สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 543 จอมพลบ้าคลั่ง!
บทที่ 543 จอมพลบ้าคลั่ง!
ความนิยมขององค์หญิงหนิงอันในหมู่ประชาชนนั้นสูงมาก วีรกรรมของนางถูกแพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่ชายแดนไปจนถึงเมืองหลวง และคนทั่วไปต่างก็ยกย่องความจงรักภักดีของนางที่มีต่อจักรพรรดิและแผ่นดิน
นอกจากนี้นางยังมีบุตรชายอีกคนที่สูญเสียขาทั้งสองข้างไป และความซาบซึ้งใจนี้ก็ยิ่งทำให้ราษฎรรู้สึกสงสารอย่างอดมิได้
หลังจากที่เนื้อหาในการประชุมมีการเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับคำชมจากราษฎรว่าตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์นั้นไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าองค์หญิงหนิงอัน
ถังเย่ว์ซานได้ข่าวนี้จากในค่ายทหาร
แม้อาการบาดเจ็บของเขาจะหายดีแล้วแต่เขายังต้องการการฟื้นฟูทุกวัน เขาเบื่อที่จะพักฟื้นที่บ้าน ดังนั้นเขาจึงมาที่ค่ายทหารเพื่อออกกำลังกายกับเพื่อนทหาร
ซึ่งตอนนี้ค่ายหู่ซานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากที่ค่ายมีการปรับโครงสร้าง กองทัพทหารกู้จึงไม่ได้อยู่ที่ค่ายอีกต่อไป พวกเขาย้ายไปที่ค่ายซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาหลางซาน ส่วนทหารที่อยู่เขาหลางซานถูกย้ายมาอยู่ที่ค่ายหู่ซานแทน
พลธนูของถังเย่ว์ซานเองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
ในนั้นก็มีทหารอีกห้าร้อยนายที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันในศึกชายแดน
ในตอนนั้น พวกเขาติดอยู่ในเมืองเย่พร้อมกับพวกทหารของวัง และถังเย่ว์ซานก็เป็นคนพาพวกเขาออกมาโดยใช้วิธีล่อเสือออกจากถ้ำ
ระหว่างทาง พวกเขาถูกกองทัพของแคว้นเฉินไล่ล่า และได้รับความช่วยเหลือจากกู้เจียว นางใช้กำลังของนางเองในการขวางศัตรู
หากการช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บคืองานของแพทย์ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของนางที่จะต้องสู้ชีวิตเพื่อความเป็นความตายของทหาร
อย่างไรก็ตาม นางกลับทำมันโดยไม่ลังเล
พวกเขาไม่เคยลืมว่านางสู้เพื่อพวกเขาอย่างไร และวิธีที่นางปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างอุตสาหะ อีกทั้งนางยังให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่พวกเขาในการเดินทางเข้าเมืองหลวง
เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวว่านางกำลังจะได้รับการสถาปนาเป็นองค์หญิง เหล่าทหารก็ดีใจกับนางมากทีเดียว
แต่พอพวกเขาได้ยินข่าวเรื่ององค์หญิงหนิงอันจะได้เป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์ เหล่าทหารก็เริ่ม…สับสนเล็กน้อย
แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะรับไม่ได้เสียทีเดียว ด้วยความที่องค์หญิงทรงเป็นที่รักของฮ่องเต้และไทเฮา พวกเขาเป็นแค่คนนอกที่รับรู้เรื่องนี้ไว้เฉยๆ ก็พอ
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงแหบแห้งของใครบางคนถามขึ้นมา “นางพิทักษ์แผ่นดินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ทหารนายหนึ่งจึงนำข้อมูลทั้งหมดเล่าให้ฟัง
พอฟังจบ เหล่าสหายพลธนูของของถังเย่ว์ซานก็เริ่มเดือดดาล
หนึ่งในนักธนูเอ่ยขึ้น “นางไปช่วยท่านเหล่าโหวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เป็นท่านหมอกู้กับบุตรชายคนรองของตระกูลกู้ต่างหากที่เข้าไปช่วย! จากนั้นระหว่างทางพวกเราก็เจอกับท่านนายพล และร่วมกันต่อกรกับพลทหารม้าของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็เป็นท่านหมอกู้กับบุตรชายคนรองของตระกูลกู้ที่พาท่านเหล่าโหวไปยังเมืองเย่ว์กู่ ส่วนท่านนายพลไปช่วยพวกเรา! ที่เมืองเย่!”
