สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 554 รักใคร่
บทที่ 554 รักใคร่
ณ โรงหมอ เนื่องด้วยช่วงนี้กู้เจียวต้องพักที่นี่ เซียวเหิงเลยมาที่โรงหมอบ่อยขึ้น และขณะที่เขากำลังพูดคุยอยู่กับเถ้าแก่รองอยู่นั้น
“ท่านพี่เซียว ท่านพี่เซียว”
เสี่ยวเจียงหลีโบกมือพร้อมกับเอ่ยเรียกเขาจากด้านนอกประตู
เซียวเหิงหันไปมองตามเสียง ก่อนจะหันกลับมาทางเถ้าแก่รองที่กำลังรินน้ำชา “…ข้าต้องขอตัวออกไปดูก่อนว่าเจียวเจียวกลับมาแล้วหรือยัง”
“ได้สิ!” เถ้าแก่รองรีบเอ่ยตอบ
หนุ่มสาวคู่นี้รักกันดีจริงๆ อดคิดถึงตอนสมัยก่อนที่เขากับภรรยาก็ตัวติดกันแบบนี้เช่นกัน แต่พอเวลาผ่านไป ร่างกายเริ่มไม่เชื่อฟัง เลยยิ่งไม่กล้าเข้าใกล้ภรรยาเท่าใดนัก
เซียวเหิงเดินออกจากห้องหนังสือ แล้วเดินลงไปที่ห้องเก็บของชั้นใต้ดินกับเสี่ยวเจียงหลี
เสี่ยวเจียงหลีชะโงกหน้าสอดส่องสายตา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมาแถวนี้จึงรีบปิดประตูลง “ท่านพี่เซียว มีคนเคยมาที่ห้องของท่านพี่ม่อด้วยล่ะ”
เสี่ยวเจียงหลีทำงานเป็นหมอยาที่นี่ ต่อหน้าเสี่ยวเจียงหลีอาจเป็นเด็กใสซื่อที่ชอบชวนม่อเชียนเสวี่ยคุยแก้เหงา แต่แท้จริงแล้วเสี่ยวเจียงหลีกำลังสืบราชการลับให้เซียวเหิงอยู่ต่างหาก
เซียวเหิงไม่ใช่คนที่ม่อเชียนเสวี่ยคิดว่าตัวเองรู้จัก เขาจึงต้องคอยระวังท่าทีของเขาที่มีต่อนาง
“ใครรึ” เซียวเหิงเอ่ยถาม
เสี่ยวเจียงหลีส่ายศีรษะ “ข้าเห็นไม่ชัดนัก ฟังจากเสียงน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพี่ม่อ อาจโตกว่านิดหน่อย น้ำเสียงของนางไม่ได้อ่อนเยาว์ชวนฟังแบบท่านพี่ม่อ”
เซียงเหิงเคยดูเอกสารที่เกี่ยวกับคดีในหอเซียนเล่อ จึงรู้ว่าม่อเชียนเสวี่ยปีนี้อายุสิบเจ็ดปี ดังนั้นหญิงสาวที่มีอายุมากกว่านางเพียงเล็กน้อยที่แวบเข้ามาในหัวของเขาก็คือฮวาซีเหยา
ฮวาซีเหยาปีนี้อายุสิบเก้าปี มาจากเมืองฝู่
แต่ทุกอย่างย่อมแต่งขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเกิดหรือแม้แต่อายุ เพียงว่าราชเลขากรมเคยเจอกับฮวาซีเหยามาก่อน และจากการคาดการณ์ของเขา อายุของฮวาซีเหยานั้นไม่มีทางที่จะเกินยี่สิบปี
เสี่ยวเจียงหลีเล่าต่อ “พอแม่นางคนนั้นเข้ามาก็จัดแจงวางยาข้าในทันที”
เซียวเหิงขมวดคิ้วแน่น “เจ้าถูกวางยารึ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เสี่ยวเจียงหลีส่ายหัวขณะที่ก็รู้สึกดีที่มีคนเป็นห่วง ก่อนจะยกมือขึ้นตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆ “ยาพวกนั้นเอาข้าไม่อยู่หรอก”
“เจ้าหมายความเช่นไร” เซียวเหิงทำหน้าไม่เข้าใจ
เสี่ยวเจียงหลีเอ่ยพร้อมจับผมเปียตัวเอง “ก็หมายความว่า…ข้าร่างกายแข็งแรงยังไงล่ะ ทนต่อยาพวกนั้นได้! นี่คือสิ่งที่พี่ชายของข้าบอกมา! อีกทั้งข้ายังกินเหล้าไม่เมาด้วย!”
