สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 558 พูดตรงๆ (2)
บทที่ 558 พูดตรงๆ (2)
“ทางนี้ขอรับองค์หญิง” เว่ยกงกงยิ้มให้พร้อมกับผายมือเชิญ
องค์หญิงหนิงอันเดินเข้ามาพร้อมกับถือกล่องอาหารในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย
เจ้ากรมถวายบังคมให้นาง
“ท่านผู้นี้คือ…” องค์หญิงหนิงอันหันไปทางเจ้ากรมสิงพร้อมเอ่ยถามฮ่องเต้
“เขาคือเจ้ากรมกรมยุติธรรม มาจากตระกูลสิง” ฮ่องเต้เอ่ยแนะนำ
“ที่แท้ก็เป็นท่านใต้เท้าสิงนั่นเอง” องค์หญิงหนิงอันพยักหน้า “ขออภัยที่เสียมารยาท”
เจ้ากรมสิงรีบประสานมือ “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงหนิงอันกล่าวด้วยท่าทีเคอะเขิน “ดูเหมือนว่าหม่อมฉันมาผิดเวลาไปหน่อย หม่อมฉันไม่รู้ว่าเสด็จพี่ทรงกำลังหารือเรื่องราชการกับท่านเจ้ากรมอยู่ ไว้หม่อมฉันจะกลับมาในภายหลัง”
“ไม่เป็นไร แค่คดีเล็กๆ น่ะ ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว ไหนมาช่วยข้าดูทีเร็ว”
ฮ่องเต้เอ่ยพลางยื่นจดหมายสารภาพให้องค์หญิงหนิงอัน
องค์หญิงวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะรับจดหมายมา
ขณะที่นางกำลังทอดสายตาอ่านจดหมาย เจ้ากรมก็คอยสังเกตนางอย่างไม่ละสายตา
ยิ่งองค์หญิงหนิงอันอ่านเท่าไหร่ นางก็ยิ่งออกอาการประหลาดใจมากขึ้น พออ่านจบก็ถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม “คนจากราชวงศ์น่ะหรือที่คิดปองร้ายแม่นางกู้ แต่เพราะเหตุใดกันล่ะ”
เจ้ากรมสิงเริ่มเอะใจ ใยองค์หญิงไม่มีอาการเช่นคนรู้สึกผิดแสดงออกมาแม้แต่น้อย หรือว่าพวกเขาจะเดาผิดไป
ตามหลักแล้ว แรงจูงใจของการกระทำความผิดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการตัดสินคดี จะต้องมีระยะเวลาและหลักฐานในการกระทำความผิดหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพยานหลักฐาน
ฮ่องเต้โพล่งออกมา “เจ้าก็คิดว่ามันไร้สาระใช่หรือไม่”
หนิงอันลดสายตาลงทันทีและยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาทมีน้องสาวเพียงสามคน และในสามคนนี้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ติดต่อกับแม่นางกู้มากที่สุด อีกทั้งพระสวามีของข้าถูกแม่นางกู้และกู้ฉังชิงสังหาร จากมุมมองนี้ ไม่แปลกที่ข้าจะกลายเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด”
พระพักตร์ของฝ่าบาทเริ่มขุ่นมัว “ไร้สาระ! อย่างเจ้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร! จากมุมมองของข้า เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนมีเจตนาชั่วร้ายและต้องการสาดโคลนใส่ราชวงศ์!”
องค์หญิงหนิงอันถอนหายใจ “แต่ฆาตกรก็สารภาพผิดแล้วมิใช่หรือ”
ฮ่องเต้โต้กลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฆาตกรอาจจะโกหกก็เป็นได้ บางทีอาจมีคนเข้าหาเขาโดยนำชื่อขององค์หญิงมาแอบอ้างก็เป็นได้”
องค์หญิงหันศีรษะช้าๆ ไปทางเจ้ากรมสิง “ใต้เท้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้หรือไม่”
“ก่อนที่ความจริงจะปรากฎ สมมติฐานทั้งหมดเป็นไปได้ขอรับ” เจ้ากรมสูดปากลึกแล้วเอ่ยตอบ
“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะมีพยานอีกสองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น คนหนึ่งคือนางคณิกาแห่งหอเซียนเล่อที่แกล้งตาย และอีกคนเป็นหญิงสาวจากหอเซียนเล่อเช่นกัน มีนามว่า…” องค์หญิงหนิงอันดูเหมือนจะจำชื่อนั้นไม่ได้ ทรงมองไปที่สำนวน แล้วก็พูดว่า “อ่า ฮวาซีเหยานี่เอง”