หนึ่งในนายทหารวิเคราะห์กับเขา “ท่านเหล่าโหวถูกขังไว้ในจวนผู้ว่าในตอนแรก ที่นั่นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากไม่ได้องค์หญิงหนิงอันออกอุบายยื้อเวลาหวงฝู่เจิงไว้ ท่านหมอกู้กับบุตรชายคนรองของตระกูลกู้จะช่วยเขาไว้ได้อย่างไร!”
พลธนูโต้กลับ “เหตุใดจะช่วยไม่ได้! เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านหมอกู้เก่งกาจและแข็งแกร่งแค่ไหน! นางคนเดียว…ทำให้ทหารม้าแคว้นเฉินห้าพันนายถึงกับกลัวหัวหดเลยทีเดียวล่ะ!”
นายทหารโบกมือปัด “คุยโวไปเถอะ! เจ้าคิดว่าทหารแคว้นเฉินเป็นตุ๊กตากระดาษหรืออย่างไร!”
พลธนูเริ่มหัวร้อน “เจ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าโม้!”
นายทหารหัวเราะประชด “ไม่เห็นจำเป็นเลย แค่คิดก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เจ้าพูดเกี่ยวกับความสามารถของท่านหมอมันเกินจริงอย่างเห็นได้ชัด”
ที่จริงพวกเขาเพียงแค่สงสัยว่าองค์หญิงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้ชื่อนั้นหรือไม่ และตัวพวกเขาเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะแสดงความคิดเห็น แต่เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น มันก็กระตุ้นความอยากชนะในทันที
และทุกคนก็เริ่มแบ่งฝ่ายกัน
ตอนแรกแค่สองคน สักพักเริ่มลามไปเป็นสองแถว
แถวหนึ่งคือพลธนูที่ชายแดน และอีกแถวหนึ่งคือทหารที่เพิ่งย้ายมาจากค่ายหลางซาน
พอพวกทหารเริ่มวิวาทกัน ถังเย่ว์ซานเลยพลอยรู้ข่าวเรื่องการแต่งตั้งขององค์หญิงหนิงอันไปด้วย
ด้วยความที่เขาเป็นถึงระดับนายพล มุมมองของเขาแตกต่างจากทหารระดับล่าง
เขารู้ดีว่าเหตุใดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ชายแดนพอถึงเมืองหลวงจึงสูญเสียรูปลักษณ์เดิมไป เพราะมันคือการเมือง
ไม่สำคัญว่าองค์หญิงหนิงอันจะประสบความสำเร็จด้วยเรื่องเหล่านั้นจริงหรือไม่ พระองค์เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และจวงไทเฮา ไม่แปลกที่จะมีคนมากหน้ารีบเข้ามาประจบสอพลอ
นี่คือสิ่งที่ข้าราชบริพารทำได้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ การใช้คำพูดของพวกเขาที่ทำทีเป็นว่าพวกเขารู้การต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นดีกว่าทหารในสนามรบ
เมื่อเทียบกับหมอตัวเล็กๆ แล้ว จิตวิญญาณที่เสียสละเพื่อแผ่นดินขององค์หญิงนั้นแลดูน่าเชื่อถือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แต่จะว่าไป หากเขาไม่เห็นด้วยตาเนื้อของตัวเอง ก็คงไม่มีทางเชื่อว่าจะได้เห็นการต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตของกู้เจียว
มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ
การต่อสู้นองเลือดบนกำแพงกลางเมืองตลอดทั้งคืนด้วยกำลังของตัวเอง เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้ธงของแคว้นเจาล้มลง และเพียงเพื่อปกป้องเมืองชายแดนจากการถูกทำลาย!
