สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 547 อิจฉา
บทที่ 547 อิจฉา
โชคดีที่ฉินกงกงเดินเข้ามาพอดี
“เสี่ยวเติ้ง เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ข้าให้เจ้าแกะถั่วสมองอยู่มิใช่รึ” ฉินกงกงตำหนิขันทีน้อย ก่อนจะรีบหันไปถวายบังคมให้องค์หญิง “องค์หญิง เจ้าขันทีไร้ประโยชน์ผู้นี้ไม่ทันระวังจนเผลอเดินชนองค์หญิงใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่หรอก เจ้านามว่าเสี่ยวเติ้งใช่ไหม ข้าโปรดเจ้ามาก” องค์หญิงหนิงอันเอ่ยขึ้น
เสี่ยวเติ้งแทบตั้งตัวไม่ทัน!
ฉินกงกงรีบพูดกับเสี่ยวเติ้ง “รีบขอบพระทัยองค์หญิงสิ!”
“พ่ะย่ะค่ะ! พ่ะย่ะค่ะ!” เสี่ยวเติ้งคุกเข่าลงแล้วก้มหัวให้องค์หญิง “ขอบพระทัยองค์หญิงเป็นอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าไปได้แล้ว” องค์หญิงหนิงอันเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จากนั้นเสี่ยวเติ้งก็เดินออกไป
ฉินกงกงยิ้มและเอ่ยกับองค์หญิงหนิงอัน “วันนี้องค์หญิงทรงมาช้ากว่าปกตินะพ่ะย่ะค่ะ หาที่ตำหนักปี้สยามีคนรับใช้ไม่เพียงพอ ให้กระหม่อมส่งคนรับใช้ในวังที่มีความสามารถไปให้พระองค์สองสามคนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก พวกเราไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนั้น” องค์หญิงหนิงอันเอ่ยอย่างเกรงใจ
“กระหม่อมเห็นองค์หญิงมาตั้งแต่พระองค์ยังทรงเยาว์วัย หากองค์หญิงต้องการสิ่งใด โปรดเรียกใช้กระหม่อมได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงเอ่ย
องค์หญิงหนิงอันยกมุมปากขึ้นมาเล็กๆ
องค์หญิงหนิงอันทรงเคยเป็นคนที่ร่าเริงและชอบหัวเราะ ทว่าตั้งแต่พระองค์กลับมาจากชายแดน ความสุขทั้งหมดของพระองค์ดูเหมือนจะหายไป ฉินกงกงแทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มของพระองค์เลยด้วยซ้ำ
และต่อให้พระองค์ยิ้มออกมา ก็ยังคงดูฝืนๆ นัก
ฉินกงกงแอบถอนหายใจเบาๆ
เวรกรรมอันใดหนอ
หากวันนั้นไม่มีจิ้งไท่เฟยที่หลอกล่อให้พระองค์แต่งงานกับหวงฝู่เจิง องค์หญิงก็คงไม่ต้องมาลงเอยเช่นนี้
“ฉินกงกง” องค์หญิงเอ่ยเรียก
“ทรงมีรับสั่งอันใดพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
องค์หญิงหนิงอันถามเขาอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าข้ากับแม่นางกู้คล้ายกันมาก”
“กระหม่อมเห็นแล้วขอรับ! ด้านหลังของท่านทั้งสองเหมือนกันมาก! การวางตัวก็ค่อนข้างคล้ายกัน อีกทั้ง…” ฉินกงกงหลุดหัวเราะด้วยท่าทีเกรงใจ
จากนั้นองค์หญิงหนิงอันพูดในสิ่งที่คิดว่าเขาคงไม่กล้าพูด “ใบหน้าของข้ามีลวดลายดอกไม้ ส่วนแม่นางกู้มีปานบนใบหน้าซึ่งคล้ายกับของข้ามาก”
ฉินกงกงหัวเราะเจื่อน “เอ่อ…เป็นเช่นนั้นขอรับ”
อันที่จริง ฉินกงกงไม่คิดว่าจะคล้ายกันมากนัก แต่พอลองมองอีกที ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
