความจริงอะไรบางอย่าง
เซียวเหิงพยายามเก็บสีหน้าของเขา ไม่ยอมให้ใครอ่านเขาได้ง่ายๆ ก่อนจะสวมบททำเป็นรู้จักกับม่อเชียนเสวี่ย “แต่ข้าได้ยินมาว่าหญิงงามหอเซียนเล่อตายแล้วนี่นา”
“นั่นมันตัวปลอมต่างหาก” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างขอไปที
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ใครล่วงรู้ แต่ม่อเชียนเสวี่ยกลับพูดตรงหน้าเขาราวกับมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดบาปหรือร้ายแรงแต่อย่างใด
เซียวเหิงมองนางด้วยสายตานิ่งเฉย
“โอ๊ย ปวด ปวด ปวด เจ้าช่วยพยุงข้าทีสิ” ม่อเชียนเสวี่ยสูดปากพร้อมกับยื่นมือให้เขา เซียวเหิงไม่ขยับตัว จู่ๆ ม่อเชียนเสวี่ยทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบชักมือกลับ “ข้าทำเอง!”
นางค่อยๆ ขยับไปทางเก้าอี้แล้วหย่อนตัวลง พร้อมเอ่ยกับเซียวเหิง “จริงสิ เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด คราก่อนที่ข้าเจอกับเจ้า เจ้ายังเป็นขุนนางฮั่นหลินอยู่เลยมิใช่รึ เหตุใดคราวนี้ถึงไม่ใส่เครื่องแบบของสำนักฮั่นหลินแล้วล่ะ”
เซียวเหิง “ข้าทำงานที่กรมยุติธรรมแล้ว”
ม่อเชียนเสวี่ยอุทาน “กรมยุติธรรมรึ”
เซียวเหิงยังคงหน้านิ่ง “อืม วันนี้ข้าไปสืบคดีของเจ้ามาด้วยล่ะ ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าไม่ได้ตายจริง ข้าก็คงไม่ต้องลงแรงเช่นนี้”
ม่อเชียนเสวี่ยโบกมือปัดพร้อมเอ่ย “เจ้าก็ลองแกล้งๆ ตรวจสอบไปสิ ไม่ต้องจริงจังมาก ไม่เช่นนั้นเจ้าจะซวยไปด้วย”
เซียวเหิงเอ่ยถาม “แล้วข้าจะซวยด้วยเรื่องอันใด”
ม่อเชียนเสวี่ยถอนหายใจ “เฮ้อ เรื่องมันยาว ข้าเองก็รู้ไม่เยอะนัก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ชัดกับเจ้าอย่างไรดี”
แววตาเซียวเหิงเริ่มฉายประกาย “เกี่ยวกับนายน้อยของเจ้าที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ละสิ”
ม่อเชียนเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็ออกอาการตกใจ “เจ้ารู้จักนายน้อยด้วยรึ”
เซียวเหิงตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย “วันนี้ข้ากับท่านเจ้ากรมไปสืบคดีมา ระหว่างทางเจอคนตามไล่ฆ่าด้วย แถมพวกมันยังหลุดปากพูดถึงนายน้อยอะไรด้วย”
เซียวเหิงไม่ได้โกหก เพียงแต่เล่าไม่หมด เช่นเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วคนที่พวกมันหมายตาไว้คือตัวเขาเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสืบคดีแม้แต่นิด
เขาต้องการดูเชิงม่อเชียนเสวี่ยว่าที่จริงนางกำลังรับบทอะไรในกลุ่มคนพวกนั้น แล้วมีเบาะแสอะไรบ้างที่นางรู้อีก
“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม” แต่ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากนางกลับเป็นเช่นนี้
เซียงเหิงหลบตาลงพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไร แต่ท่านเจ้ากรมบาดเจ็บหนัก”
ประโยคนี้ของเขาทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายว่าคนพวกนั้นจงใจทำร้ายเจ้ากรม
ม่อเชียนเสวี่ยเบะปาก “เป็นเพราะพวกเจ้าสืบเรื่องของพวกมันเยอะเกินไปน่ะสิ พวกมันก็เลยขู่เตือนพวกเจ้าแบบนั้น ไม่อย่างนั้นป่านนี้เจ้าคงตายไปนานแล้ว ข้ารู้วิธีของเขา”
ดูเหมือนม่อเชียนเสวี่ยจะไม่รู้ว่าพวกมันหมายจะปลิดชีพเขา เช่นนั้นที่นายน้อยของนางวางแผนก่อคดีร้ายแรงเช่นนี้ขึ้นนั้นเพื่ออะไร