แค่นึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ก็ทำให้หัวใจของถังเย่ว์ซานเต้นระส่ำ
เขาไม่ได้หมายความว่าทหารที่เหลือไม่มีคุณูปการแต่อย่างใด หรือจะพูดว่าใครเสียสละและทำประโยชน์ได้มากน้อย เพราะทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี
แต่การกล่าวอ้างเกี่ยวกับความสำเร็จขององค์หญิงหนิงอันดูเหมือนจะเกินจริงไปหน่อย
เขาจะไม่แปลกใจเลยด้วยซ้ำหากบอกว่ากู้ฉังชิงเป็นคนทลายฐานทัพลับของพวกอดีตราชวงศ์
ช่างเถอะ เขาแก่จนชินกับเรื่องพรรค์นี้แล้ว
คุณความดีของคนเบื้องล่างย่อมให้ผลแก่คนเบื้องบน
กู้เจียวเองก็ไม่ใช่คนของเขา และเขาเองก็ไม่ใช่ลูกสมุนของนาง
เขาไม่โกรธ
เขาไม่สน
และจะไม่ออกตัวให้นาง
ตกบ่าย ถังเย่ว์ซานได้รับหมายเรียกจากฮ่องเต้สั่งให้เขาเข้าวังทันที
ถังเย่ว์ซานเดาว่าฮ่องเต้คงกำลังหารือเรื่องแต่งตั้งองค์หญิง ด้วยความที่เขาเป็นนายพลของกองทัพม้า อีกทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญในศึกชายแดนด้วย หากเขาได้โอกาสออกหน้าและชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ให้แก่องค์หญิง พระองค์คงสามารถแต่งตั้งตำแหน่งองค์หญิงผู้พิทักษ์ให้ได้อย่างเต็มที่
และคราวนี้ ฮ่องเต้ยังได้มีรับสั่งให้เขาพกธนูติดไปด้วย ถังเย่ว์ซานเดาไม่ออกว่าฮ่องเต้กำลังวางแผนอะไร
เขาติดตามขันทีไปที่พระราชวัง และพบว่าฮ่องเต้ไม่ได้เรียกตัวเขามาที่สำนักพระราชวัง แต่กลับเป็นทุ่งหญ้าที่ตั้งอยู่ใกล้กับสวนดอกไม้
องค์หญิงหนิงอันก็อยู่ด้วย
“ฝ่าบาท องค์หญิง” ถังเย่ว์ซานโน้มร่างที่แบกคันธนูและถวายบังคมให้พวกเขาทั้งสอง
โต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดวางบนทุ่งหญ้า ฮ่องเต้และองค์หญิงนั่งอยู่บนพระที่นั่ง จากนั้นฮ่องเต้ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ และตรัสกับเขา “นั่งสิ ถังอ้ายชิง”
ถังเย่ว์ซานนั่งลงพร้อมกับเหงื่อตก
จากนั้นเว่ยกงกงและทหารองครักษ์คนอื่นๆ ก็ได้นำเป้าธนูจำนวนสิบอันมาตั้งไว้ห่างจากตรงที่พวกเขานั่งราวห้าก้าว
จะทรงทอดพระเนตรเขายิงธนูรึ
“อาการบาดเจ็บของถังอ้ายชิงเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยพระพักตร์เบิกบาน
ถังเย่ว์ซานเพิ่งจะระลึกได้ว่าฝ่าบาททรงเปลี่ยนชื่อเขาเป็นถังอ้ายชิงไปเสียแล้ว
เป็นการถูกโปรดที่น่าสะพรึงยิ่งนัก
ทั้งๆ ที่ไม่กี่เดือนก่อน เขายังเป็นเสี้ยนหนามของพระองค์อยู่เลย
ถังเย่ว์ซานตอบกลับอย่างสุภาพ “กระหม่อมไม่เป็นอะไรมากแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาททรงคิดจะทำอันใดกันแน่นะ!
ในตอนนั้นเอง เว่ยกงกงเดินก้าวเท้าเล็กๆ ของเขาและเข้ามาทักทายถังเย่ว์ซานด้วยรอยยิ้ม “ท่านใต้เท้าถัง มาแล้วสินะขอรับ”
“เว่ยกงกง” ถังเย่ว์ซานเอ่ยตอบ
เว่ยกงกงฉีกยิ้ม หันไปหาฮ่องเต้และองค์หญิงหนิงอันพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท องค์หญิง เป้าธนูพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หยิบลูกธนูมา” ฮ่องเต้สั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเดินไปหยิบคันธนูอันหนักอึ้งจากทหารองครักษ์ แล้วยื่นให้องค์หญิงหนิงอันด้วยมือของเขาเอง
ถังเย่ว์ซานเลิกคิ้วขึ้น
องค์หญิงหนิงอันคว้าคันธนูขนาดใหญ่โดยไม่พูดอะไร จากนั้นองครักษ์ก็ยื่นซองธนูให้ทันที องค์หญิงดึงลูกศรขึ้น วางลงบนคันธนู เล็งแล้วยิงออกไปด้วยเสียงหวือหวา!