องค์หญิงหนิงอันก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยถาม “เสด็จแม่รู้จักกับแม่นางกู้ได้เยี่ยงไร”
ฉินกงกงเดินตามพร้อมกับตอบ “ตอนที่ไทเฮากับแม่นางกู้พบกัน กระหม่อมอยู่ที่วังและไม่ได้อยู่เคียงข้างไทเฮาขอรับ กระหม่อมเกรงว่าพระองค์จะต้องถามไทเฮาเองนะขอรับ”
เป็นความจริงที่ฉินกงกงไม่ได้อยู่กับไทเฮาในตอนนั้น แต่หลังจากนั้น ไทเฮาก็ทรงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟังแล้ว
ที่เขาไม่ยอมบอกนั่นก็เพราะเขาคิดว่าตัวเขาเองไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่จะเล่าเรื่องนี้
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยต่อ “ถ้าแม่นางกู้ถามฉินกงกงเรื่องข้ากับเสด็จแม่ ฉินกงกงจะขอให้แม่นางกู้ถามไทเฮาเป็นการส่วนตัวไหม”
ฉินกงกงฟังจบถึงกับพูดไม่ออก
“ข้าแค่ล้อเล่นน่า” องค์หญิงหนิงอันหัวเราะเบาๆ
“เอ่อ พ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงปาดเหงื่อ พลางนึกในใจว่าเป็นการล้อเล่นที่เล่นแรงเกินไปด้วยซ้ำ
องค์หญิงเอ่ยถามต่อ “แม่นางกู้เคยใส่ชุดของข้าเพื่อทำให้เสด็จแม่ดีใจหรือไม่”
ฉินกงกงนิ่งไปอีกรอบ
เขายิ้มเอ่ย “องค์หญิงเป็นถึงเพชรเม็ดงามของราชวงศ์ อย่างแม่นางกู้น่ะหรือจะสามารถแต่งตัวให้เหมือนกับพระองค์ได้ ไม่มีทาง ต่อให้เป็นเช่นนั้นอย่างไรก็ไม่เหมือนอยู่ดีขอรับ! ”
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยเบาๆ “ดูเหมือนจะไม่เคยเกิดขึ้นสินะ ข้าเผลอคิดไปว่าที่เสด็จแม่เอ็นดูนางมากเป็นเพราะนางคล้ายกับข้าเสียอีก”
ฉินกงกงนึกในใจ องค์หญิง ทรงอย่าได้พูดความในใจออกมาให้กระหม่อมได้ยินอีกเลย กระหม่อมฟังแล้วรู้สึกกดดันเหลือเกิน
โชคดีที่องค์หญิงไม่ได้พูดอะไรต่อที่ทำให้ฉินกงกงแบกรับไม่ไหว
ฉินกงกงส่งองค์หญิงหนิงอันไปที่ห้องบรรทมของจวงไทเฮา
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้อยู่ในห้องบรรทมของท่านย่าแล้ว นั่งอยู่ได้พักหนึ่งก็ออกไปวิ่งเล่นตามเคย
เวลานี้ ทั้งห้องปกคลุมด้วยความเงียบสงัด
ขณะที่ฉินกงกงกำลังผลักประตูที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ นางข้าหลวงก็ย่องออกมาเบาๆ โค้งคำนับให้ทั้งสองคนแล้วกระซิบ “องค์หญิง ฉินกงกง ไทเฮาทรงกำลังพักผ่อนเพคะ”
องค์หญิงหนิงอันเอ่ยถามด้วยพระพักตร์ที่เป็นกังวล “เร็วปานนี้เชียวรึ เสด็จแม่ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
นางข้าหลวงส่ายหน้า “เมื่อครู่นี้ ท่านหมอกู้เข้ามาวัดชีพจรให้ ทรงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่ไทเฮาต้องการการพักผ่อนเพคะ”
“เช่นนั้น ให้เสด็จแม่พักผ่อนเถิด ข้าไม่เข้าไปรบกวนจะดีกว่า ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” พระพักตร์ขององค์หญิงหนิงอันเริ่มไม่สู้ดีนักพร้อมกับพยักหน้าให้นางข้าหลวง