เซียวเหิง ’…กินเหล้าตั้งแต่อายุเก้าขวบเลยหรือนี่’
“เจ้ายังเด็ก ต่อไปห้ามดื่มเหล้านะ” เซียวเหิงเอ่ย
“อื้อ…ตกลง” ข้อเสนอนี้ใช่ว่าเสี่ยวเจียงหลีจะรับไม่ได้เสียทีเดียว อย่างไรเสียนางก็ไม่ชอบดื่มของมึนเมาอยู่แล้ว
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “ไหนลองเล่าซิว่าหลังจากที่เจ้าถูกวางยาแล้วเกิดอะไรขึ้น”
เสี่ยวเจียงหลีพยายามนึก “หลังจากถูกวางยา ข้าก็มีอาการมึนหัวเล็กน้อยจากนั้นก็ทำเป็นแกล้งหลับ นางวางยาสลบให้ข้า และนางก็พูดแบบนั้น”
ช่างเป็นประโยคที่แปลกนัก
ตามหลักแล้วควรจะพูดว่า ข้าได้ยินนางพูดว่านางวางยาสลบข้าสิ
ฟังดูเหมือนเสี่ยวเจียงหลีกำลังจะบอกว่าตัวเองรู้อยู่แล้วว่าเป็นยาอะไร และได้รับการยืนยันอีกทีจากปากของอีกฝ่าย
เซียวเหิงจึงเอ่ยถาม “นี่เจ้ารู้จักยาสลบด้วยหรือ”
คราวนี้เสี่ยวเจียงหลีตอบด้วยท่าทีภาคภูมิใจ “ข้าทำหน้าที่เป็นหมอยามาตั้งนาน ย่อมต้องรู้สิ นี่ข้ายังรู้จักพวกยาสารหนูกับปรอทแดงอีกด้วยนะ!”
เซียวเหิงหัวเราะด้วยความเอ็นดู “เอาละ เอาละ เจ้าเล่าต่อได้”
“ข้าได้ยินนางพูดว่า ครบกำหนดสามวันแล้ว ท่านพี่จะลงมือตอนไหน อย่าบอกนะว่าเกิดใจอ่อนขึ้นมา ว่าแต่ ท่านพี่เซียว คนที่พวกเขาพูดถึงเป็นใครกัน หรือว่าจะเป็นท่านพี่เซียวรึ”
พวกมันเอ่ยถึงกู้เจียวต่างหาก
นัยน์ตาของเซียวเหิงเริ่มแข็งดร้าว “ไม่ใช่ข้าหรอก แล้วพวกมันว่าอย่างไรอีก”
“นางบอกว่า นายน้อยสั่งข้ามาบอกเจ้า แผนมีการเปลี่ยน จะล่อมันออกไปจากเมืองหลวงภายในสามวัน!”
ล่อออกจากเมืองหลวง ภายในสามวันอย่างนั้นรึ
ยิ่งเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่มีอะไร ยิ่งต้องตีความให้หนักขึ้น
เหตุใดจู่ๆ เจ้าของหอเซียนเล่อถึงเปลี่ยนแผนจะไม่สังหารกู้เจียวแล้วล่ะ เป็นเพราะพวกมันคิดว่าม่อเชียนเสวี่ยไม่กล้าลงมือ หรือพวกมันต้องการใช้ประโยชน์จากกู้เจียว
การจะฆ่ากู้เจียวและการล่อกู้เจียวออกจากเมืองหลวง มีความยากที่ต่างกัน แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ต้องทำให้กู้เจียวเชื่อใจสนิท
และหากม่อเชียนเสวี่ยทำให้กู้เจียวเชื่อใจได้ ไม่ว่าจะวิธีไหนล้วนทำได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น ความเป็นไปได้มากที่สุดคือพวกมันต้องการใช้งานกู้เจียว
พวกมันมีแผนอะไรกันนะ
เซียวเหิงหลับตาลง ใช้ความคิดนึกย้อนถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับหอเซียนเล่อ และทันใดนั้น ก็มีความคิดสุดโต่งเกิดขึ้นในหัวของเขา นั่นก็คือพวกมันต้องการจับตัวกู้เจียว เพื่อล่อให้เขาออกจากเมืองหลวง
ต้องเป็นฝีมือของผู้มีอิทธิพลคนนั้นแน่ๆ !