ลูกธนูถูกยิงเข้าเป้า!
ถังเย่ว์ซานออกอาการตะลึง
“องค์หญิงทรงยิงแม่นมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ยชมหน้าระรื่น
ฮ่องเต้มององค์หญิงหนิงอันอย่างเอ็นดู “ทักษะการยิงธนูไม่ได้ถดถอยไปเลยสินะ ดูเหมือนก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้ว”
ถังเย่ว์ซานจำได้ว่าองค์หญิงเคยเรียนธนูเมื่อครั้งวัยเยาว์ เขาเองก็เรียนกับนางด้วย ไม่เช่นนั้นจวงไทเฮาคงไม่มีความคิดที่จะให้เขาแต่งงานกับองค์หญิงในตอนนั้น
เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะบิดาของเขาเอาแต่พูดไปเรื่อยนั่นแหละ
บิดาของเขาดันไปพูดกับจวงไทเฮาว่าเขากับหนิงอันถูกอกถูกใจกันเข้า
ว่ากันตามจริงแล้ว เขาไม่เคยคิดกับองค์หญิงแบบนั้นเลย
สตรีในแบบที่เขาชอบคือผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยน ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างหนิงอัน
เดี๋ยวนะ ที่จู่ ๆ ฝ่าบาททรงเรียกเขามาที่นี่และพาเขามาดูองค์หญิงยิงธนู เป็นไปได้ไหมว่าเพราะฝ่าบาทต้องการให้เขาแต่งงานกับองค์หญิง
เขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากแต่งงานกับสตรีที่มีครอบครัวแล้วสักหน่อย!
“ถังอ้ายชิง ฝีมือธนูของหนิงอันเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรัสถาม
คนทั่วไปที่ไม่ใช่ทหาร ยิงได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
นี่คือประโยคที่เดิมทีเขาจะตอบ แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปกลับกลายเป็น “ห่วยแตก!”
ฮ่องเต้ถึงกับสะดุ้ง
องค์หญิงก็เช่นกัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ ถังเย่ว์ซานจะใช้คำที่รุนแรงขนาดนี้
แม้แต่ตัวเขาเองก็เหงื่อตก เมื่อกี้เขาพูดอะไรไปนะ นี่เขาโต้เถียงกับเจ้ากู้เฉิงเฟิงมากไปจนกลายเป็นคนปากไม่มีหูรูดแล้วสินะ
“ห่วยแตกอย่างนั้นรึ ข้ายิงธนูได้แย่ขนาดนั้นเชียวรึ” องค์หญิงหนิงอันเริ่มทำตัวไม่ถูก
สำหรับสตรีแล้ว การยิงได้ในระยะนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
แต่จู่ๆ ไม่รู้ถังเย่ว์ซานเกิดหัวร้อนอะไรขึ้นมา จึงพ่นทุกอย่างออกไปอย่างไม่เกรงกลัว “พระนางทรงยิงได้แย่แค่ไหนยังไม่รู้ตัวอีกรึ กระหม่อมว่าคนตาบอดยังยิงเก่งกว่าด้วยซ้ำ! ดีแล้วที่พระนางไม่ได้ลงสนามออกรบ ไม่เช่นนั้นคงได้ยิงคนของตัวเองแทนศัตรูแน่ๆ ! กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นองค์หญิงผู้พิทักษ์! อย่างพระองค์เนี่ยนะ! คู่ควรแล้วหรือ! พระนางเคยร่วมต่อสู้บ้างไหม เคยเลือดตกยางออกบ้างไหม! เคยได้ช่วยชีวิตผู้คนหรือรักษาโรคระบาดบ้างไหม! ได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิงแล้วคุณูปการทุกอย่างจะต้องตกเป็นของพระองค์แต่ฝ่ายเดียวหรืออย่างไรกัน!”
เชื่อเขาสิ!
เขาไม่ได้ช่วยกู้เจียวเลยสักนิด!