เซียวเหิงเก็บความสงสัยนี้ไว้ก่อน จากนั้นรินชาให้นาง พร้อมกับเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงแกล้งตาย”
“เพื่อจะฆ่าคนคนหนึ่ง” ท่าทีขอองนางเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยในทันที
เซียวเหิงพอได้ยินคำตอบ มือที่กำลังถือกาน้ำชาอยู่ก็พลันนิ่งลง เขากะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นรินชาให้ตัวเอง พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าจะฆ่าใครรึ”
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเบา “เจ้าของโรงหมอแห่งนี้”
เซียวเหิงกำกาน้ำชาแน่นจนน้ำชาสองหยดตกลงบนพื้นโต๊ะ
เขาวางถ้วยน้ำชาทับรอยที่เปื้อน และใช้น้ำเสียงนิ่งดังเดิมถามกลับ “เจ้าจงใจบาดเจ็บก็เพื่อได้เข้าใกล้นาง”
“อืม” ม่อเชียนเสวี่ยพยักหน้าเศร้าหมองของนาง
เซียวเหิงถามต่อ “เจ็บหนักขนาดนี้ ไม่กลัวตายรึ”
“ถ้าไม่เจ็บหนัก นางก็ไม่เชื่อสิ” ม่อเชียนเสวี่ยคิดเพียงว่าที่เขาถามนางเช่นนี้เพียงเพราะเห็นผ้าที่พันแผลไว้ ไม่ได้คิดว่าเขาจะรู้ว่านางเกือบตายในคืนนั้น
เซียวเหิงวางกาน้ำชากลับที่เดิม พยายามข่มจิตสังหารที่ปะทุเดือดตอนนี้ของตัวเอง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อนางเชื่อเจ้าแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ลงมือล่ะ”
ม่อเชียนเสวี่ยนิ่งไป
“เจ้ายังคิดจะฆ่านางอยู่ไหม” เขาถามต่อ
“ข้าไม่รู้” ม่อเชียนเสวี่ยตอบ
เซียวเหิงจิบชาหนึ่งจอกพลางเอ่ย “เจ้าพูดเองนี่ว่านายน้อยของเจ้าเป็นคนแบบไหน ไม่กลัวหรือว่าหากเขารู้เข้า เจ้าจะเจอกับบทลงโทษอะไร”
ม่อเชียนเสวี่ยถอนหายใจหนัก
“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงข้าเลย พูดถึงเจ้าบ้างดีกว่า ตำแหน่งของเจ้าคืออะไรรึ”
“ซื่อตู๋แห่งสำนักฮั่นหลิน กับผู้ช่วยในกรมยุติธรรม”
“เจ้าชื่ออะไรนะ”
“เซียวลิ่วหลัง”
“อ้อ” ม่อเชียนเสวี่ยขานตอบ พลางนึกในใจว่าชื่อนี้ดูไม่เท่ห์เท่าใดนัก “เช่นนั้น…เจ้ามาทำธุระของเจ้าเรียบร้อยหรือยังล่ะ”
เซียวเหิงตอบหน้านิ่ง “กำลังทำอยู่”
“ธุระอะไรบอกหน่อยสิ” ม่อเชียนเสวี่ยพยายามชวนคุย
เซียวเหิงกะพริบตาเล็กน้อยพร้อมกับตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ถ้าเสร็จธุระแล้วจะบอก”
“ไม่สนุกเลย” ม่อเชียนเสวี่ยเบ้ปาก
เซียวเหิงทำได้เพียงจิบชาเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์โกรธข้างใน
ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยถามขณะที่นึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ อาการป่วยของเจ้าดีขึ้นหรือยัง”
เซียวเหิงนิ่งไปพักหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะนางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนอื่น เขาคงคิดว่านางกำลังถามถึงขาของเขา
“ดีขึ้นแล้ว” เขาตอบ
ม่อเชียนเสวี่ยตะลึง “รักษาให้หายได้ด้วยรึ แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงคิดสั้น”
เซียวเหิงเกือบจะไปต่อไม่ถูก “…ข้าหลอกเจ้าก็ยังจะเชื่ออีกรึ”
“กะแล้วเชียว ก็ว่าทำไมตอนนั้นเจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนที่จะคิดสั้นเสียหน่อย” ม่อเชียนเสวี่ยเอ่ยพร้อมกับพยักหน้า
เสียงของเถ้าแก่รองดังขึ้นจากห้องโถงใหญ่
ม่อเชียนเสวี่ยรีบไล่เขา “เจ้ารีบออกไปเถอะ ประเดี๋ยวเจ้าของโรงหมอคงมาแล้ว ถ้านางมาเห็นว่าเจ้าอยู่ที่นี่คงไม่ดีแน่!”