เขาเริ่มปักใจเชื่อแล้วว่าหากพวกมันได้ตัวเขาไป หัวหน้าหอเซียนเล่อจะลงมือฆ่ากู้เจียวอย่างแน่นอน
…
พอกู้เจียวเดินออกมาจากห้องทรงงานเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักเหรินโซ่ว
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงก็กำลังเล่นชิงช้าอยู่ในสวน ขณะที่เจ้าเสี่ยวจิ่วก็กำลังง่วนกับการพังกรงนกที่คนในวังสร้างให้มัน
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ช่วงนี้เสี่ยวจิ่วถึงได้มีนิสัยทำลายล้างกรงนกนัก
“เจียวเจียว!”
พอเสี่ยวจิ้งคงเห็นกู้เจียวเดินมา ก็รีบหยุดชิงช้า กระโดดลงจากที่นั่ง แล้ววิ่งปรี่เข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
แม้หิมะจะตกหนัก แต่เสี่ยวจิ้งคงก็เล่นเสียจนเหงื่อท่วม
กู้เจียวเห็นดังนั้นเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดที่ใบหน้า จากนั้นมาที่ลำคอของเขาซึ่งก็ชุ่มเหงื่อไม่แพ้กัน
“เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย” กู้เจียวบอก
“ได้เลยเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงตอบรับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะจูงมือกู้เจียวแล้วเดินกระโดดเข้าไปในตำหนัก
ระหว่างนั้นเอง จวงไทเฮาก็กำลังแอบกินผลไม้อบแห้ง พอได้ยินเสียงฝีเท้าเตาะแตะเข้ามาใกล้ ก็รีบซ่อนขวดโหลโดยเร็ว
“ท่านย่า” กู้เจียวเอ่ยทัก
“อืม” จวงไทเฮาขานตอบพลางนั่งบนโต๊ะพร้อมกับเปิดฎีกาขึ้นมาดู
แม้ว่าจวงไทเฮาจะไม่ปกครองหลังม่านแล้ว แต่ฎีกาต่างๆ ยังคงส่งมาที่นี่ แต่ก็เริ่มมีจำนวนน้อยลง สันนิษฐานว่าราชครูจวงเริ่มจะตีตัวออกห่างแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงเคยมานอนที่ตำหนักนี้ ก็เลยยังพอมีเสื้อผ้าของเขาที่เก็บไว้
กู้เจียวจึงหาชุดให้เจ้าตัวเล็กเปลี่ยน
ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้อ เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยถามกับกู้เจียว “เจียวเจียว ท่านพี่คนนั้นตอบตกลงแล้ว จะไปเจอเขาเมื่อไหร่ดีล่ะ”
กู้เจียวตอบ “ตอนไหนก็ได้ ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ตำหนักปี้สยาใช่ไหม”
“อยู่สิ!” พอเสี่ยวจิ้งคงตอบเสร็จก็นึกอะไรขึ้นได้ “ว่าแต่เจียวเจียวรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายถึงท่านพี่ที่อยู่ตำหนักปี้สยา”
กู้เจียวยิ้มมุมปากหนึ่งที ก่อนจะเอานิ้วชี้หน้าผากเจ้าตัวเล็ก “เพราะข้ามีพลังวิเศษ สามารถอ่านความคิดเจ้าได้น่ะสิ”
“ข้าไม่ได้อยากโดดเรียนนะ! ข้าเปล่า ข้าเปล่า ข้าเปล่า!” เสี่ยวจิ้งคงเอามือกุมหัว
กู้เจียวพอเห็นดังนั้นจึงโพล่งหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้!