“เดินทางปลอดภัยเพคะ” นางข้าหลวงเอ่ยลาองค์หญิง
ขณะที่องค์หญิงหนิงอันกำลังเดินออกจากตำหนักเหรินโซ่ว กู้เจียวที่เพิ่งซ่อมชิงช้าเสร็จก็เดินเข้ามาในตำหนัก มุ่งหน้าไปยังห้องบรรทมของไทเฮา
พอองค์หญิงหันกลับไปมอง ก็เห็นว่ากู้เจียวเดินเข้าไปในห้องบรรทมของเสด็จแม่ของตนได้สบายๆ
ไม่ต้องรายงาน และไม่มีใครห้ามหรือรั้งไว้
ฉินกงกงมองไปที่องค์หญิงหนิงอัน จากนั้นมองไปทางแม่นางกู้ที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องบรรทมของไทเฮา ความรู้สึกอึดอัดก็เริ่มปะทุขึ้น
เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาทั้งสองอย่างแตกต่างกัน ไทเฮาทรงไม่ใช้กฎของพระราชวังกับแม่นางกู้ ส่วนแม่นางกู้เองตอนอยู่ในวังก็ทำตัวเหมือนกับตอนอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย
เพราะสำหรับแม่นางกู้แล้ว ไทเฮาก็คือหญิงชรานางหนึ่งในตรอกปี้สุ่ย
ผิดกับองค์หญิงหนิงอัน ด้วยความที่หนิงอันเป็นองค์หญิงและไทเฮาเป็นพระพันปีหลวง กฎเกณฑ์ของพวกเขาถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“ดูเหมือนเสด็จแม่จะรักแม่นางกู้มากเลยสินะ” องค์หญิงหนิงอันพึมพำ
ฉินกงกงรีบแย้ง “ไทเฮาทรงรักและเอ็นดูองค์หญิงมากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ แม่นางกู้เป็นเด็กสาวที่เติบโตในชนบท นางไม่เข้าใจกฎของพระราชวัง ไทเฮาเองก็ทรงอายุมากแล้ว จึงไม่อยากจู้จี้จุกจิกกับนางขอรับ”
องค์หญิงทำหน้ายิ้มเล็กน้อย “ฉินกงกง ไม่ต้องรีบปกป้องนางหรอก ข้าไม่ได้จะทำอะไรนางเสียหน่อย”
ฉินกงกงยิ้มเจื่อนเอ่ย “นั่นสิขอรับ พระองค์เป็นถึงองค์หญิง มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่โต้เถียงกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แน่นอนขอรับ”
องค์หญิงหนิงอันพยักหน้า “ฉินกงกงส่งข้าแค่ตรงนี้พอ”
“เดินทางปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!” ฉินกงกงถวายบังคมลา
หลังจากที่องค์หญิงเดินหายลับไปในเงามืด ฉินกงกงก็มุ่งหน้าไปทางบ่ออันเป็นบ้านของเจ้าเต่าน้อยของเขา
ไทเฮาทรงเป็นนายที่เมตตากับเขามากที่สุด ทรงเมตตาถึงขั้นสั่งให้คนขุดบ่อเพื่อให้เขาเลี้ยงเจ้าเต่าน้อย
ในวังแห่งนี้ เขาเชื่อใจใครไม่ได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นเวลามีเรื่องในใจ เขามักจะเอามาพูดให้เจ้าเต่าน้อยได้ฟัง
เขายื่นมือแตะเจ้าเต่าน้อยที่อยู่ตรงมุมสุดของบ่อ พร้อมกับถอนหายใจ “เหตุใดข้าถึงอดคิดไม่ได้ว่าองค์หญิงกำลังอิจฉาแม่นางกู้อยู่นะ”
มือข้างซ้ายของเขาคว้าเจ้าเต่าขึ้นมา พร้อมเอ่ย “แม่นางกู้”
ส่วนมือข้างขวาก็คว้าขึ้นมาอีกตัว “องค์หญิงหนิงอัน”
ทั้งสองคือคนที่เขาจงรักภักดี และเขาต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร
ฉินกงกงหันหน้าไปหาเจ้าเต่าทางขวา “เจ้าเป็นเต่าที่ข้าเฝ้าดูตั้งแต่ยังตัวเล็ก ตอนเจ้าฉี่รดกางเกงข้ายังช่วยเจ้าเปลี่ยนชุดให้อยู่เลย”