เซียวเหิง ‘…ขอบใจนะ แต่นั่นภรรยาข้าเองน่ะ’
ม่อเชียนเสวี่ยกำชับเขา “นอกจากนี้ เจ้าห้ามไปบอกใครว่ารู้จักข้าเป็นอันขาด ถ้าเรื่องหลุดออกไปถึงหูของนายน้อย ข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกฆ่าปิดปาก”
ขณะเซียวเหิงกำลังคิดหาทางวกกลับเข้าเรื่องของนายน้อยปริศนาคนนั้น นางก็บังเอิญพูดถึงเขาขึ้นมาพอดี
ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ถามซักไซ้เป็นเพราะกลัวว่าจะดูจู่โจมและอยากรู้มากเกินไป
เซียวเหิงเอ่ยถามนางด้วยสีหน้าแววตาสงสัย “เห็นเจ้าพูดถึงนายน้อยอยู่บ่อยๆ ข้าละสงสัยจริงเชียวว่าเขาเป็นใคร”
แววตากังวลของม่อเชียนเสวี่ยเผยออกมาอย่างชัดเจน “เป็นคนที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งของแคว้นเจาน่ะสิ”
“ไหนลองเล่ามาซิ” เซียวเหิงเอ่ยด้วยท่าทีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ม่อเชียนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโบกมือปัด “ช่างเถอะ ไม่เล่าดีกว่า เจ้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
จากนั้นเซียวเหิงตอบกลับด้วยท่าทีขึงขัง “ถ้าเจ้าไม่บอกว่าเขาเป็นใคร ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีอำนาจมากแค่ไหน มันคุ้มไหมที่ข้าจะถูกไล่ออกจากกรมเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาระงับคดีนี้”
ม่อเชียนเสวี่ยนิ่งไป
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยื่นปลายนิ้วจุ่มลงถ้วยชาและค่อยๆ เขียนตัวอักษรบนโต๊ะ
“นี่เป็นชื่อของเขา” นางเอ่ย
สายตาของเซียวเหิงจับจ้องไปยังชื่อที่เหมือนจะคุ้นเคย และพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
…
ยังไม่ถึงเวลาเปิดเรียนของกั๋วจื่อเจียน จิ้งคงจึงมีเวลาว่างมากมายทุกวัน พาลูกไก่ออกไปเดินเล่นบ่อยขึ้น
ตอนเช้ารอบหนึ่ง ตอนบ่ายอีกรอบหนึ่ง
ขณะที่เขาพาไก่เจ็ดตัว นกเหยี่ยวหนึ่งตัว และสุนัขอีกหนึ่งตัวกลับมาที่เรือน ก็เจอกับพี่เขยตัวแสบยืนนิ่งอยู่ที่ประตู
เขาชะโงกหัวมองเข้าไปข้างในเรือน
เจียวเจียวไม่อยู่
“ทำอะไรน่ะ” จิ้งคงโพล่งถามขึ้นประหนึ่งอันธพาลประจำตรอก
เซียวเหิงยื่นมือยีหัวเห็ดของเจ้าตัวเล็ก พลางตอบ “อยากเข้าวังไหม”
จิ้งคง “ไม่อยาก”
เซียวเหิง “เจ้าอยาก”
จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็ถูกลากไป
เป็นอีกครั้งที่พี่เขยตัวแสบเอาเขามาเป็นเครื่องมือ จิ้งคงนั่งบ่นตลอดทางจนกระทั่งมาถึงที่วัง
ทหารยามขวางรถม้า
เซียวเหิงเปิดม่านรถออกแล้วอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา
ทหารยามเมื่อเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของเจ้าตัวเล็กอันแสนจะคุ้นเคยก็คลี่ยิ้มออกมา “ที่แท้ก็นายน้อยเสี่ยวจิ้งคงนี่เอง ขออภัยด้วยขอรับ”
ทหารยามจึงเปิดทางสะดวก
กะไว้แล้วเชียวว่าใบหน้าของเจ้าตัวเล็กใช้การได้ดีกว่าตราเสียอีก
รถม้ามาหยุดอยู่บริเวณวังหลัง เซียวเหิงจูงมือเจ้าตัวเล็กเดินเข้าไปข้างใน
จิ้งคงเดินเตาะแตะอย่างไม่เต็มใจเหมือนหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาผ่านสวนหยวงและเห็นดอกไม้ที่สวยงาม ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปเด็ดดอกไม้ขึ้นมาหนึ่งดอก
พอเห็นว่าเซียวเหิงหันกลับมามอง
จิ้งคงก็รีบซ่อนดอกไม้ไว้ด้านหลัง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินต่อ
“เจ้ารู้ไหมว่าไปเด็ดดอกไม้ของใครมา” เซียวเหิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะ
“ข้าไม่ได้เด็ดดอกไม้นะ” จิ้งคงตอบ
แหม เดี๋ยวนี้ต่อปากต่อคำได้แล้วนะ
เซียวเหิงพูดต่อ “ดอกนั้นน่ะ องค์หญิงซิ่นหยางเป็นคนปลูกเอง เป็นดอกไม้มีพิษ”
เจ้าตัวเล็กได้ยินดังนั้นก็รีบขว้างดอกไม้ทิ้ง
เซียวเหิงแทบจะหลุดหัวเราะลั่น