ปกติกู้เจียวไม่ได้ยิ้มบ่อยนัก ยิ่งหัวเราะยิ่งแล้วใหญ่
นางมักเส้นตื้นในเรื่องแปลกๆ
ที่ไทเฮาหัวเราะตามนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้าตัวเล็ก แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงหัวเราะของกู้เจียว
กู้เจียวหัวเราะจนอิ่ม ส่วนเจ้าตัวเล็กก็หน้าแดงจนร้อนผ่าว
“ข้าไม่ได้อยากโดดเรียนจริงๆ นะ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยความรู้สึกละอาย
พอไทเฮารู้เรื่องที่กู้เจียวต้องการรักษาขาของหวงฝู่เสียน ก็ไม่มีท่าทีคัดค้าน และวานให้ฉินกงกงไปที่ตำหนักปี้สยา
ไม่นาน ฉินกงกงกลับมาพร้อมกับแจ้งข่าวด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “องค์ชายเสียนเอ่อร์ไม่ยอมมาขอรับ บอกว่า…ไม่อยากรักษา”
“เจ้าตัวพูดเองเลยรึ” ไทเฮาถาม
ที่ถามเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์หญิงหนิงอันเป็นคนให้คำตอบแทนเอง
“ขอรับ องค์ชายทรงตอบเองด้วยท่าทีหนักแน่นขอรับ”
ไทเฮาถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ตามใจเขา”
ถ้าเจ้าตัวไม่ยอม ทางนี้ก็คงไม่อาจไปบังคับอะไรได้ อีกทั้งอาการของเขาก็ใช่ว่ากินยาแล้วจะหายเลย
ในเมื่อเขาไม่ให้ความร่วมมือ คนเป็นหมอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อย่าว่าแต่จะใช้อำนาจพระพันปีหลวงเลย เด็กคนนั้นดูทรงแล้วน่าจะหัวรั้นเอาเรื่องเชียวล่ะ
“ไปเอาอาหารมา” ไทเฮาสั่งฉินกงกง
เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าผิดหวัง
ขณะทางกลับบนรถม้า เสี่ยวจิ้งคงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เขาดูซึมลงถนัดตา
กู้เจียวไม่รู้จะปลอบโยนเขาอย่างไรดี เลยได้แต่เอามือลูบหัวเห็ดของเขา พลางกระซิบ “ให้กอดเอาไหม”
เสี่ยวจิ้งคงเอนหัวลงไปในอ้อมอกของกู้เจียว
กู้เจียวโอบกอดเขาพลางเอามือลูบหลังเบาๆ
“เหตุใดเขาถึงไม่ยอมรักษา”
“อาจเป็นเพราะ…”
รู้สึกหมดหวังกับชีวิตกระมัง
ไม่มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิต ต่อให้มีหรือไม่มีขา จะยืนหรือจะนั่ง จะคุกเข่าหรือจะปีนป่าย ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญ
เสี่ยวจิ้งคงซึมอยู่ในอ้อมอกกู้เจียวซักพักก็ผล็อยหลับไป
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงตรอกปี้สุ่ย
ขณะกู้เจียวกำลังจะออกจากรถม้าพร้อมเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน เซียวเหิงที่ออกมารอรับก็รีบยื่นมือออกมา “ข้าเอง”
“ได้เลย” กู้เจียวยื่นร่างหลับปุ๋ยของเจ้าตัวเล็กส่งต่อให้เซียวเหิง
เจ้าตัวเล็กมีอาการดิ้นเล็กน้อยตอนเปลี่ยนมือ แต่พอเซียวเหิงอุ้มเขาก็หลับสนิทเหมือนเดิม
เขาวางเจ้าตัวเล็กลงบนที่นอน ถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออกให้เขา ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุม
ขณะที่เจียวเจียวกำลังจะออกไปโรงหมอ เซียวเหิงเดินออกมาจากห้องแล้วเรียกนาง “เจียวเจียว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องตะวันออก
กู้เจียวจุดตะเกียงหนึ่งดวง
จากนั้นเซียวเหิงก็จุดตะเกียงเพิ่มอีกดวง
ที่จริงกู้เจียวชอบห้องที่สว่าง เพียงแต่นางไม่เคยบอกกับใครว่าชอบแบบนี้
กู้เจียวนั่งลงบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งที่วางคาง พร้อมกับมองไปทางเซียวเหิงซึ่งกำลังปรับไส้ตะเกียงอย่างระมัดระวัง กู้เจียวสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วห้องในทันที