จากนั้น เขาก็หันมาทางเต่าทางซ้าย “ส่วนเจ้าคือผู้ที่ช่วยชีวิตไทเฮาไว้ พระองค์ทรงมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นตอนอยู่กับเจ้า ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็ช่วยแบกรับไว้ทั้งหมด”
แล้วเขาก็หันไปทางขวาอีกครั้ง “เจ้าคือคนที่ไทเฮารักและเอ็นดูมาอย่างยาวนาน ทรงทนเห็นเจ้าเจ็บปวดไม่ได้แม้แต่นิด”
แล้วก็หันมาทางซ้าย “ขอบใจเจ้ามากที่ปกป้องดูแลไทเฮาอย่างดีและเป็นที่พึ่งให้นางได้”
อนิจจา ในฐานะคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ เขาควรจะภักดีต่อองค์หญิงมากกว่านี้ พระองค์คือคนที่เขาเลี้ยงดูมาด้วยมือของเขาเอง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกถูกใจเจ้าเต่าตัวซ้ายมากกว่า
…
“เจียวเจียว!” บนรถม้า เสี่ยวจิ้งคงนั่งข้างๆ จับมือของกู้เจียวอย่างเชื่อฟัง
“ไม่ง่วงหรือ” กู้เจียวตอบกลับพลางกุมมือของเขา
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว
กู้เจียวบ่นพึมพำ “แปลกจัง วันนี้เจ้าก็ไม่ได้งีบหลับนี่นา แล้วตอนนี้ก็ไม่ง่วงด้วย เป็นเพราะตกใจเรื่องสุนัขหรือเปล่า”
“ไม่เลย” แม้เจ้าสุนัขนั้นน่าสงสารมาก แต่เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่เด็กที่กลัวง่ายขนาดนั้น เขาเบิกตากว้าง กะพริบตาปริบๆ พร้อมกับยื่นนิ้วชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างถนนแล้วเอ่ย “เจียวเจียว กิ่งของต้นไม้เหล่านั้นถ้าหักแล้วมันจะรู้สึกเจ็บไหม”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนตอบ “ก็อาจจะเจ็บมั้ง แต่เดี๋ยวมันก็งอกออกมาใหม่ตอนเข้าฤดูใบไม้ผลิ”
“แล้ว…ดอกไม้ล่ะ” เสี่ยวจิ้งคงถามต่อ “ดอกไม้ถ้าร่วงแล้วจะงอกออกมาใหม่ได้ไหม”
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า
จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็ยกมือลูกหัวของตัวเอง “แล้วศีรษะของข้าล่ะ ถ้าหลุดไปแล้วงอกใหม่ได้ไหม”
กู้เจียวเอ่ยเสียงแข็ง “ไม่ได้สิ!”
“อ๋อ” จิ้งคงนั่งตัวตรงอีกครั้ง จากนั้นยกขาสั้นของเขาแกว่งไปมา “เจียวเจียว แล้วขาล่ะ สามารถงอกใหม่เหมือนกิ่งก้านได้ไหม”
กู้เจียวยื่นมือลูบหัวกลมๆ ของเขาอย่างเอ็นดู แต่ก็ต้องบอกความจริงอันโหดร้ายให้เขารู้ “งอกไม่ได้”
จิ้งคงก้มหน้าลง “อ๋อ”
แม้จิ้งคงเพิ่งได้เจอกับหวงฝู่เสียนเป็นครั้งแรก แต่ก็กล้าถามคำถามเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าเขาคือเด็กที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมา
กู้เจียวลูบหัวของเขา พร้อมเอ่ย “ถึงแม้ขาจะงอกออกมาไม่ได้ แต่สามารถใช้ของอย่างอื่นทำให้เขากลับมายืนได้เหมือนคนปกติอีกครั้ง”
ทันใดนั้นดวงตาที่หมองคล้ำของจิ้งคงก็กลับมาสดใสอีกครั้ง “จริงรึ ทำแบบนั้นได้จริงๆ รึ”
“ได้สิ ขอแค่ตั้งใจก็พอ” กู้เจียวยิ้มมุมปาก