ขณะที่นางพูด สายตาของนางจับจ้องไปที่ใบหน้าของเจ้ากรมสิงอีกครั้ง “ใต้เท้าสิง ตอนนี้พยานสองคนนั้นอยู่ที่ไหนหรือ ให้พวกเขาเป็นพยานได้หรือไม่ การใช้คำสารภาพของคนร้ายแค่คนเดียวอาจดูเป็นการตัดสินที่ออกจะพละการไปบ้าง ท่านใต้เท้ามองเช่นไร”
แววตาขององค์หญิงแฝงไปด้วยความอ่อนโยน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เขากลับรู้สึกเย็นสันหลังวาบชอบกล
เขารวบรวมสติและตอบกลับ “กระหม่อมเห็นด้วยกับคำพูดขององค์หญิงหนิงอันเป็นอย่างยิ่ง แต่พยานสองคนนี้ไม่สามารถเป็นพยานในศาลได้ในขณะนี้”
“เพราะเหตุใดรึ” องค์หญิงเอ่ยถาม
“ฮวาซีเหยากินยาพิษเข้าไปและจะไม่ตื่นจนกระทั่งครบหกหรือเจ็ดวัน ส่วนสตรีนามว่าม่อเชียนเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังรับการรักษาในโรงหมอขอรับ”
หากเป็นตามขั้นตอนปกติแล้ว ม่อเชียนเสวี่ยจะต้องถูกส่งไปที่กรมเพื่อควบคุมตัวไว้
องค์หญิงหนิงอันถอนหายใจอย่างครุ่นคิด “เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่คนหนึ่งถูกมอมยาและอีกคนได้รับบาดเจ็บ ท่านใต้เท้า พวกเขาเป็นพยานสำคัญในคดีนี้ ท่านต้องปกป้องพวกเขาอย่างดี ไม่เช่นนั้นคดีนี้จะไม่มีวันได้ถูกเปิดเผยและคลี่คลาย”
เจ้ากรมเผลอจ้ององค์หญิงอย่างไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน องค์หญิงก็คลี่ยิ้มอ่อนๆ ให้เขาหนึ่งที
พอได้สติ เจ้ากรมก็รีบเบือนหน้า ขมวดคิ้ว กุมมือพลางเอ่ย “สิ่งที่องค์หญิงพูดเป็นความจริง กระหม่อมจะเพิ่มคนเพื่อปกป้องพวกเขาอย่างแน่นอน!”
…
เสร็จธุระจากวัง เจ้ากรมสิงก็ได้เดินทางกลับมายังกรมยุติธรรม
ห้องทำงานของเซียวเหิงอยู่ด้านหลังถัดจากห้องทำงานของเจ้ากรม เมื่อเซียวเหิงได้ยินเสียงประตู ก็รีบวางปากกาในมือแล้วไปที่ห้องทำงานของเจ้านายในทันที “ใต้เท้า”
ภาพที่เห็นคือเจ้ากรมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังให้เขาฟัง “…ไม่มีช่องโหว่แม้แต่นิดจริงๆ เป็นไปได้ไหมว่าพวกเรากำลังสงสัยผิดคน คนร้ายตัวจริงอาจเป็นองค์หญิงไหวชิ่งหรือไม่ก็องค์หญิงซิ่นหยาง”
เซียวเหิงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เหตุการณ์เดินมาถึงจุดนี้ หากอีกฝ่ายไม่มีแม้แต่วิธีการรับมือ คงไม่สามารถมาถึงจุดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
เขาดีใจมากที่ตัวเองไม่ได้วางเบี้ยให้ฮ่องเต้ทั้งหมด
“ไม่ใช่องค์หญิงซิ่นหยางอย่างแน่นอนขอรับ” เซียวเหิงกล่าว
“เจ้ารู้อะไรมารึ” เจ้ากรมมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ
“ข้าไปที่โรงหมออยู่บ่อยครั้งขอรับ” เซียวเหิงเล่าต่อ “เมื่อไม่กี่ปีก่อน องค์หญิงซิ่นหยางทรงประชวรด้วยโรคหัวใจ มีเพียงแค่หมอกู้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถถวายการรักษาแก่นางได้ นางยังไม่หายจากอาการป่วยและยังคงทานยาที่หมอกู้มอบให้ องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีทางคิดร้ายกับหมอกู้อย่างแน่นอน”
เจ้ากรมสิงเคยได้ยินข่าวขององค์หญิงซิ่นหยางที่ทรงทุกข์ทรมานจากโรคหัวใจเนื่องจากการสูญเสียลูกชายสุดที่รักของพระองค์ เขาได้ยินมาว่าเป็นการพักฟื้นที่ต้องทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด จำต้องเดินทางออกนอกเมืองไปยังภูเขาเฟิงตูเพื่อพักฟื้นร่างกาย
เจ้ากรมเอ่ยต่อ “แล้วองค์หญิงไหวชิ่งล่ะ” แต่ต่อมาเขาก็ส่ายหัว “ไม่ใช่ว่ามีใครแอบอ้างเป็นองค์หญิงหรอกใช่ไหม”
จู่ๆ เซียวเหิงก็เอ่ย “ที่จริงก็ไม่มีอะไร ถ้าทรงไม่เอ่ยเตือนท่าน”
“เจ้าหมายความเช่นไร” เจ้ากรมสิงทำหน้างุนงง
เซียวเหิงคลี่ยิ้มออกมาอย่างช้าๆ พร้อมเอ่ย “ใต้เท้าขอรับ องค์หญิงหนิงอันทรงพูดถูก ท่านต้องเพิ่มกำลังคนคุ้มกันโรงหมอและกรมยุติธรรม อย่าให้ใครลักลอบเข้ามาปิดปากพยานสำคัญของเราไปได้”